เมนู

ภิกษุทั้งหลาย สหัมบเพรหมกล่าวคำประพันธ์นี้แล้วอภิวาทเราทำ
ประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล
ครั้งนั้น เราแจ้งว่า พรหมวิงวอนและรู้ภาวะอันสมควรแก่ตนแล้ว
ธรรมใดที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราก็สักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่มา ก็แต่ว่า
เมื่อใด แม้สงฆ์ถึงพร้อมด้วยความใหญ่แล้ว เมื่อนั้นเราจะเคารพในสงฆ์ด้วย.
จมปฐมอุรุเวลสูตรที่ 1

อรุเวลวรรควรรณนาที่ 3



อรรถกถาอุรุเวลสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในอุรุเวลสูตรที่ 1 แห่งวรรคที่ 3 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุรุเวลา ในบทว่า อุรุเวลายํ นี้ ได้แก่เขตทรายกองใหญ่
อธิบายว่า ทรายกองใหญ่. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในข้อนี้อย่างนี้ว่า
ทราบเรียกว่าอุรุ เขตแดนเรียกว่าเวลา. ทรายที่เขาขนมาเพราะละเมิดกติกา
เป็นเหตุ ชื่อว่าอุรุเวลา. ได้ยินว่า ในอดีตกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติ
กุลบุตรหมื่นคนบวชเป็นดาบสอยู่ในประเทศนั้น ในวันหนึ่ง ประชุมพร้อม
กันแล้งได้ตั้งกติกากันว่า ชื่อว่ากายกรรม วจีกรรม ย่อมปรากฏแก่ชนเหล่าอื่น
ได้ ส่วนมโนกรรมไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น บุคคลใดตรึกถึงกามวิตก พยาบาท-
วิตก หรือวิหิงสาวิตก. บุคคลอื่นชื่อว่า จะตักเตือนบุคคลนั้นไม่มี บุคคลนั้น
ตักเตือนตนด้วยตนเองแล้ว เอาใบไม้ห่อทรายนำมาเกลี่ยลงในที่นี้. นี้จัดเป็น
ทัณฑกรรมของบุคคลนั้น. ตั้งแต่นั้นมา ผู้ใดตรึกวิตกเช่นนั้น ผู้นั้นเอาใบไม้
ห่อทรายมารเกลี่ยลงในที่นั้น จึงเกิดเป็นกองทรายใหญ่ โดยลำดับในที่นั้น
ด้วยประการฉะนี้ ต่อมา หมู่คนที่เกิดในภายหลัง จึงล้อมกองทรายใหญ่นั้น

ทำให้เป็นเจติยสถาน ท่านหมายถึงเจติยสถานนั้น จึงกล่าวว่า อุรุเวลาติ
มหาเวลา มหาวาลิการาสีติ อตฺโถ
ดังนี้ ท่านหมายถึงข้อนั้นเอง จึง
กล่าวไว้ อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในข้อนี้อย่างนี้ว่า ทรายเรียกว่า อุรุ
เขตแดนเรียกว่าเวลา ทรายที่เขานำมาเพราะเหตุละเมิดกติกาเป็นเหตุ ชื่อ
อุรุเวลา.
ด้วยบทว่า นชฺชา เนรญฺชราย ตีเร ทรงแสดงว่า เราอาศัย
อุรุเวลคามพักอยู่ แทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา. บทว่า อชปาลนิโคฺรเธ ความว่า
พวกคนเลี้ยงแพะนั่งบ้าง ยืนบ้าง ในร่มเงาของต้นนิโครธนั้น เพราะเหตุนั้น
ต้นนิโครธนั้น จึงเรียกว่า อชปาลนิโครธ. อธิบายว่า ภายใต้ต้นอชปาล-
นิโครธนั้น.
บทว่า ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ ความว่า เป็นผู้ตรัสรู้ครั้งแรก. บทว่า
อุทปาทิ ความว่า วิตกนี้เกิดในสัปดาห์ที่ 5 ถามว่า เพราะเหตุไร จึงเกิดขึ้น.
ตอบว่า เพราะเป็นอาจิณปฏิบัติ และอาเสวนปัจจัยชาติก่อน ของพระพุทธเจ้า
ทุกพระองค์ ในเหตุข้อนั้น พึงนำติดติรชาดกมาแสดงเพื่อประกาศอาเสวนะ
การส้องเสพในชาติก่อน ได้ยินว่า นกกระทา ลิง และช้าง เมื่ออยู่ในประเทศ
แห่งหนึ่ง จึงแสดงต้นไทรว่า บรรดาพวกเรา ผู้ใดเป็นผู้แก่ เราทั้งหลายจัก
เคารพในผู้นั้นอยู่. ทบทวนกันอยู่ว่า บรรดาพวกเราใครหนอเป็นผู้แก่. รู้ว่า
นกกระทาเป็นผู้แก่ จึงทำความอ่อนน้อมต่อนกกระทำนั้น เป็นผู้พร้อมเพรียง
ยินดีกะกันและกันอยู่. ก็ได้มีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า. เทวดาผู้สถิตอยู่ ณ ต้นไม้
ทราบเหตุนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า.
เย วุฑฺฒมปจายนฺต นรา ธมฺมสฺส โกวิทา
ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ ปาสํสา สมฺปราเย จ สุคฺคติ

