เมนู

10. ภเวสิสูตร


ว่าด้วยการทำความดีต้องทำให้ยิ่งขึ้น


[180] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ขณะที่เสด็จดำเนินไปตามหนทางไกล ได้ทอด
พระเนตรเห็นสาละป่าใหญ่ ณ ประเทศแห่งหนึ่ง จึงทรงแวะลงจากหนทาง
เสด็จเข้าไปสู่ป่าสาละนั้น ครั้นเสด็จถึงแล้วจึงทรงทำการแย้มให้ปรากฏ ณ
ที่แห่งหนึ่ง ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้คิดว่า อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย
ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำการแย้มให้ปรากฏ พระตถาคตย่อมไม่ทรง
กระทำการแย้มให้ปรากฏด้วยไม่มีเหตุ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์จึงได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำการแย้มให้ปรากฏ พระตถาคตย่อมไม่ทรงทำ
การแย้มให้ปรากฏด้วยไม่มีเหตุ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เรื่องเคยได้มีมาแล้ว
คือ ณ ประเทศนี้ ได้เป็นเมืองมั่งคั่ง กว้างขวาง มีชนมาก มีมนุษย์
หนาแน่น ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงอาศัยอยู่ในพระนครนั้น ก็อุบาสกนามว่าภเวสี ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
อุบาสกประมาณ 500 คน เป็นผู้อันภเวสีอุบาสกชี้แจงชักชวน ก็ไม่กระทำ
ให้บริบูรณ์ในศีล ครั้งนั้น ภเวสีอุบาสกได้คิดว่า ก็เราเป็นผู้มีอุปการะมาก
เป็นหัวหน้า ชักชวนอุบาสกประมาณ 500 คนเหล่านี้ และเราก็เป็นผู้ไม่
กระทำให้บริบูรณ์ในศีล แม้อุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ ก็เป็นผู้ไม่กระทำ

ให้บริบูรณ์ในศีล ต่างคนต่างก็เท่า ๆ กัน ไม่ยิ่งไปกว่ากัน ผิฉะนั้น เราควร
ปฏิบัติให้ยิ่งกว่า.
ครั้งนั้น ภเวสีอุบาสกได้เข้าไปหาอุบาสกประมาณ 500 เหล่านั้น
แล้วได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ตั้งแต่วันนี้ไป ขอท่านทั้งหลาย
จงจำเราไว้ว่า เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ครั้งนั้น อุบาสกประมาณ 500
เหล่านั้น ได้คิดว่า ภเวสีอุบาสกผู้เป็นเจ้า เป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นหัวหน้า
ชักชวนเราทั้งหลาย ก็ภเวสีอุบาสกผู้เป็นเจ้าจักเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
ก็ไฉนเราทั้งหลายจะทำให้บริบูรณ์ในศีลไม่ได้เล่า ครั้งนั้น อุบาสกประมาณ
500 เหล่านั้น ได้เข้าไปหาภเวสีอุบาสกแล้วกล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ไปขอภเวสี
อุบาสกผู้เป็นเจ้าจงจำอุบาสก 500 แม้เหล่านี้ว่า เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ใน
ศีล ครั้งนั้น ภเวสีอุบาสกได้คิดว่า ก็เราแลเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นหัวหน้า
ชักชวนอุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ และเราก็เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
แม้อุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ ก็เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ต่างคน
ต่างก็เท่า ๆ กัน ไม่ยิ่งไปกว่ากัน ผิฉะนั้น เราควรปฏิบัติให้ยิ่งกว่า.
ครั้งนั้น ภเวสีอุบาสกได้เข้าไปหาอุบาสกประมาณ 500 เหล่านั้น
แล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ตั้งแต่วันนี้ไป ขอท่านทั้งหลาย
จงจำเราไว้ว่า เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติเว้นไกลจากเมถุนอันเป็น
ธรรมของชาวบ้าน ครั้งนั้น อุบาสกประมาณ 500 เหล่านั้นได้คิดว่า ภเวสี-
อุบาสกผู้เป็นเจ้า เป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นหัวหน้า ชักชวนเราทั้งหลาย
ภเวสีอุบาสกผู้เป็นเจ้าจักประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติเว้นไกลจากเมถุนอัน
เป็นธรรมของชาวบ้าน ก็ไฉนเราทั้งหลาย จักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์
ประพฤติเว้นไกลจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้านไม่ได้เล่า ครั้งนั้น อุบาสก
ประมาณ 500 เหล่านั้น ได้เข้าไปหาภเวสีอุบาสกแล้วกล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ไป

