เมนู

อรรถกถาภเวสิสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในภเวสิสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สิตํ ปาตฺวากาสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อเสด็จ-
พระดำเนินไปตามทางใหญ่ ทรงแลดูป่าสาละนั้น ทรงดำริว่า ในที่นี้จะมีเหตุดี
ไร ๆ เคยเกิดขึ้นแล้วหรือหนอ ก็ได้ทรงเห็นเหตุดีที่อุบาสกชื่อภเวสีได้ทำไว้
แล้ว ในครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ได้มีพระดำริต่อไปว่า เหตุดีนี้ปกปิดไม่ปรากฏ
แก่หมู่ภิกษุ เอาเถิดเราจะทำเหตุนั้นให้ปรากฏแก่หมู่ภิกษุ จึงหลีกออกจากทาง
ประทับยืน ณ ที่แห่งหนึ่ง ได้ทรงทำการแย้มให้ปรากฏ แสดงไรพระทนต์
น้อย ๆ. พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิได้ทรงพระสรวลเหมือนชาวมนุษย์ในโลก
หัวเราะท้องคัดท้องแข็งว่าที่ไหนที่ไหนดังนี้. การทรงพระสรวลของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ก็เป็นเพียงอาการแย้มเท่านั้น. ชื่อว่าการแย้มนี้ย่อมมีด้วยจิตสหรคต
ด้วยโสมนัส 13 ดวง. ชาวโลกหัวเราะด้วยจิต 8 ดวง คือ จากอกุศล 4 ดวง
จากกามาวจรกุศล 4 ดวง. พระเสกขะทั้งหลายนำจิตสัมปยุตด้วยทิฏฐิ 2 ดวง
ออกจากอกุศลแล้วหัวเราะด้วยจิต 6 ดวง. พระขีณาสพแย้มด้วยจิต 5 ดวง
คือ ด้วยกิริยาจิตที่เป็นสเหตุกะ 4 ดวง ที่เป็นอเหตุกะ 1 ดวง. แม้ในจิต
เหล่านั้น เมื่ออารมณ์มีกำลังปรากฏ พระขีณาสพทั้งหลาย ย่อมแย้มด้วยจิต
สัมปยุตด้วยญาณ 2 ดวง. เมื่ออารมณ์ที่มีกำลังอ่อนปรากฏ พระขีณาสพย่อม
แย้มด้วยจิต 3 ดวง คือ ด้วยทุเหตุกจิต 2 ดวง และด้วยอเหตุกจิต 1 ดวง.
แต่ในที่นี้ จิตสหรคต ด้วยโสมนัส อันเป็นกิริยาเหตุกะ และมโนวิญญาณธาตุ
ทำการพระสรวลสักว่าอาการแย้มให้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคจ้า. ก็การแย้ม
นั้นแม้เพียงเล็กน้อยอย่างนี้ก็ได้ปรากฏแก่พระเถระแล้ว. ถามว่า อย่างไร.