เมนู

ถึงอย่างนั้นก็มิใช่ตำหนิพระอานนทเถระเท่านั้น พึงทราบว่าเป็นการตำหนิภิกษุ
ทั้งหมดที่อยู่กันพร้อมหน้านั่นแล.
บทว่า วิหารํ ได้แก่ พระคันธกุฎี. บทว่า อนจฺฉริยํ ได้แก่
ไม่น่าอัศจรรย์. บทว่า ยถา เป็นคำกล่าวเหตุ. ในบทว่า อายสฺมนฺตญฺ-
เญเวตฺถ อุปวาณํ ปฏิภาเสยฺย
พระอานนทเถระชี้แจงว่าเมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงปรารภเหตุนี้ ทรงยกเรื่องนี้มาอ้างแล้ว คำตอบจงแจ่มแจ้ง
จงปรากฏแก่ท่านอุปวาณะเถิด. บทว่า สารชฺชํ โอกฺกนฺตํ ได้แก่ เกิด
โทมนัสใจ. ท่านอุปวาณะกล่าวถึงศีลของพระขีณาสพเป็นต้นด้วยบทมีอาทิว่า
สีลวา ดังนี้. บทว่า ขณฺฑิจฺเจน เป็นต้น ท่านอุปวาณะกล่าว ด้วยถาม
ถึงเหตุแห่งสักการะเป็นต้น ในข้อนี้มีอธิบายว่า สพรหมจารีทั้งหลายพึงสักการะ
เพื่อนพรหมจารีด้วยเหตุมีฟันหักเป็นต้น.
จบอรรถกถานิโรธสูตรที่ 6

7. โจทนาสูตร


ว่าด้วยคุณสมบัติของภิกษุผู้เป็นโจทก์


[167] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้โจทก์ใคร่จะโจทผู้อื่น พึงเข้าไปตั้งธรรม 5 ประการ
ไว้ภายในก่อนแล้วจึงโจทย์ผู้อื่น ธรรม 5 ประการเป็นไฉน ? คือ ธรรมว่า
เราจักกล่าวโดยกาลควร จักไม่กล่าวโดยกาลไม่ควร 1 จักกล่าวด้วยเรื่องจริง
จักไม่กล่าวด้วยเรื่องไม่จริง 1 จักกล่าวด้วยคำอ่อนหวาน จักไม่กล่าวด้วย
คำหยาบ 1 จักกล่าวด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่กล่าวด้วยเรื่อง

ที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 จักเป็นผู้มีเมตตาจิตกล่าว จักไม่เป็นผู้เพ่งโทษ
กล่าว 1 ดูก่อนอาวุโส ภิกษุผู้โจทย์ใคร่จะโจทผู้อื่น พึงเข้าไปตั้งธรรม 5
ประการนี้ไว้ภายในก่อนแล้วจึงโจทผู้อื่น.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เราเห็นบุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ถูกผู้อื่น
โจทโดยกาลไม่ควร ไม่ถูกโจทโดยกาลอันควร ก็โกรธ ถูกผู้อื่นโจทด้วยเรื่อง
ไม่จริง ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องจริง ก็โกรธ ถูกผู้อื่นโจทด้วยคำหยาบ ไม่ถูกโจท
ด้วยคำอ่อนหวาน ก็โกรธ ถูกผู้อื่นโจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็โกรธ ถูกผู้อื่นโจทด้วยเพ่งโทษ
ไม่ถูกโจทด้วยเมตตาจิต ก็โกรธ.
ดูก่อนอาวุโส ความไม่เดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ถูกโจท
โดยไม่เป็นธรรม โดยอาการ 5 คือ ท่านถูกโจทโดยกาลไม่ควร ไม่ถูกโจท
โดยกาลควร ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่ถูกโจท
ด้วยเรื่องจริง ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยคำหยาบ ไม่ถูกโจท
ด้วยคำอ่อนหวาน ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทย์ด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบ
ด้วยประโยชน์ ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านจึงไม่ควร
เดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยการเพ่งโทษ ไม่ถูกโจทด้วยเมตตาจิต ท่านจึง
ไม่ควรเดือดร้อน ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ความไม่เดือดร้อน ภิกษุพึงให้
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม โดยอาการ 5 นี้.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ความเดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุ
ผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม โดยอาการ 5 คือ ท่านโจทโดยกาลไม่ควร ไม่โจท
โดยกาลควร ท่านจึงควรเดือดร้อน ท่านโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่โจทด้วย
เรื่องจริง ท่านจึงควรเดือดร้อน ท่านโจทด้วยคำหยาบ ไม่โจทด้วยคำอ่อนหวาน

