เมนู

พุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วกล่าวต่อไปว่า ท่านปิงคิยานี ภาษิตของท่าน
แจ่มแจ้งยิ่งนัก ท่านปิงคิยานี ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งยิ่งนัก ท่านปิงคิยานี
ประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของ
ที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า ผู้มี
จักษุเห็นรูปได้ฉะนั้น ข้าพเจ้านี้ขอถึงท่านพระโคดมพระองค์นั้น กับทั้ง
พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอท่านปิงคิยานีจงจำข้าพเจ้าว่าเป็น
อุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบการณปาลีสูตรที่ 4

อรรถกถาการณปาลีสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในการณปาลีสูตรที่ 4 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า การณปาลี เป็นชื่อของพราหมณ์นั้น. พราหมณ์ชื่อการณปาลี
เพราะทำราชการในราชสำนัก. บทว่า กมฺมนฺตํ กาเรติ ความว่า การณปาลี-
พราหมณ์ลุกแต่เช้าตรู่ กระทำประตูป้อม และกำแพงที่ยังไม่ได้ทา ซ่อมส่วน
ที่ชำรุด.
บทว่า ปิงฺคิยานึ พฺราหฺมณํ ได้แก่ พราหมณ์ผู้เป็นอริยสาวก
ตั้งอยู่ในอนาคามิผล จึงมีชื่ออย่างนี้. ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นลุกแต่เช้าตรู่ ถือ
ของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมแล้ว บูชาด้วยดอกไม้
เป็นต้น แล้วจึงเข้าเมือง. นี้เป็นกิจวัตรประจำวันของพราหมณ์. การณปาลี-
พราหมณ์นั้น ได้เห็นพราหมณ์ปิงคิยานีทำกิจวัตรอย่างนั้นแล้วกำลังเดินมา.

บทว่า เอตทโวจ ความว่า การณปาลีพราหมณ์ คิดว่า พราหมณ์
ผู้นี้มีปัญญา ญาณกล้า ไปไหนมาแต่เช้าหนอ รู้สึกว่าพราหมณ์เดินเข้ามาใกล้
โดยลำดับ จึงได้กล่าวคำมีอาทิว่า หนฺท กุโต ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า
ทวา ทิวสฺส ได้แก่ กลางวัน อธิบายว่า เที่ยงวัน.
บทว่า ปณฺฑิโต มญฺญติ ในสูตรนี้มีใจความว่า การณปาลีพราหมณ์
คิดว่า ท่านพราหมณ์ปิงคิยานี ย่อมสำคัญพระสมณโคดมว่าเป็นบัณฑิตหรือ
ไม่หนอ. บทว่า โกจาหมฺโก ความว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นใครเล่า
ในอันที่จะรู้ถึงความฉลาดปราดเปรื่องแห่งพระปัญญาของพระสมณโคดมได้.
บทว่า โก จ สมณสฺส โคตมสฺส ปญฺญา เวยฺยตฺติยํ ชานิสฺสามิ
ความว่า พราหมณ์ปิงคิยานีแสดงความไม่รู้ของตนด้วยประการทั้งปวงอย่างนี้ว่า
ข้าพเจ้าจักรู้ความฉลาดปราดเปรื่องแห่งพระปัญญาของพระสมณะได้แต่ไหน
คือ ข้าพเจ้าจักรู้ได้ด้วยเหตุไรเล่า.
บทว่า โสปิ นูนสฺสตาทิโสว ความว่า พราหมณ์ปิงคิยานีแสดงว่า
ผู้ใดพึงรู้ถึงความฉลาดปราดเปรื่องแห่งพระปัญญาของพระสมณโคดม ผู้นั้น
ก็ต้องบำเพ็ญบารมี 10 แล้วบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ก็จะพึงเป็นพุทธะ
เช่นนั้นเท่านั้น. อันผู้ประสงค์จะวัดภูเขาสิเนรุก็ดี แผ่นดินก็ดี อากาศก็ดี
ควรได้ไม้วัด หรือเชือกเท่ากับเขาสิเนรุแผ่นดินและอากาศนั้น แม้ผู้จะรู้ปัญญา
ของพระสมณโคดม ก็ควรจะได้พระสัพพัญญุตญาณเช่นเดียวกับพระญาณของ
พระองค์เหมือนกัน. ก็ในสูตรนี้พราหมณ์ปิงคิยานี กล่าวย้ำด้วยความเอื้อเฟื้อ.
บทว่า อุฬาราย ได้แก่ สูงสุดคือประเสริฐสุด. บทว่า โกจาหมฺโภ
ความว่า ท่านผู้เจริญ เราเป็นใครเล่าในการที่จะสรรเสริญพระสมณโคดม.
บทว่า โก จ สมณํ โคตมํ ปสํสิสฺสามิ ความว่า เราจักสรรเสริญได้
ด้วยเหตุไรเล่า.

