เมนู

ดูก่อนอาวุโส ข้อนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ เมื่ออนิมิตตาเจโตวิมุตติ
อันภิกษุเจริญแล้ว. . .ปรารภดีแล้ว ก็แต่ว่าวิญญาณของเธอจักแส่หานิมิตอยู่
เพราะฉะนั้น ข้อนั้นจึงไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เพราะอนิมิตตาเจโตวิมุตตินี้
เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งนิมิตทั้งปวง.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่าอัสมิมานะ
ของข้าพเจ้าหมดไปแล้ว และข้าพเจ้าย่อมไม่ตามเห็นว่านี่เป็นเรา ก็แต่ว่า
ลูกศรคือ ความสงสัยเคลือบแคลงยังครอบงำจิตของข้าพเจ้าอยู่ เธออันภิกษุ
ทั้งหลายพึงว่ากล่าวตักเตือนว่า ท่านผู้มีอายุอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่าได้กล่าวตู่
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดี เพราะพระผู้มี-
พระภาคเจ้าไม่พึงตรัสอย่างนี้ ดูก่อนอาวุโส ข้อนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ
เมื่ออัสมิมานะของภิกษุหมดไปแล้ว และเมื่อภิกษุไม่ตามเห็นอยู่ว่านี้เป็นเรา
ก็แต่ว่า ลูกศรคือความสงสัยเคลือบแคลงจักครอบงำจิตของเธออยู่ เพราะ
ฉะนั้น ข้อนั้นจึงไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เพราะอรหัตมรรคที่ถอนอัสมิมานะ
ได้แล้วนี้ เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งลูกศรคือความสงสัยเคลือบแคลง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธาตุเป็นเครื่องสลัดออก 6 ประการนี้แล.
จบเมตตาสูตรที่ 3

อรรถกถาเมตตาสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในเมตตาสูตรที่ 3 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า นิสฺสาราณียา ธาตุโย ได้แก่ ธาตุที่เป็นทางออกไป.
ในบทว่า เมตฺตา หิ โข เม เจโตวิมุตติ นี้ มีอธิบายว่า เมตตานั่นแหละ
ที่เป็นไปในฌาน หมวด 3 หรือ หมวด 4 ชื่อว่า เมตตาเจโตวิมุตติ
เพราะหลุดพ้นจากธรรมที่เป็นข้าศึกทั้งหลาย

บทว่า ภาวิตา คือให้เจริญแล้ว. บทว่า พหุลีกตา คือ กระทำ
แล้วบ่อย ๆ. บทว่า ยานีกตา ทำให้เป็นเช่นกับยานที่เทียมแล้ว.
บทว่า วตฺถุกตา คือ ทำให้เป็นที่ตั้ง. บทว่า อนุฏฺฐิตา คือ ตั้งมั่นแล้ว.
บทว่า ปริจิตา ความว่า ก่อตั้ง คือสั่งสม ได้แก่ อบรมแล้วโดยชอบ.
บทว่า สุสมารทฺธา ได้แก่ ปรารภด้วยดี โดยกระทำให้ช่ำชองคล่องแคล่ว
เป็นอย่างดี. บทว่า ปริยาทาย ติฏฺฐติ ได้แก่ ยึด คือ ถือไว้ ดำรงอยู่.
บทว่า มา เหวนฺติสฺส วจนีโย ความว่า เพราะเหตุที่ภิกษุนั้น พยากรณ์
ข้อพยากรณ์ที่ไม่เป็นจริง ฉะนั้น เธอจึงถูกภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า เธออย่าพูด
อย่างนี้.
บทว่า ยทิทํ เมตฺตาเจโตวิมุตฺติ ได้แก่ เมตตาเจโตวิมุตติ นี้ใด
คำว่า เมตตาเจโตวิมุตตินี้ เป็นทางออกไปแห่งพยาบาท อธิบายว่า เป็นการ
สลัดพยาบาทออกไป. ก็ผู้ใดออกจากฌานหมวด 3 หมวด 4 ด้วยเมตตา
(ภาวนา) แล้ว พิจารณาสังขารทั้งหลาย บรรลุมรรคที่ 3 รู้ว่า พยาบาท
จะไม่มีอีกดังนี้ ย่อมเห็นพระนิพพานด้วยตติยผล จิตของผู้นั้น เป็นทางออก
ไปโดยส่วนเดียวแห่งพยาบาท. ในทุก ๆ บท พึงทรามอธิบาย โดยอุบายนี้.
บทว่า อนิมิตฺตาเจโตวิมุตฺติ ได้แก่ วิปัสสนาที่มีกำลังส่วนอาจารย์
ผู้กล่าวคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าวว่า ได้แก่สมาบัติที่สัมปยุตด้วยอรหัตผล. อรหัต-
ผลสมาบัตินั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า หานิมิตมิได้ เพราะไม่มีเครื่อง-
หมาย คือ ราคะเป็นต้น เครื่องหมายคือรูปเป็นต้น และเครื่องหมายว่าเที่ยง
เป็นต้น.
บทว่า นิมิตฺตานุสารี ได้แก่ มีการตามระลึกถึงนิมิต. มีประเภท
ดังกล่าวแล้ว เป็นสภาพ. บทว่า อสฺมิ ได้แก่ อัสมิมานะ. บทว่า อยมหมสฺมิ
ความว่า เราชื่อว่าเป็นสิ่งนี้ (อัตตา) ในขันธ์ 5. ด้วยคำเพียงเท่านี้แล






ชื่อว่าเป็นอันพยากรณ์อรหัตผลแล้ว. บทว่า วิจิกิจฺฉากถํกถาสลฺลํ ได้แก่
ลูกศรคือความสงสัยเคลือบแคลง.
บทว่า มา เทวนฺติสฺส วจนีโย ความว่า ถ้าว่าวิจิกิจฉา
ที่ปฐมมรรคจะพึงฆ่า เกิดขึ้นแก่ท่านไซร้ การพยากรณ์อรหัตผล ย่อมผิดพลาด
เพราะฉะนั้น ท่านต้องถูกห้ามว่า อย่าพูดเรื่องไม่จริง.
บทว่า อสฺมีติ มานสมุคฺฆาโต ได้แก่ อรหัตมรรค. อธิบายว่า
เมื่อเห็นพระนิพพานด้วยอรหัตมรรคแล้ว อัสมิมานะย่อมไม่มีอีก เพราะฉะนั้น
อรหัตมรรค พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกว่า ถอนขึ้นได้ซึ่งมานะว่าเรามี.
ในพระสูตรนี้ ตรัสให้ชื่อว่า อภูตพยากรณ์ (พยากรณ์เรื่องไม่จริง)
ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้.
จบอรรถกถาเมตตาสูตรที่ 3

4. ภัททกสูตร


ว่าด้วยการอยู่ที่เจริญและไม่เจริญ


[285] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระ
สารีบุตรได้กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการ
ที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ย่อมไม่มีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็ไม่เจริญ ก็ภิกษุ
ย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ย่อมไม่มีความตายที่
เจริญ ตายแล้วก็ไม่เจริญ เป็นอย่างไร ? คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้