เมนู

เพราะถ้าเธอบำเพ็ญสาราณียธรรมในปีที่ 12 วางบาตรที่เต็มด้วยอาหาร
ไว้บนอาสนศาลา แล้วไปอาบน้ำ และพระสังฆเถระ มาถามว่า นี่บาตร
ของใคร ? เมื่อเขาตอบว่า บาตรของผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม ก็จะกล่าว
ว่า จงนำเอาบาตรนั้นมา แล้วเลือกฉันบิณฑบาตนั้น จนหมดทุกอย่าง
ตั้งบาตรเปล่าไว้. ครั้นภิกษุนั้นมาเห็นบาตรเปล่า ก็จะเกิดโทมนัสว่า ภิกษุ
ทั้งหลายฉันเสียหมด ไม่เหลือไว้ให้เราเลย. สาราณียธรรมจะแตก ต้องบำเพ็ญ
ใหม่อีก 12 ปี คล้ายกับติตถิยปริวาส. ภิกษุนั้น เมื่อสาราณียธรรมด่างพร้อย
คราวเดียว ต้องบำเพ็ญใหม่อีก. ส่วนภิกษุใด เกิดโสมนัสว่า เป็นลาภของ
เราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เพื่อนสพรหมจารี ไม่สอบถามถึงอาหารที่อยู่ใน
บาตรของเราแล้วฉัน ดังนี้. สาราณียธรรม ของภิกษุนั้น ชื่อว่า สมบูรณ์แล้ว.
ก็ภิกษุผู้มีสาราณียธรรมบริบูรณ์อย่างนี้ ย่อมไม่มีความริษยา ไม่มีความตระหนี่
ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย หาปัจจัยได้ง่าย
แม้ของที่เขาถวายแก่เธอผู้มีสาราณียธรรมสมบูรณ์ ย่อมไม่สิ้นไป. เธอย่อม
ได้สิ่งของมีค่า ในฐานะที่เธอจำแนกแจกสิ่งของ เมื่อประสบภัย หรือความ
หิวโหย เทวดาทั้งหลายย่อมช่วยเหลือ. ในข้อนั้น มีเรื่องดังต่อไปนี้เป็น
ตัวอย่าง.

เรื่องพระติสสเถระ


เล่ากันมาว่า พระติสสเถระ ชาวเลณคิรีวิหาร อยู่อาศัยบ้านชื่อ
ว่ามหาขีระ. พระมหาเถระ 50 รูป เดินทางไปไหว้นาคทีปเจดีย์ เที่ยว-
บิณฑบาตในขีรคาม ไม่ได้อะไรเลย จึงพากันออกไป. พระติสสเถระเข้าไป
เห็นพระเถระเหล่านั้น จึงถามว่า ท่านขอรับ ท่านได้ (อาหาร) แล้วหรือ ?
พระเถระเหล่านั้นตอบว่า คุณพวกเราไปมาแล้ว. ท่านรู้ว่า พระเถระเหล่านั้น

