เมนู

4. ติกัณฑกีสูตร


ว่าด้วยสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล


[144] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่าติกัณฑกีวัน
ใกล้เมืองสาเกต ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญใน
สิ่งไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูล อยู่ตลอดกาล ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความ
สำคัญในสิ่งปฏิกูล ว่า ไม่เป็นปฏิกูล อยู่ตลอดกาล ขอภิกษุพึงเป็นผู้มี
ความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูล และสิ่งปฏิกูลว่า เป็นปฏิกูล อยู่ตลอดกาล
ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูล และสิ่งไม่ปฏิกูลว่า เป็นสิ่งไม่
ปฏิกูลอยู่ตลอดกาล ขอภิกษุพึงเว้นสิ่งทั้งสอง คือ สิ่งไม่ปฏิกูลและสิ่ง
ปฏิกูลแล้ว เป็นผู้มีความวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดกาล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควร
เป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูล เพราะอาศัยอำนาจ
ประโยชน์นี้ว่า ความกำหนัดในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด อย่าเกิดขึ้น
แก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่ เพราะ
อาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าเป็น
สิ่งไม่ปฏิกูล เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ว่า ความขัดเคืองในธรรมอันเป็น
ที่ตั้งแห่งความขัดเคือง อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญใน
สิ่งปฏิกูลว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึง
ควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูล และสิ่งปฏิกูลว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่

เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ว่า ความกำหนัดในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัด อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ความขัดเคืองในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความ
ขัดเคือง อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูล
และสิ่งปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุ
จึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูล และสิ่งไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ว่า ความขัดเคืองในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความ
ขัดเคืองอย่าเกิดขึ้นแก่เรา ความกำหนัดในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลและสิ่งไม่ปฏิกูล
ว่า เป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควรเว้น
สิ่งทั้งสอง คือ สิ่งไม่ปฏิกูลและสิ่งปฏิกูลแล้ว เป็นผู้มีความวางเฉย มีสติ-
สัมปชัญญะอยู่ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ว่า ความกำหนัดในธรรมอันเป็น
ที่ตั้งแห่งความกำหนัดในอารมณ์ไหน ๆ ในส่วนไหน ๆ แม้มีประมาณน้อย
อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ความขัดเคืองในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคืองใน
อารมณ์ไหน ๆ ในส่วนไหน ๆ แม้มีประมาณน้อย อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ความ
หลงในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความหลงในอารมณ์ไหน ๆ ในส่วนไหน ๆ
แม้มีประมาณน้อย อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้เว้นสิ่งทั้งสอง คือ
สิ่งไม่ปฏิกูลและสิ่งปฏิกูลแล้ว เป็นผู้มีความวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่.
จบติกัณฑกีสูตรที่ 4

อรรถกถาติกัณฑกีสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในติกัณฑกีสูตรที่ 4 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อปฺปฏิกูเล ได้แก่ ในอารมณ์อันไม่ปฏิกูล. บทว่า
ปฏิกูลสญฺญี ได้แก่ มีความสำคัญอย่างนี้ว่า นี้ปฏิกูล. ในบททั้งปวงก็นัยนี้
เหมือนกัน. ถามว่า ก็ภิกษุนี้อยู่อย่างนี้ได้อย่างไร. ตอบว่า ภิกษุขยายไปใน
วัตถุที่น่าปรารถนาโดยความเป็นของไม่งาม หรือน้อมนำเข้าไปโดยความ
เป็นของไม่เที่ยง ชื่อว่ามีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นปฏิกูลด้วยอาการ
อย่างนี้อยู่. ภิกษุขยายไปในวัตถุอันไม่น่าปรารถนาโดยเมตตาหรือน้อมนำ
เข้าไปโดยเป็นธาตุ ชื่อว่ามีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าไม่ปฏิกูลด้วยอาการ
อย่างนี้อยู่. ก็ในทั้งสองอย่างนี้ท่านกล่าวถึงตติยวารและจตุตถวารโดยนัยต้น
และนัยหลัง. ท่านกล่าวนัยที่ 5 ด้วยฉฬังคุเบกขา ก็ฉฬังคุอุเบกขานี้ คล้ายกับ
อุเบกขาของพระขีณาสพ แต่ไม่ใช่อุเบกขาของพระขีณาสพ. ในบทเหล่านั้น
บทว่า อุเปกฺขโก วิหเรยฺย ได้แก่ ตั้งอยู่ในความเป็นกลาง. บทว่า
กฺวจินิ ได้แก่ ในอารมณ์ไร ๆ. บทว่า กตฺถจิ ได้แก่ ในถิ่นที่ไร ๆ.
บทว่า กิญฺจินา คือ แม้มีประมาณน้อยไร ๆ. ในสูตรนี้ตรัสวิปัสสนาอย่างเดียว
ในฐาน 5 ด้วยประการฉะนี้. ภิกษุรูปหนึ่งผู้ปรารภวิปัสสนาก็บำเพ็ญวิปัสสนา
นั้นได้ แม้สมณะผู้เป็นพหูสูต มีญาณ มีปัญญายิ่งนัก ก็บำเพ็ญได้ พระ-
โสดาบัน พระสกทาคามีและพระอนาคามี ย่อมทำได้ทั้งนั้น พระขีณาสพ
ไม่ต้องพูดแล.
จบอรรถกถาติกัณฑกีสูตรที่ 4