ท่านจึงควรเดือดร้อน ท่านโจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่โจท
ด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านจึงควรเดือดร้อน ท่านโจทด้วยเพ่งโทษ
ไม่โจทด้วยเมตตาจิต ท่านจึงควรเดือดร้อน ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ความ
เดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม โดยอาการ 5
นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า ภิกษุแม้รูปอื่นไม่พึงเข้าใจว่า พึงโจทด้วย
เรื่องไม่จริง.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เราเห็นบุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ ถูกโจท
โดยกาลควร ไม่ถูกโจทโดยกาลไม่ควร ก็โกรธ ถูกโจทด้วยเรื่องจริง
ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่จริง ก็โกรธ ถูกโจทด้วยคำอ่อนหวาน ไม่ถูกโจทด้วย
คำหยาบ ก็โกรธ ถูกโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ถูกโจทด้วย
เรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็โกรธ ถูกโจทด้วยเมตตาจิต ไม่ถูกโจท
ด้วยเพ่งโทษ ก็โกรธ.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ความเดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้
ถูกโจทโดยธรรม ด้วยอาการ 5 คือ ท่านถูกโจทโดยกาลควร ไม่ถูกโจท
โดยกาลไม่ควร ทำนุ่งควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ถูกโจท
ด้วยเรื่องไม่จริง ท่านจึงควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยคำอ่อนหวาน ไม่ถูก
โจทด้วยคำหยาบ ท่านจึงควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วย
ประโยชน์ ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านจึงควรเดือด-
ร้อน ท่านถูกโจทด้วยเมตตาจิต ไม่ถูกโจทด้วยการเพ่งโทษ ท่านจึงควร
เดือดร้อน ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ความเดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุ
ผู้ถูกโจทโดยธรรม ด้วยอาการ 5 นี้.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ความไม่เดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุ
ผู้โจทโดยเป็นธรรม โดยอาการ 5 คือ ท่านโจทโดยกาลควร ไม่โจทโดย

กาลไม่ควร ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านโจทด้วยเรื่องจริง ไม่โจทด้วยเรื่อง
ไม่จริง ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านโจทด้วยคำอ่อนหวาน ไม่โจทด้วย
คำหยาบ ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่โจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่าน
โจทด้วยเมตตาจิต ไม่โจทด้วยการเพ่งโทษ ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ดูก่อน
อาวุโสทั้งหลาย ความไม่เดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้โจทก์เป็น
ธรรม โดยอาการ 5 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าภิกษุแม้รูปอื่นพึง
เข้าใจว่า พึงโจทด้วยเรื่องจริง.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย อันบุคคลผู้ถูกโจทพึงตั้งอยู่ในธรรม 2 ประการ
คือ ความจริง และความไม่โกรธ.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย (ถ้า) ผู้อื่นพึงโจท (เรา) ด้วยธรรม 5 ประการ
คือ พึงโจทโดยกาลควรหรือโดยกาลไม่ควร 1 ด้วยเรื่องจริงหรือด้วยเรื่อง
ไม่จริง 1 ด้วยคำอ่อนหวานหรือด้วยคำหยาบ 1 ด้วยเรื่องที่ประกอบด้วย
ประโยชน์ หรือด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 ด้วยเมตตาจิตหรือ
ด้วยเพ่งโทษ 1 แม้เราก็พึงตั้งอยู่ในธรรม 2 ประการ คือ ความจริงและ
ความไม่โกรธ ถ้าเราพึงทราบว่าธรรมนั้นมีอยู่ในเราไซร้ เราก็พึงกล่าวธรรม
นั้นว่า มีอยู่ ว่าธรรมนั้นมีอยู่พร้อมในเรา ถ้าเราพึงทราบว่าธรรมนั้นไม่มี
อยู่ในเราไซร้ เราก็พึงกล่าวธรรมนั้นว่าไม่มีอยู่ ว่าธรรมนั้นไม่มีอยู่พร้อม
ในเรา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร เรื่องก็จะพึงเป็น
เช่นนั้น แต่ว่าโมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้ เมื่อถูกกล่าวสอน ย่อมไม่รับ
โดยเคารพ.

สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลเหล่าใด ไม่มีศรัทธา ต้องการ
เลี้ยงชีวิต มิใช่ออกบวชด้วยศรัทธา เป็นผู้โอ้อวด มีมารยา เกเร ฟุ้งซ่าน
เย่อหยิ่ง เหลาะแหละ ปากกล้า พูดพล่าม ไม่สำรวมทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ ไม่ประกอบความเพียร ไม่เพ่งถึงความเป็นสมณะ
ไม่มีความเคารพกล้าในสิกขา มักมาก ย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในการล่วงละเมิด
ทอดธุระในวิเวก เกียจคร้าน มีความเพียรทราม มีสติเลอะเลือน ไม่มี
สัมปชัญญะ ไม่มีจิตมั่นคง มีจิตฟุ้งซ่าน มีปัญญาทราม คล้ายคนบ้าน้ำลาย
คนเหล่านั้น เมื่อถูกข้าพระองค์กล่าวสอนอย่างนี้ ย่อมไม่รับโดยเคารพ
ส่วนกุลบุตรเหล่าใด มีศรัทธาออกบวช ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา ไม่เกเร
ไม่ฟุ่งซ่าน ไม่เย่อหยิ่ง ไม่เหลาะแหละ ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม สำรวม
ทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียร เพ่งถึง
ความเป็นสมณะ มีความเคารพกล้าในสิกขา ไม่มักมาก ไม่ย่อหย่อน ทอดธุระ
ในการล่วงละเมิด เป็นหัวหน้าในวิเวก ปรารภความเพียร อบรมตน มีสติ
ตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ มีจิตมั่นคง มีจิตเป็นหนึ่ง มีปัญญา มิใช่คล้ายคน
บ้าน้ำลาย กุลบุตรเหล่านั้นเมื่อถูกข้าพระองค์กล่าวสอนอย่างนี้ย่อมรับโดย
เคารพ.
พ. ดูก่อนสารีบุตร บุคคลเหล่าใด ไม่มีศรัทธา ต้องการเลี้ยงชีวิต
. . . มีปัญญาทราม คล้ายคนบ้าน้ำลาย จงยกไว้ (ยกเว้น) ส่วนกุลบุตร
เหล่าใด มีศรัทธาออกบวช. . .มีปัญญา มิใช่คล้ายคนบ้าน้ำลาย ดูก่อนสารีบุตร
เธอพึงว่ากล่าวกุลบุตรเหล่านั้น จงกล่าวสอนเพื่อนพรหมจรรย์ จงพร่ำสอน
เพื่อนพรหมจรรย์ ด้วยหวังว่าเราจักยกเพื่อนพรหมจรรย์จากอสัทธรรม ให้
ตั้งอยู่ในสัทธรรม เธอพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้แล สารีบุตร.
จบโจทนาสูตรที่ 7

อรรถกถาโจทนาสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาโจทนาสูตรที่ 7 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โจทเกน ความว่า ภิกษุผู้เป็นโจทก์ โจทด้วยโจทนวัตถุ 4
คือ ชี้วัตถุ ชี้อาบัติ ห้ามสังวาส ห้ามสามีจิกรรม. ในบทว่า กาเลน วกฺขามิ
ใน อกาเลน
นี้ พระสารีบุตรเถระกล่าวถึงกาลของภิกษุผู้ถูกโจท [จำเลย]
ไม่ได้กล่าวถึงกาลของโจทก์ [ผู้ฟ้อง]. จริงอยู่ ผู้ที่จะโจทผู้อื่น ไม่ควรโจท
ในท่ามกลางบริษัท หรือในโรงอุโบสถปวารณา หรือที่หอนั่งและหอฉัน
เป็นต้น. ในเวลานั่งในที่พักกลางวัน ควรขอโอกาสอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ
จงให้โอกาส ผมประสงค์จะพูดกะท่านดังนี้ แล้วจึงโจท. เพ่งถึงบุคคล บุคคล
เหลาะแหละใดกล่าวคำไม่จริงยกโทษแก่ภิกษุ บุคคลเหลาะแหละนั้นไม่ต้อง
ขอโอกาสพึงโจทเลย. บทว่า ภูเตน คือ โดยความจริง โดยสภาพ. บทว่า
สณฺเหน คือ โดยสุภาพอ่อนโยน. บทว่า อตฺถสญฺหิเตน ได้แก่
ประกอบด้วยความเป็นผู้หวังดี ใคร่ประโยชน์เกื้อกูล. บทว่า อวิปฺปฏิสาโร
อุปทหิตพฺโพ
ได้แก่ ไม่ให้เกิดความเก้อเขิน. บทว่า อลนฺเต อวิปฺ-
ปฏิสาราย
ได้แก่ ท่านควรเป็นผู้ไม่เก้อเขิน. บทที่เหลือในสูรนี้มีเนื้อความ
ง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถาโจทนาสูตรที่ 7