เมนู

อรรถกถาคิหิสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในคิหิสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สํวุตกมฺมนฺตํ คือ มีการงานที่ป้องกันแล้ว. บทว่า
อาภิเจตสิกานํ คือ อาศัยจิตสูง บทว่า ทิฏฐธมฺมสุขวิหารานํ ได้แก่
อยู่เป็นสุขในธรรมอันประจักษ์ คือ ในปัจจุบันนี้เอง. บทว่า อริยกนฺเตหิ
ได้แก่ ศีลในมรรคผลที่พระอริยะทั้งหลายใคร่แล้ว. ท่านกล่าวศีล 5 ว่า
อรยิธรรม ในบทว่า อริยธมฺมํ สมาทาย นี้. บทว่า เมรยํ วารุณึ
ได้แก่ เมรัย 4 อย่าง และสุรา 5 อย่าง. บทว่า ธมฺมญฺจานุวิตกฺกเย
ได้แก่ พึงตรึกโดยระลึกถึงโลกุตรธรรม 9 อย่าง. บทว่า อพฺยาปชฺฌํ
หิตํ จิตฺตํ
ได้แก่ จิตประกอบด้วยพรหมวิหารมีเมตตาเป็นต้น อันหาทุกข์
มิได้. บทว่า เทวโลกาย ภาวเย ได้แก่ พึงเจริญเพื่อพรหมโลก. บทว่า
ปุญฺญตฺถสฺส ชิคึสโต ได้แก่ ผู้ต้องการบุญแสวงหาบุญอยู่. บทว่า สนฺเตสุ
ได้แก่ ในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกของพระตถาคต.
บทว่า วิปุลา โหติ ทกฺขิณา ได้แก่ ทานที่ให้แล้วอย่างนี้ย่อมมีผลมาก.
บทว่า อนุปุพฺเพน ได้แก่ โดยลำดับมีบำเพ็ญศีลเป็นต้น. บทที่เหลือ
มีเนื้อความที่กล่าวไว้แล้วในติกนิบาตนั่นแล.
จบอรรถกถาคิหิสูตรที่ 9

10. ภเวสิสูตร


ว่าด้วยการทำความดีต้องทำให้ยิ่งขึ้น


[180] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ขณะที่เสด็จดำเนินไปตามหนทางไกล ได้ทอด
พระเนตรเห็นสาละป่าใหญ่ ณ ประเทศแห่งหนึ่ง จึงทรงแวะลงจากหนทาง
เสด็จเข้าไปสู่ป่าสาละนั้น ครั้นเสด็จถึงแล้วจึงทรงทำการแย้มให้ปรากฏ ณ
ที่แห่งหนึ่ง ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้คิดว่า อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย
ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำการแย้มให้ปรากฏ พระตถาคตย่อมไม่ทรง
กระทำการแย้มให้ปรากฏด้วยไม่มีเหตุ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์จึงได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำการแย้มให้ปรากฏ พระตถาคตย่อมไม่ทรงทำ
การแย้มให้ปรากฏด้วยไม่มีเหตุ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เรื่องเคยได้มีมาแล้ว
คือ ณ ประเทศนี้ ได้เป็นเมืองมั่งคั่ง กว้างขวาง มีชนมาก มีมนุษย์
หนาแน่น ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงอาศัยอยู่ในพระนครนั้น ก็อุบาสกนามว่าภเวสี ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
อุบาสกประมาณ 500 คน เป็นผู้อันภเวสีอุบาสกชี้แจงชักชวน ก็ไม่กระทำ
ให้บริบูรณ์ในศีล ครั้งนั้น ภเวสีอุบาสกได้คิดว่า ก็เราเป็นผู้มีอุปการะมาก
เป็นหัวหน้า ชักชวนอุบาสกประมาณ 500 คนเหล่านี้ และเราก็เป็นผู้ไม่
กระทำให้บริบูรณ์ในศีล แม้อุบาสกประมาณ 500 เหล่านี้ ก็เป็นผู้ไม่กระทำ