ไม่ได้อาหาร จึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ขอพวกท่านจงรออยู่ในที่นี้แหละ
จนกว่าผมจะกลับมา. พระเถระเหล่านั้นกล่าวว่า คุณ ! พวกเรามีถึง 50 รูป
ยังไม่ได้แม้แต่เพียงน้ำล้างบาตร. ท่านพระติสสเถระกล่าวว่า ท่านขอรับ
ขึ้นชื่อว่าภิกษุผู้เป็นเจ้าของถิ่น ย่อมเป็นผู้สามารถ ถึงแม้จะไม่ได้ภิกษา ก็
ย่อมรู้ช่องทางภิกษาจาร. พระเถระทั้งหลายคอยอยู่แล้ว พระติสสเถระเข้าไปสู่
บ้านแล้ว มหาอุบาสิกา จัดขีรภัตร (ไว้คอยท่า) ในหมู่บ้านใกล้ ๆ นั่นเอง
ยืนมองดูพระเถระอยู่แล้ว พอพระเถระมาถึงประตูเท่านั้น ก็ถวายอาหาร
จนเต็มบาตร ท่านถือเอาบาตรนั้น ตรงไปยังสำนักของพระเถระทั้งหลาย
แล้วกล่าวกับพระสังฆเถระว่า นิมนต์รับเถิดขอรับ. พระเถระคิดว่า พวกเรา
จำนวนเท่านี้ ยังไม่ได้อะไรเลย ภิกษุรูปนี้ ถือเอาบาตรไป กลับมาเร็วแท้
นี้อะไรกันหนอ ดังนี้แล้ว มองหน้าพระเถระที่เหลือทั้งหลาย. พระติสสเถระ
รู้โดยอาการที่มองหน้านั่นแหละ กล่าวว่า ท่านขอรับ บิณฑบาต ผมได้มา
โดยชอบธรรม ขอท่านทั้งหลายอย่ารังเกียจเลย นิมนต์รับเถิด แล้วถวาย
บิณฑบาตแก่พระเถระทุกรูป พอแก่ความต้องการ ส่วนตนเองก็ฉันจนอิ่ม.
ครั้นในเวลาเสร็จภัตกิจ พระเถระทั้งหลายถามท่านว่า คุณ ! คุณ
บรรลุโลกุตรธรรมเมื่อไร ? ท่านตอบว่า ท่านขอรับ ผมยังไม่มีโลกุตรธรรม
พระเถระทั้งหลายถามว่า อาวุโส คุณได้ฌานหรือ ? ท่านตอบว่า ท่านขอรับ
ถึงฌานผมก็ยังไม่ได้. พระเถระทั้งหลายถามว่า หรือคุณมีปาฏิหาริย์ ? ท่าน
ตอบว่า ผมบำเพ็ญสาราณียธรรมขอรับ ตั้งแต่เวลาที่ผมบำเพ็ญสาราณียธรรม
บริบูรณ์แล้ว แม้หากจะมีภิกษุทั้ง 100,000 รูป อาหารที่อยู่ในบาตร
ก็ไม่หมดสิ้น. พระเถระเหล่านั้น กล่าวว่า สาธุ สาธุ ท่านสัตบุรุษ ข้อนี้
สมควรแก่ท่านแล้ว ดังนี้. เท่าที่เล่ามานี้เป็นตัวอย่างในข้อว่า อาหารที่อยู่ใน
บาตรไม่หมดสิ้นไปก่อน.

