เมนู

ผู้พ้นทั้งหลาย พระองค์ทรงข้าม (โอฆะ)
แล้ว ประเสริฐกว่าผู้ข้ามทั้งหลาย.
ด้วยเหตุนี้ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
จึงนมัสการพระองค์ผู้เป็นมหาบุรุษ ผู้
ปราศจากความครั่นคร้าม บุคคลเปรียบปาน
พระองค์ไม่มีในโลกมนุษย์กับทั้งโลก
เทวดา.

จบโลกสูตรที่ 3

อรรถกถาโลกสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในโลกสูตรที่ 3 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โลโก ได้แก่ทุกขสัจ. บทว่า อภิสมฺพุทฺโธ ได้แก่ ทำให้
ประจักษ์แล้วด้วยญาณ. บทว่า โลกสฺมา ได้แก่ จากทุกขสัจ. บทว่า ปหีโน
ได้แก่ ละได้แล้ว ด้วยอรหัตมรรคญาณ ที่มหาโพธิมัณฑสถาน (โคนโพธิ).
บทว่า ตถาคตสฺส ภาวิตา แปลว่า อันตถาคตทำให้มีแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสความที่พระองค์เป็นพุทธะด้วยสัจจะ 4
โดยฐานะมีประมาณเท่านี้ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ยํ ภิกฺขเว
เพื่อตรัสความที่พระองค์เป็นตถาคต. ในบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐํ ได้แก่
รูปายตนะ อายตนะคือรูป. บทว่า สุตํ ได้แก่ สัททายตนะ อายตนะคือเสียง
บทว่า มุตํ ได้แก่ อายตนะคือ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะเป็นอารมณ์
ที่มาถึงแล้วรับไว้. บทว่า วิญฺญาตํ ได้แก่ ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม

มีสุขและทุกข์เป็นต้น. บทว่า ปตฺตํ ได้แก่ แสวงหาหรือไม่แสวงหาก็มาถึง
แล้ว. บทว่า ปริเยสิตํ ความว่า มาถึงหรือยังไม่มาถึง ก็แสวงหาแล้ว.
บทว่า อนุวิจริตํ มนสา ได้แก่ คิดค้นด้วยจิต. ด้วยบทว่า ตถาคเตน
อภิสมฺพุทฺธํ
นี้ ทรงแสดงข้อนี้ว่า รูปารมณ์เป็นต้นว่า สีเขียว สีเหลือง
อันใดปรากฏในจักขุทวารของโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้ ในโลกธาตุ อันหา
ประมาณมิได้ ตถาคตตรัสรู้รูปารมณ์อันนั้นทั้งหมดอย่างนี้ว่า สัตว์นี้เห็น
รูปารมณ์ ชื่อนี้ ในขณะนี้แล้ว เกิดดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เป็นกลางบ้าง ดังนี้.
อนึ่ง สัททารมณ์เเป็นต้นว่า เสียงกลอง ปรากฏในโสตทวารของโลกพร้อมทั้ง
เทวโลกนี้ ในโลกธาตุอันหาประมาณมิได้ก็เหมือนกัน คันธารมณ์เป็นต้นว่า
กลิ่นที่ราก กลิ่นที่เปลือก ปรากฏในฆานทวาร รสารมณ์เป็นต้นว่า รสที่ราก
รสที่ลำต้น ปรากฏในชิวหาทวาร โผฏฐัพพารมณ์ต่างด้วยธาตุดิน ธาตุไฟ
ธาตุลม เป็นต้นว่า แข็ง อ่อน ปรากฏในกายทวาร ตถาคตตรัสรู้โผฏฐัพ-
พารมณ์นั้นทั้งหมดอย่างนี้ว่า สัตว์มีถูกต้องโผฏฐัพพารมณ์ ชื่อนี้ ในขณะนี้
แล้ว เกิดดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เป็นกลางบ้างดังนี้. อนึ่ง ธรรมารมณ์ต่างด้วย
สุขและทุกข์เป็นต้น ปรากฏในมโนทวารของโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้ ในโลกธาตุ
ที่หาประมาณมิได้ ตถาคตตรัสรู้ธรรมารมณ์นั้นทั้งหมดอย่างนี้ว่า สัตว์นี้รู้
ธรรมารมณ์ ชื่อนี้ ในขณะนี้แล้ว เกิดดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เป็นกลางบ้าง ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อารมณ์อันใดอันสรรพสัตว์เหล่านี้ เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว
ทราบแล้ว รู้สึกแล้ว ในอารมณ์อันนั้น ตถาคตไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ทราบ
หรือไม่รู้ ก็หามิได้ ส่วนอารมณ์ที่มหาชนนี้แสวงหาแล้ว แต่ไม่ถึงก็มี
ไม่แสวงหาแล้วไม่ถึงก็มี แสวงหาแล้วจึงถึงก็มี ไม่แสวงหาแล้วแต่ถึงก็มี
อารมณ์แม้ทั้งหมด ชื่อว่าไม่ถึงแก่ตถาคต ตถาคตไม่ทำให้แจ้งด้วยญาณหามีไม่.
บทว่า ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจติ ความว่า เรียกว่าตถาคต เพราะโลก
ไปอย่างใด. ตถาคตก็ไปอย่างนั้นแหละ.