ขอภเวสีอุบาสกผู้เป็นเจ้า จงจำอุบาสก 500 แม้เหล่านี้ว่า เป็นผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์ ประพฤติเว้นไกลจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้าน ครั้งนั้น
ภเวสีอุบาสกได้คิดว่า ก็เราแลเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นหัวหน้า ชักชวน
อุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ และเราก็เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล แม้
อุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ ก็เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล และเราก็
เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติเว้นไกลจากเมถุนอันเป็นธรรมของ
ชาวบ้าน แม้อุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ ก็เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์
ประพฤติเว้นไกลจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้าน ต่างคนต่างก็เท่า ๆ กัน
ไม่ยิ่งไปกว่ากัน ผิฉะนั้น เราควรปฏิบัติให้ยิ่งกว่า.
ครั้งนั้น ภเวสีอุบาสกได้เข้าไปหาอุบาสกประมาณ 500 เหล่านั้น
เเล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ตั้งแต่วันนี้ไป ขอท่านทั้งหลายจงจำ
เราไว้ว่า เป็นผู้บริโภคอาหารมื้อเดียว เว้นการบริโภคในราตรี งดเว้นการ
บริโภคอาหารในเวลาวิกาล ครั้งนั้น อุบาสกประมาณ 500 เหล่านั้น ได้
คิดว่า ภเวสีอุบาสกผู้เป็นเจ้า เป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นหัวหน้า ชักชวนเรา
ทั้งหลาย ภเวสีอุบาสก ผู้เป็นเจ้า จักเป็นผู้บริโภคอาหารมื้อเดียว เว้นการ
บริโภคในราตรี งดเว้นการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล ก็ไฉนเราทั้งหลาย
จักเป็นผู้บริโภคมื้อเดียว เว้นการบริโภคในราตรี งดเว้นการบริโภคอาหาร
ในเวลาวิกาลไม่ได้เล่า ครั้งนั้น อุบาสกประมาณ 500 เหล่านั้น ได้เข้าไป
หาภพวสีอุบาสกแล้วกล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ไป ขอภเวสีอุบาสกผู้เป็นเจ้า จงจำ
อุบาสก 500 แม้เหล่านี้ว่า เป็นผู้บริโภคอาหารมื้อเดียว งดการบริโภคในราตรี
งดเว้นการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล ครั้งนั้น ภเวสีอุบาสกได้คิดว่า ก็เรา
แลเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นหัวหน้า ชักชวนอุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ ก็
และเราก็เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล แม้อุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ ก็

เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล และเราเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติ
เว้นไกลจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้าน แม้อุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้
ก็เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติเว้นไกลจากเมถุนอันเป็นธรรมของ
ชาวบ้าน และเราเป็นผู้บริโภคอาหารมื้อเดียว งดการบริโภคในราตรี งดเว้น
การบริโภคอาหารในเวลาวิกาล แม้อุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ ก็เป็นผู้
บริโภคอาหารมื้อเดียว งดการบริโภคในราตรี งดเว้นการบริโภคอาหารใน
เวลาวิกาล ต่างคนต่างก็เท่า ๆ กัน ไม่ยิ่งไปกว่ากัน ผิฉะนั้น เราควรปฏิบัติ
ให้ยิ่งกว่า.
ครั้งนั้น ภเวสีอุบาสกได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า
กัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ภเวสีอุบาสก ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม
ว่า กัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ภเวสีภิกษุอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีก
ออกจากหมู่อยู่ผู้เดียวไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็
ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็น
บรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้อีกมิได้มี ก็แลภเวสีภิกษุได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งใน
จำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น อุบาสกประมาณ 500
เหล่านั้น ได้คิดว่า ภเวสีอุบาสกผู้เป็นเจ้า เป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นหัวหน้า
ชักชวนเราทั้งหลาย ก็ภเวสีอุบาสกผู้เป็นเจ้าจักปลงผมหนวดครองผ้ากาสายะ
ออกบวชเป็นบรรพชิต ไฉนเราทั้งหลายจักปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะ
ออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ได้เล่า.