ก็พระติสสเถระองค์เดียวกันนี้แหละ ไปสู่ที่ถวายทาน เพื่อมหาบูชา
ในเจติยบรรพต ชื่อว่า คิริกัณฑะ แล้วถามว่า ในการให้ทานนี้ มีอะไรเป็น
ของประเสริฐที่สุด. คนทั้งหลายตอบว่า มีผ้าสาฏก 2 ผืนขอรับ. พระเถระ
กล่าวว่า ผ้าสาฏกคู่นี้จักถึงแก่เรา อำมาตย์ได้ยินคำนั้นแล้วไปกราบทูลพระราชา
ว่าภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งกล่าวอย่างนี้. พระราชาตรัสว่า ภิกษุหนุ่มมีความคิดอย่าง
นี้ (แต่) ผ้าสาฏกเนื้อละเอียดเหมาะแก่พระมหาเถระทั้งหลาย แล้วทรงวางคู่
ผ้าสาฏกด้วยทรงดำริว่า เราจักถวายแก่พระมหาเถระทั้งหลาย. เมื่อท้าวเธอ
ถวาย (ผ้า) ในภิกษุสงฆ์ผู้ยืนอยู่ตามลำดับ ผ้าสาฏกที่วางไว้บนก็ไม่ติดพระ-
หัตถ์ ผ้าผืนอื่นกลับติดพระหัตถ์ แต่ในเวลาทรงถวายแก่ภิกษุหนุ่ม ผ้าสาฏก
ทั้งสองผืนนั้น กลับติดพระหัตถ์ ท้าวเธอทรงวางไว้บนมือของภิกษุหนุ่มแล้ว
ทรงมองดูหน้าอำมาตย์ นิมนต์ให้ภิกษุหนุ่มนั่ง ถวายทาน ทรงละภิกษุสงฆ์
แล้ว ประทับในสำนักของภิกษุหนุ่ม ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณท่าน
บรรลุธรรมนี้ เมื่อไร ? เธอไม่ทูลคุณธรรมที่ไม่มีอยู่โดยอ้อมค้อม แต่กลับ
ทูลว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร โลกุตรธรรมของอาตมภาพไม่มี. พระ-
ราชาตรัสถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อนพระคุณเจ้าก็ได้พูดไว้แล้วมิใช่
หรือ ? ภิกษุหนุ่มตอบว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถูกแล้ว อาตมภาพ
บำเพ็ญสาราณียธรรม เริ่มแต่เวลาที่อาตมภาพบำเพ็ญสาราณียธรรมบริบูรณ์
แล้ว ในที่ที่เขาแจกสิ่งของ (ทุกแห่ง) ของมีค่ามากจะตก (แก่อาตมภาพ).
พระราชตรัสว่า สาธุ สาธุ พระคุณเจ้า ผ้าสาฏกคู่นี้สมควรแก่พระคุณเจ้า
แล้ว เสด็จหลีกไป. เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นตัวอย่างในข้อว่า ในที่ที่เขาแจก
ของกัน ของมีค่าจะตก ( แก่ผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม).
ก็ชาวบ้านผู้อาศัยอยู่ในภารตคาม ไม่ทันได้บอกกล่าวแก่พระนาคเถรี
รีบหนีไป ในเพราะพรหมติสสภัย. ในวันรุ่งขึ้น พระเถรีพูดกับภิกษุสาว

ชื่อว่าจัณฑาลติสสะว่า บ้านเงียบเหลือเกิน เธอทั้งหลายจงไปตรวจสอบดูก่อน
ภิกษุณีสาวเหล่านั้นไปแล้ว รู้ข้อที่คนทั้งปวงหนีไป จึงกลับมาบอกแก่
พระเถรี. พระเถรีฟังแล้วจึงพูดว่า พวกเธออย่าคิดถึงข้อที่คนเหล่านั้นหนีไป
เลย จงทำความเพียรในอุเทศ การสอบถาม และโยนิโสมนสิการของตนไว้
เถิด ดังนี้แล้ว ในเวลาภิกขาจาร ห่มจีวรแล้ว (รวม) 12 รูปทั้งตัวเอง
ได้พากันไปยืนอยู่ที่โคนต้นไทร ใกล้ประตูบ้าน. เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้ ได้
ถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุทั้ง 12 รูป แล้วกล่าวว่า ข้าแต่คุณแม้เจ้า ขอท่าน
อย่าไปที่อื่นเลย นิมนต์มาที่นี้แห่งเดียวเป็นประจำ. ก็ (ในที่นั้น ) มีพระ
เถระองค์หนึ่ง นามว่า นาคะ เป็นน้องชายของพระเถรี. ท่านคิดว่า
ภัยใหญ่ (เหลือเกิน) เราไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ เราจักไปฝั่งโน้น
รวมเป็น 12 รูปทั้งตัวท่านเองออกจากที่อยู่ของตน ๆ มาสู่ภารตคามด้วยคิด
ว่า เราจักไปเยี่ยมพระเถรี. พระเถรีได้ทราบว่า พระเถระมา จึงไปยังสำนัก
ของพระเถระเหล่านั้น เเล้วถามว่า มีเรื่องอะไรหรือ พระคุณเจ้า ? พระ
เถระแจ้งพฤติการณ์นั้นแล้ว. พระเถรีพูดว่า วันนี้ นิมนต์ที่พวกท่านอยู่ใน
วิหารนี้ (สัก) วันหนึ่ง รุ่งขึ้นค่อยไป. พระเถระทั้งหลาย ได้ไปยังวิหารแล้ว.
ในวันรุ่งขึ้น พระเถรีไปบิณฑบาตที่ควงไม้ แล้วเข้าไปหาพระเถระ
พูดว่า นิมนต์พวกท่านฉันบิณฑบาตนี้. พระเถระไม่พูดว่า จักสมควร ดังนี้
แล้วยืนนิ่งเสีย. พระเถรีกล่าวว่า พระคุณท่าน บิณฑบาตนี้เป็นของชอบ
ธรรม ขอท่านทั้งหลายอย่ารังเกียจเลย จงฉันเถิด ดังนี้. พระเถระกล่าวว่า
จะเหมาะหรือพระเถรี ? พระเถรีนั้นหยิบบาตร (ของพระเถระ) แล้วโยนไปใน
อากาศ. บาตรได้ลอยอยู่บนอากาศ. เพราะเถระกล่าวว่า ดูก่อนพระเถรี ภัตที่
ลอยอยู่บนอากาศสูง 7 ชั่วลำตาล เป็นภัตตาหารสำหรับภิกษุณีเท่านั้น ดังนี้
แล้ว กล่าวต่อไปว่า ขึ้นชื่อว่าภัย จะไม่มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อภัยสงบแล้ว