ส่วนในบาลีท่านกล่าวว่า อภิสมฺพุทฺธํ บทนั้นก็มีอรรถอย่างเดียว
กับตถาคตศัพท์. พึงทราบเนื้อความแห่งคำนิคมลงท้ายว่า ตถาคโต ในทุก-
วาระโดยนัยนี้. ยุติความถูกต้องแห่งตถาคตศัพท์นั้น กล่าวไว้โดยพิสดารแห่ง
ตถาคตศัพท์ในอรรถกถาที่ว่าด้วยเอกบุคคล อนึ่ง ในข้อนี้ ศัพท์ว่า อญฺญทตฺถุํ
เป็นนิบาตลงในอรรถว่าส่วนเดียว. ชื่อว่า ทสะ เพราะเห็น. ชื่อว่า วสวัตติ
เพราะใช้อำนาจ.
บทว่า สพฺพโลกํ อภิญฺญาย ความว่า รู้ซึ่งโลกสันนิวาสที่เป็น
ไตรธาตุ ธาตุสาม. บทว่า สพฺพโลเก ยถาตถํ ความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
พึงรู้ได้ในโลกสันนิวาสที่เป็นธาตุสามนั้น ทรงรู้สิ่งนั้นทั้งหมดตามเป็นจริง ไม่
วิปริต. บทว่า วิสํยุตฺโต ความว่า ปราศจากโยคะเพราะทรงละโยคะ 4 ได้.
บทว่า อนุสฺสโย ความว่า เว้นขาดจากตัณหา ทิฏฐิ และอุสสยา (ความ
ริษยา). บทว่า สพฺพาภิภู ความว่า ผู้ครอบงำอารมณ์ทั้งปวงมีรูปเป็นต้น
ได้แล้ว. บทว่า ธีโร คือผู้ถึงพร้อมด้วยธิติปัญญา. บทว่า สพฺพคนฺถปฺป-
โมจโน
ความว่า ปลดเปลื้องกิเลสเครื่องร้อยรัด 4 ได้หมด. บทว่า ผุฏฺฐสฺส
ตัดบทเป็น ผุฏฺฐา อสฺส. และบทนี้เป็นฉัฏฐีรีวิภัติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัติ.
บทว่า ปรมา สนฺติ ได้แก่นิพพาน. จริงอยู่ นิพพานนั้น อันธีรชนถูกต้อง
แล้วด้วยความถูกต้อง ด้วยญานนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นิพฺพานํ
อกุโตภยํ
ดังนี้ . อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปรมา สนฺติ ได้แก่ อุดมสันติ.
ถามว่า อุดมสันตินั้นคืออะไร. ตอบว่า ก็บรมสันตินั้นแหละ คือ นิพพาน.
จริงอยู่ ก็เพราะเหตุที่ในนิพพานไม่มีภัยแม้แต่ที่ไหน ฉะนั้น นิพพานนั้น ท่าน
จึงเรียกว่าไม่มีภัยแต่ที่ไหน. บทว่า วิมุตฺโต อุปธิสํขเย ความว่า หลุดพ้น
แล้ว เพราะนิพพานกล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ ด้วยผลวิมุตติที่มีนิพพานนั้น

เป็นอารมณ์. บทว่า สีโห อนุตฺตโร ความว่า ตถาคต ชื่อว่า สีหะ
ผู้ยอดเยี่ยม เพราะอรรถว่า ทรงอดกลั้นอันตรายทั้งหลาย และเพราะอรรถว่า
กำจัดกิเลสทั้งหลาย. บทว่า พฺรหฺมํ แปลว่า ประเสริฐ. บทว่า อิติ ความว่า
รู้คุณของตถาคตอย่างนี้. บทว่า สงฺคมฺม ได้แก่ มาประชุมกันแล้ว. บทว่า
นํ คือพระตถาคต. บทว่า นมสฺสนฺติ ความว่า เทวดาและมนุษย์เหล่านั้น
ถึงพระตถาคตนั้นเป็นสรณะแล้ว นอบน้อมอยู่. บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงถึง
ท่านผู้ที่เทวดาและมนุษย์นอบน้อมกล่าวถึงอยู่ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ทนฺโต
ดังนี้ . คำนั้น มีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาโลกสูตรที่ 3

4. กาฬกสูตร


ว่าด้วยอารมณ์ 6


[24] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ วัดกาฬการาม
นครสาเกต ฯลฯ ตรัสพระธรรมเทศนาว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่โลกกับทั้งเทวโลกมารโลกพรหมโลก
หมู่สัตว์ทั้งเทวดามนุษย์ทั้งสมณพราหมณ์ ได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้ทราบ
แล้ว ได้รู้แล้ว ได้ประสบแล้ว ได้แสวงหาแล้ว ได้คิดค้นแล้ว เราก็รู้
สิ่งนั้น สิ่งใดที่โลก ฯลฯ ทั้งสมณพราหมณ์ได้เห็นแล้ว ฯลฯ ได้คิดค้นแล้ว
เรารู้ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วซึ่งสิ่งนั้น สิ่งนั้นปรากฏแก่ตถาคต แต่สิ่งนั้นไม่
ปรากฏในตถาคต (คือตถาคตไม่ติดพัวพันสิ่งนั้น)