ครั้งนั้น อุบาสกประมาณ 500 เหล่านั้น ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้า พระนามว่า กัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงที่ประทับ แล้ว
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายพึงได้บรรพชาอุปสมบท
ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า อุบาสกประมาณ 500 เหล่านั้น ได้บรรพชา
อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้ว ครั้งนั้น ภเวสีภิกษุได้คิดว่า เราแลเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้
โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งวิมุตติสุขอันเป็นธรรมชั้นเยี่ยมนี้ โอหนอ ภิกษุ
ประมาณ 500 แม้เหล่านี้ ก็พึงเป็นผู้ไดตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก
ไม่ลำบาก ซึ่งวิมุตติสุขอันเป็นธรรมชั้นเยี่ยมนี้ ครั้งนั้น ภิกษุประมาณ 500
เหล่านั้น ต่างเป็นผู้หลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร
มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม
ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอัน
ยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก ภิกษุประมาณ
500 เหล่านั้น มีภเวสีภิกษุเป็นประมุข พยายามบำเพ็ญธรรมที่สูง ๆ ขึ้นไป
ประณีตขึ้นไป ได้ทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติอันเป็นธรรมชั้นเยี่ยม ด้วยประการฉะนี้.
ดูก่อนอานนท์ เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราทั้งหลายจักพยายามบำเพ็ญธรรมที่สูง ๆ ขึ้นไป ประณีตขึ้นไป จักทำให้
แจ้งซึ่งวิมุตติอันเป็นธรรมชั้นเยี่ยม ดูก่อนอานนท์ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่าง
นี้แล.
จบภเวสีสูตรที่ 10
จบอุปาสกวรรคที่ 3

อรรถกถาภเวสิสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในภเวสิสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สิตํ ปาตฺวากาสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อเสด็จ-
พระดำเนินไปตามทางใหญ่ ทรงแลดูป่าสาละนั้น ทรงดำริว่า ในที่นี้จะมีเหตุดี
ไร ๆ เคยเกิดขึ้นแล้วหรือหนอ ก็ได้ทรงเห็นเหตุดีที่อุบาสกชื่อภเวสีได้ทำไว้
แล้ว ในครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ได้มีพระดำริต่อไปว่า เหตุดีนี้ปกปิดไม่ปรากฏ
แก่หมู่ภิกษุ เอาเถิดเราจะทำเหตุนั้นให้ปรากฏแก่หมู่ภิกษุ จึงหลีกออกจากทาง
ประทับยืน ณ ที่แห่งหนึ่ง ได้ทรงทำการแย้มให้ปรากฏ แสดงไรพระทนต์
น้อย ๆ. พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิได้ทรงพระสรวลเหมือนชาวมนุษย์ในโลก
หัวเราะท้องคัดท้องแข็งว่าที่ไหนที่ไหนดังนี้. การทรงพระสรวลของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ก็เป็นเพียงอาการแย้มเท่านั้น. ชื่อว่าการแย้มนี้ย่อมมีด้วยจิตสหรคต
ด้วยโสมนัส 13 ดวง. ชาวโลกหัวเราะด้วยจิต 8 ดวง คือ จากอกุศล 4 ดวง
จากกามาวจรกุศล 4 ดวง. พระเสกขะทั้งหลายนำจิตสัมปยุตด้วยทิฏฐิ 2 ดวง
ออกจากอกุศลแล้วหัวเราะด้วยจิต 6 ดวง. พระขีณาสพแย้มด้วยจิต 5 ดวง
คือ ด้วยกิริยาจิตที่เป็นสเหตุกะ 4 ดวง ที่เป็นอเหตุกะ 1 ดวง. แม้ในจิต
เหล่านั้น เมื่ออารมณ์มีกำลังปรากฏ พระขีณาสพทั้งหลาย ย่อมแย้มด้วยจิต
สัมปยุตด้วยญาณ 2 ดวง. เมื่ออารมณ์ที่มีกำลังอ่อนปรากฏ พระขีณาสพย่อม
แย้มด้วยจิต 3 ดวง คือ ด้วยทุเหตุกจิต 2 ดวง และด้วยอเหตุกจิต 1 ดวง.
แต่ในที่นี้ จิตสหรคต ด้วยโสมนัส อันเป็นกิริยาเหตุกะ และมโนวิญญาณธาตุ
ทำการพระสรวลสักว่าอาการแย้มให้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคจ้า. ก็การแย้ม
นั้นแม้เพียงเล็กน้อยอย่างนี้ก็ได้ปรากฏแก่พระเถระแล้ว. ถามว่า อย่างไร.