เมนู

6. นิโรธสูตร


ว่าด้วยคุณธรรมของพระเถระที่น่าเคารพบูชา


[166] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตร
ได้กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีไค้ ถ้าเธอไม่พึง
บรรลุอรหัตผลในปัจจุบันไซร้ เธอก็ก้าวล่วงความเป็นสหายเหล่าเทพผู้มี
กวฬิงการาหารเป็นภิกษุ เข้าถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจบางเหล่า เข้าถึง
สัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะ
ที่จะมีได้ เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะ
ท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนท่านพระสารีบุตร ข้อที่ภิกษุก้าวล่วงความเป็น
สหายเหล่าเทพผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจ
บางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
นั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ข้อนั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ แม้ครั้งที่ 2 ฯลฯ
แม้ครั้งที่ 3 ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ผู้ถึงพร้อมด้วย
ปัญญา พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ถ้าเธอไม่พึงบรรลุอรหัตผลในปัจจุบันไซร้ เธอก็
ก้าวล่วงความเป็นสหายเหล่าเทพผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพ
ผู้มีฤทธิ์ทางใจบางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญา-

เวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ แม้ครั้งที่ 3 ท่านพระอุทายีได้กล่าว
กะท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนท่านพระสารีบุตร ข้อที่ภิกษุก้าวล่วงความเป็น
สหายเหล่าเทพผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจ
บางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
นั่นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ข้อนั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
ครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรได้คิดว่า ท่านพระอุทายีคัดค้านเราถึง
3 ครั้ง และภิกษุบางรูปก็ไม่อนุโมทนา (ภาษิต) เรา ผิฉะนั้น เราพึงเข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรได้เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นเเล้วได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงเข้าสัญญา-
เวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้
ถ้าเธอไม่พึงบรรลุอรหัตผลในปัจจุบันไซร้ เธอก็ก้าวล่วงความเป็นสหาย
เหล่าเทพผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจบางเหล่า
พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็น
ฐานะที่จะมีได้ เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าว
กะท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนท่านพระสารีบุตร ข้อที่ภิกษุก้าวล่วงความเป็น
สหายเหล่าเทพผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจ
บางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
นั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ข้อนั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ แม้ครั้งที่ 2 ฯลฯ
แม้ครั้งที่ 3 ท่านพระอุทายี. . .ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรได้คิดว่า ท่านพระ-
อุทายีคัดค้านเราถึง 3 ครั้ง แม้เฉพาะพระภักตร์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า และ

ภิกษุบางรูปก็ไม่อนุโมทนาต่อเรา ผิฉะนั้น เราพึงนิ่งเสีย ครั้งนั้น ท่าน
พระสารีบุตรได้นิ่งอยู่.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระอุทายีว่า ดูก่อน
อุทายี ก็เธอย่อมหมายถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจเหล่าไหน ท่านพระอุทายีได้
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์หมายถึงเหล่าเทพชั้นอรูปที่
สำเร็จด้วยสัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนอุทายี ไฉนเธอผู้เป็น
พาล ไม่ฉลาดจึงได้กล่าวอย่างนั้น เธอเองย่อมเข้าใจคำที่เธอควรพูด ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ไฉนพวกเธอ
จึงวางเฉย (ดูดาย) ภิกษุผู้เถระซึ่งถูกเบียดเบียนอยู่ เพราะว่า แม้ความ
กรุณาจักไม่มีในภิกษุผู้ฉลาดซึ่งถูกเบียดเบียนอยู่. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้ถึง
พร้อมด้วยศีล. . .ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคต ครั้น
ตรัสดังนี้แล้ว จึงเสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร ครั้นเมื่อพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสด็จไปแล้วไม่นาน ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปหาท่านพระอุปวาณะ
แล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านอุปวาณะ ภิกษุเหล่าอื่นในพระศาสนานี้ ย่อม
เบียดเบียนภิกษุทั้งหลายผู้เถระ พวกเราจะไม่ถามหาภิกษุเหล่านั้น การที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่พักผ่อนในเวลาเย็น จักทรงปรารภเหตุนั้น
ยกขึ้นแสดง เหมือนดังที่จะพึงตรัสกะท่านอุปวาณะโดยเฉพาะในเหตุนั้น ข้อนั้น
ไม่เป็นของอัศจรรย์ บัดนี้ ความน้อยใจได้เกิดขึ้นแก่พวกเรา.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็นแล้ว เสด็จ
เข้าไปนั่งที่อุปัฏฐากศาลา ประทับนั่งบนอาสนะที่ได้ตบแต่งไว้ แล้วจึงตรัสถาม
ท่านพระอุปวาณะว่า ดูก่อนอุปวาณะ ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรมเท่าไรหนอ