เราผู้กล่าวอริยวงศ์ ถูกจิตกล่าวเตือนอยู่เนือง ๆ ว่า ท่านผู้ถือบิณฑบาตเป็น
วัตรผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจะฉันภัตตาหารของภิกษุณี แล้วปล่อยให้เวลาล่วง
ไปหรือดังนี้ จักไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ ดูก่อนภิกษุณีทั้งหลาย ขอท่าน
ทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด.
ฝ่ายรุกขเทวดาก็คิดว่า ถ้าพระเถระจักฉันบิณฑบาตจากมือของพระ
เถรีแล้วไซร้ เราจักไม่ให้ท่านกลับ ถ้าไม่ฉัน เราจักให้ท่านกลับ ยืนดูการ
เดินไปของพระเถระ แล้วลงจากต้นไม้ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณ
เจ้าจงให้บาตรแก่ข้าพเจ้า แล้วรับบาตร นำพระเถระไปยังควงไม้นั่นแหละ ปู
อาสนะ ถวายบิณฑบาต ให้พระเถระที่เสร็จภัตกิจแล้ว กระทำปฏิญญา
(รับคำ) บำรุงทั้งภิกษุณี 2 รูป ทั้งภิกษุ 12 รูป อยู่เป็นเวลาถึง 7 ปี.
นี้เป็นตัวอย่างในข้อว่า เทวดาทั้งหลาย ย่อมขวนขวาย. เพราะในเรื่อง
(ที่เป็นตัวอย่าง) นั้น พระเถรีได้บำเพ็ญสาราณียธรรมมาจนครบบริบูรณ์.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า อขณฺฑานิ เป็นต้น ดังต่อไปนี้
บรรดากองอาบัติทั้ง 7 กอง ผู้ใดมีสิกขาบทขาดในตอนปลาย หรือ
ตอนต้น ศีลของผู้นั้นชื่อว่าขาด เหมือนผ้าขาดที่ชาย ส่วนผู้ใดมีสิกขาบท
ขาดที่ท่ามกลาง ศีลของผู้นั้น ชื่อว่า ทะลุ เหมือนผ้าที่ทะลุ (ตรงกลาง)
ผู้ใดมีสิกขาบท 2-3 สิกขาบทขาดตามลำดับ ศีลของผู้นั้น ชื่อว่า ด่าง
เหมือนแม่โคมีสีดำสีแดงเป็นต้น สีใดสีหนึ่ง โดยมีสีตัดกันปรากฏที่หลังหรือ
ที่ท้อง. ผู้ใดมีสิกขาบทขาดในระหว่าง ๆ ศีลของผู้นั้น ชื่อว่า พร้อย
เหมือนแม่โคที่มีจุดแพรวพราว สลับกันในระว่าง ๆ. ส่วนผู้ใดมีสิกขาบททั้ง
หมดไม่ขาดเลย ผู้นั้น ชื่อว่ามีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย. แต่ว่า
สิกขาบทเหล่านี้นั้น ท่านเรียกว่า ชื่อว่า ภุชิสฺส (เป็นไท) เพราะกระทำ
ความเป็นไท โดยพ้นจากความเป็นทาสของตัณหา. ชื่อว่า วิญญูปสัตถะ