บทว่า ปสฏฺฐปสฏฺโฐ ความว่า พราหมณ์ปิงคิยานีสรรเสริญด้วย
พระคุณทั้งหลายของพระองค์ ซึ่งชาวโลกทั้งปวงสรรเสริญแล้ว อันฟุ้งไป
เหนือคุณทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องสรรเสริญพระองค์ด้วยพระคุณอื่น ๆ เหมือน
อย่างว่า ดอกจัมปาก็ดี อุบลขาบก็ดี ปทุมแดงก็ดี จันทน์แดงก็ดี เป็นของ
ผ่องใสและมีกลิ่นหอมด้วยสิริ คือ สีและกลิ่นประจำภายในของมันเอง ไม่จำ
จะต้องชมดอกไม้นั้นด้วยสีและกลิ่นที่จรมาภายนอก. อนึ่ง เหมือนอย่างว่า
แก้วมณีก็ดี ดวงจันทร์ก็ดี ย่อมส่องประกายด้วยแสงของมันเอง แก้วมณี
และดวงจันทร์นั้นก็ไม่จำต้องส่องประกายด้วยแสงอื่น ฉันใด พระสมณโคดม
ก็ฉันนั้น ทรงได้รับสรรเสริญยกย่อง ให้ถึงความเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก
ทั้งปวงด้วยพระคุณของพระองค์เองทีชาวโลกทั้งปวงสรรเสริญแล้ว ก็ไม่จำต้อง
สรรเสริญพระองค์ด้วยพระคุณอื่น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปสฏฺฐปสฏฺโฐ
เพราะเป็นผู้ประเสริฐกว่าชนผู้ประเสริฐทั้งหลาย ดังนี้ก็มี. ถามว่า ก็ใครชื่อว่า
เป็นผู้ประเสริฐ. ตอบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้ประเสริฐกว่าชาวกาสีและ
ชาวโกศล พระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้ประเสริฐกว่าชาวอังคะและมคธ กษัตริย์
ลิจฉวีกรุงเวสาลีประเสริฐกว่าชาวแคว้นวัชชี มัลลกษัตริย์ เมืองปาวา เมือง
กุสินาราเป็นผู้ประเสริฐ แม้กษัตริย์นั้น ๆ เหล่าอื่นก็ประเสริฐกว่าชาวชนบท
เหล่านั้น ๆ พราหมณ์มีจังกีพราหมณ์เป็นต้น ก็ประเสริฐกว่าหมู่พราหมณ์
ทั้งหลาย อุบาสกมีอนาถบิณฑิกะเป็นต้น ก็ประเสริฐกว่าอุบาสกทั้งหลาย
อุบาสิกามีนางวิสาขาเป็นต้น ก็ประเสริฐกว่าอุบาสิกาหลายร้อย ปริพาชกมี
สุกุลุทายีเป็นต้น ก็ประเสริฐกว่าปริพาชกหลายร้อย มหาสาวิกามีอุบลวัณณา-
เถรีเป็นต้น ก็ประเสริฐกว่าภิกษุณีหลายร้อย พระมหาเถระมีพระสารีบุตรเถระ
เป็นต้น ก็ประเสริฐกว่าภิกษุหลายร้อย เทวดามีท้าวสักกะเป็นต้น ก็ประเสริฐ
กว่าทวยเทพหลายพัน พรหมมีมหาพรหมเป็นต้น ก็ประเสริฐกว่าพรหมหลาย