แล ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหม-
จรรย์ ท่านพระอุปวาณะได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้เถระ
ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ
และเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์ ธรรม 5 ประการเป็นไฉน ? คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย 1
เธอเป็นพหูสูต ฯลฯ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง 1 เธอเป็นผู้มีวาจาไพเราะ
มีถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้
เนื้อความได้แจ่มแจ้ง 1 เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก
ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน 1
เธอย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
อาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ 1 ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม 5 ประการนี้แล ย่อมเป็นที่รัก เป็น
ที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์.
พ. ดีละ ๆ อุปวาณะ ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม 5 ประการนี้แล
ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหม-
จรรย์ ถ้าหากว่าธรรม 5 ประการนี้ ไม่พึงมีแก่ภิกษุผู้เถระไซร้ เพื่อน
พรหมจรรย์พึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเธอ โดยความเป็นผู้มีฟันหัก
มีผมหงอก มีหนังย่น อะไรกัน แต่เพราะธรรม 5 ประการนี้ ย่อมมีแก่
ภิกษุผู้เถระ ฉะนั้นเพื่อนพรหมจรรย์จึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเธอ.
จบนิโรธสูตรที่ 6

อรรถกถานิโรธสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในนิโรธสูตรที่ 6 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อตฺเถตํ ฐานํ แปลว่า เหตุนั้นมีอยู่. บทว่า โน เจ
ทิฏฺเฐว ธมฺเม อญฺญํ อาราเธยฺย
ความว่า หากภิกษุนั้นยังไม่บรรลุ
พระอรหัตในอัตภาพนี้. บทว่า กพฬิงฺการภกฺขานํ เทวานํ ได้แก่
เทวดาชั้นกามาวจร. บทว่า อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ ได้แก่ หมู่พรหม
ชั้นสุทธาวาสหมู่ใดหมู่หนึ่ง ซึ่งเกิดด้วยใจที่ประกอบด้วยฌาน. บทว่า
อุทายี ได้แก่ โลฬุทายี. โลฬุทายีนั้นได้สดับว่า มโนมยํ ดังนี้จึงค้านว่า
ไม่เป็นการสมควร. เพื่อป้องกันลัทธิของพวกคนพาลที่เกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ท่าน
สารีบุตรจะรู้อะไร ซึ่งพวกภิกษุยังพากันคัดค้านถ้อยคำอย่างนี้ต่อหน้าดังนี้
พระเถระไม่หยุดถ้อยคำนั้นเสียเอง จึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า บทว่า
อตฺถินาม เป็นนิบาตลงในอรรถว่าอ้างถึง. ด้วยเหตุนั้น บทว่า อชฺฌุเปกฺ-
ขิสฺสถ
ในที่นี้ท่านจึงทำให้เป็นศัพท์อนาคตกาล. ในสูตรนี้มีเนื้อความดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ พวกเธอจงเพ่งดูภิกษุผู้เป็นเถระถูกเบียดเบียนอย่างนี้เราจะไม่ทน
ต่อพวกเธอ ไม่อดทน ไม่อดกลั้นละดังนี้. ถามว่า เพราะเหตุใด พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้กะพระอานนทเถระเท่านั้น. ตอบว่า เพราะพระ-
อานนทเถระเป็นคลังธรรม. จริงอยู่ พระอุทายีเมื่อกล่าวต่อท่านผู้เป็นคลังธรรม
อย่างนี้ จึงเป็นภาระที่จะห้ามปราม. อีกอย่างหนึ่ง พระอานนทเถระก็เป็นปิยสหาย
ของพระสารีบุตรเถระ ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นภาระของพระอานนทเถระ. ในข้อ
นั้น แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงตำหนิพระอานนทเถระจึงตรัสอย่างนี้ก็จริง