(อันวิญญูชนสรรเสริญ) เพราะวิญญูชนทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรง
สรรเสริญ. ชื่อว่า อปรามัฏฐะ เพราะตัณหาและทิฏฐิ ไม่ลูบคลำ
(ไม่เกาะเกี่ยว) และเพราะใคร ๆ ไม่สามารถปรามาสได้ว่า ท่านเคยต้องอาบัติ
ชื่อนี้มา และท่านเรียกว่า ชื่อว่า สมาธิสังวัตตนิกา เพราะยังอุปจารสมาธิ
หรืออัปปนาสมาธิให้เป็นไป.
บทว่า สีลสามญฺญคโต วิหรติ ความว่า เป็นผู้มีปกติเข้าถึง
ความเป็นผู้เสมอกันด้วยภิกษุทั้งหลาย ผู้อยู่ในทิศาภาคเหล่านั้น ๆ อยู่. เพราะ
ว่า ศีลของพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมเป็นศีลเสมอกันด้วยศีลของพระอริยะ
เหล่าอื่น มีพระโสดาบันเป็นต้น ผู้อยู่ในระหว่างแห่งมหาสมุทรบ้าง ในเทว-
โลกนั่นแหละบ้าง เพราะฉะนั้นในมรรคศีล (ศีลในองค์มรรค) จึงไม่มีความ
แตกต่างกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า สีลสามญฺญคโต วิหรติ นี้ไว้
โดยทรงหมายเอา ศีลของพระโสดาบันเป็นต้นนั้น.
บทว่า ยายํ ทิฏฺฐิ ได้แก่สัมมาทิฏฐิที่สัมปยุตด้วยมรรค. บทว่า
อริยา คือไม่มีโทษ. ทิฏฐิ ชื่อว่า นิยยานิกา เพราะเป็นเหตุนำสัตว์ออก
ไปจากภพ. บทว่า ตกฺกรสฺส ความว่า ได้แก่ ผู้ที่ทำอย่างนั้น. บทว่า
ทุกฺขกฺขยาย ความว่า เพื่อสิ้นสรรพทุกข์. บทว่า ทิฏฺฐิสามญฺญคโต
ความว่า เป็นผู้เข้าถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิเสมอกันอยู่.
จบอรรถกถาปฐมสาราณียสูตรที่ 1

2. ทุติยสาราณียสูตร


ว่าด้วยสาราณียธรรม 6 ประการ


[283] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม 6 ประการนี้ เป็นที่ตั้งแห่ง
การให้ระลึกถึง กระทำให้เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ ย่อมเป็นไปเพื่อความ
สงเคราะห์ เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ธรรม 6 ประการเป็นไฉน ? คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งกายกรรม
ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้
ธรรมข้อนี้ก็เป็นที่ตั้งแห่งการระลึกถึงกัน กระทำให้เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ
ย่อมเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อม-
เพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อน
พรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง. . .
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งมโนกรรมที่ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อน
พรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง. . .
อีกประการหนึ่ง ภิกษุแบ่งปันลาภทั้งหลายที่ประกอบด้วยธรรมได้มา
โดยธรรม แม้โดยที่สุดบิณฑบาต ย่อมบริโภคร่วมกันกับเพื่อนพรหมจรรย์
ทั้งหลายผู้มีศีล. . .
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาทิฏฐิไม่ยึดถือ เป็นไปเพื่อสมาธิ
เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง. . .