พัน ชนและเทพแม้เหล่านั้นทั้งหมด ก็ยังยกย่องชมเชยสรรเสริญพระทศพล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านเรียกว่า ปสฏฺฐปสฏโฐ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อตฺถวสํ แปลว่า อำนาจแห่งประโยชน์ทั้งหลาย. ครั้งนั้น
พราหมณ์ปิงคิยานี เมื่อบอกถึงเหตุที่ตนเลื่อมใสแก่การณปาลีพราหมณ์นั้น
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เสยฺยถาปิ โภ ปุริส ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า
อคฺครสปริติตฺโต ความว่า ชื่อว่า รสเลิศมีอาทิอย่างนี้ คือ บรรดารส-
โภชนะ ข้าวปายาสเลิศ บรรดาข้น เนยใสจากโคเลิศ บรรดารสฝาด ผึ้งอ่อนเลิศ
บรรดารสหวาน น้ำตาลกรวดเลิศ. อิ่มในรสเหล่านั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง บริโภค
พอหอมปากหอมคอดำรงอยู่ได้ บทว่า อญฺเญสํ หีนานํ ได้แก่ รสเลวอื่น
จากรสเลิศ. บทว่า สุตฺตโส แปลว่า โดยสูตร อธิบายว่า โดยได้สดับมา.
แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า ตโต ตโต ได้แก่ จากบรรดา
สัตถุศาสน์มีสุตตะเป็นต้นนั้น ๆ. บทว่า อญฺเญสํ ปุถุสมณพฺราหฺมณ-
ปฺปวาทานํ
ได้แก่ ไม่ชอบใจ ไม่ปรารถนา คำสอนอันเป็นลัทธิของสมณ-
พราหมณ์เป็นอันมากอื่น ไม่ปรารถนาแม้แต่จะฟังสมณพราหมณ์เหล่านั้นพูด.
บทว่า ชิฆจฺฉาทุพฺพลฺยปเรโต ได้แก่ ถูกความหิวและความอ่อนเพลีย
ครอบงำ.
บทว่า มธุปิณฺฑิกํ ได้แก่ ข้าวสัตตุก้อนที่เขาคั่วแป้งสาลีแล้ว ปรุง
ด้วยรสหวาน 4 อย่าง หรือขนมหวานนั่นเอง. บทว่า อธิคจฺเฉยฺย ได้แก่
พึงได้ บทว่า อเสจนกํ ได้แก่ มีรสประณีตอร่อย ไม่ราดด้วยรสอย่างอื่น
เพื่อทำให้หวาน. บทว่า หริจนฺทนสฺส ได้แก่ ไม้จันทน์สีเหลืองเหมือนทอง.
บทว่า โลหิตจนฺทนสฺส ได้แก่ ไม้จันทร์สีแดง. บทว่า สุรภิคนฺธํ ได้แก่
มีกลิ่นหอม. ก็ความกระวนกระวายเป็นต้น ได้แก่กระวนกระวายเพราะวัฏฏะ
ลำบากเพราะวัฏฏะ ชื่อว่า เร่าร้อนเพราะวัฏฏะ.

บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ แปลว่า เปล่งอุทาน เหมือนอย่างว่า
น้ำมันอันใดที่ไม่สามารถจะเอามาตวงได้ แต่ไหลไป น้ำมันอันนั้นเรียกว่า
อวเสกะ น้ำใดไม่สามารถจะขังสระได้ไหลท้นไป น้ำนั้นท่านเรียกว่า โอฆะ
ฉันใด. คำใดที่ประกอบด้วยปีติไม่สามารถจะขังใจอยู่ มีเกินไปตั้งอยู่ไม่ได้ใน
ภายใน ก็ออกไปภายนอก คำที่ประกอบด้วยปีตินั้น ท่านเรียกว่า อุทาน
ก็ฉันนั้น. อธิบายว่า พราหมณ์การณปาลีเปล่งคำที่สำเร็จด้วยปีติเห็นปานนี้.
จบอรรถกถาการณปาลีสูตรที่ 4

5. ปิงคิยานีสูตร


ว่าด้วยรัตนะที่หายากยิ่ง 5 ประการ


[195] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่า
มหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี สมัยนั้น เจ้าลิจฉวีประมาณ 500 เฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าอยู่ เจ้าลิจฉวีบางพวกเขียว มีวรรณะเขียว มีผ้าเขียว มีเครื่องประดับ
เขียว บางพวกเหลือง มีวรรณะเหลือง มีผ้าเหลือง มีเครื่องประดับเหลือง
บางพวกแดง มีวรรณะแดง มีผ้าแดง มีเครื่องประดับแดง บางพวกขาว
มีวรรณะขาว มีผ้าขาว มีเครื่องประดับขาว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรุ่งเรืองกว่า
เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น โดยพระวรรณะและพระยศ ครั้งนั้น ปิงคิยานีพราหมณ์
ลุกจากที่นั่ง ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าประทับอยู่ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เนื้อความแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต เนื้อความแจ่มแจ้งกะข้าพระ
องค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนปิงคิยานี จงแจ่มแจ้งกะท่านเถิด