นรชนเหล่าใด ฉลาดในธรรม ย่อม
อ่อนน้อมผู้ใหญ่ นรชนเหล่านั้นได้รับ
สรรเสริญในโลกนี้ และในสัมปรายภพ
ก็มีสุคติ ดังนี้.

พระตถาคตแม้เกิดในกำเนิดอเหตุกดิรัจฉานอย่างนี้ ยังทรงชอบ
พระทัยการอยู่อย่างมีความเคารพ บัดนี้ เหตุไรจักไม่ทรงชอบพระทัยเล่า.
บทว่า อคารโว คือเว้น ความเคารพในบุคคลอื่น. อธิบายว่า ไม่ตั้งใครไว้
ในฐานะควรเคารพ. บทว่า อปฺปติสฺโส คือเว้น ความยำเกรง อธิบายว่า
ไม่ทั้งใครไว้ในฐานะผู้ใหญ่. ในบทว่า สมณํ วา พฺรหฺมณํ วา นี้ ท่าน
ประสงค์เอาสมณะและพราหมณ์ผู้สงบบาป และผู้ลอยบาปแล้วเท่านั้น.
บทว่า สกฺกตฺวา ครุกตฺวา ความว่า ทำสักการะและเข้าไปตั้ง
ความเคารพ. ในบทว่า สเทวเก โลเก เป็นอาทิ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้
สเทวกะ แปลว่า พร้อมกับเทวดาทั้งหลาย ก็บรรดามารและพรหมทั้งหลาย
ที่ทรงถือเอาด้วยเทวศัพท์ในบทนี้ ชื่อว่า มาร ผู้มีอำนาจย่อมใช้อำนาจเหนือ
สัตว์ทั้งปวง ชื่อว่า ท้าวมหาพรหมผู้มีอานุภาพใหญ่ ย่อมแผ่แสงสว่างไปใน
หนึ่งจักรวาลด้วยนิ้วหนึ่ง ในสองจักรวาลด้วยสองนิ้ว ย่อมแผ่แสงสว่างไปใน
หมื่นจักรวาลด้วยนิ้วทั้ง 10 จึงแยกตรัสว่า สมารเก สพฺรหฺมเก ด้วย
ดำริว่า ชนทั้งหลาย อย่าได้กล่าวว่าผู้นั้นเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์กว่าด้วยศีลนี้.
ชื่อว่า สมณะทั้งหลายก็เหมือนกันเป็นพหูสูต ด้วยอำนาจนิกายหนึ่งเป็นต้น
มีศีลเป็นบัณฑิต. แม้พราหมณ์ทั้งหลาย เป็นพหูสูต ด้วยอำนาจวิชารู้พื้นที่
เป็นต้น เป็นบัณฑิต จึงตรัสว่า สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย ด้วยทรง
ดำริว่า ชนทั้งหลาย อย่าได้กล่าวว่าสมณะและพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้มีศีล

สมบูรณ์กว่า ด้วยศีลนี้. ส่วนบทว่า สเทวมนุสฺสาย นี้ทรงถือเอาเพื่อทรง
แสดงโดยสิ้นเชิง ครั้นทรงถือเอาแล้วจึงตรัส อนึ่ง ในคำนี้ สามบทแรกตรัส
ด้วยอำนาจโลก สองบทหลังตรัสด้วยอำนาจหมู่สัตว์. บทว่า สีลสมฺปนฺนตรํ
ความว่า ผู้สมบูรณ์กว่า คือผู้ยิ่งกว่าด้วยศีล. ก็ในข้อนี้ ธรรม 4 มีศีลเป็นต้น
ตรัสทั้งโลกิยะทั้งโลกุตระ.
วิมุตติญาณทัสสนะ และปัจจเวกขณญาณ เป็นโลกิยะอย่างเดียว.
บทว่า ปาตุรโหสิ ความว่า สหัมบดีพรหม คิดว่า พระศาสดานี้ เมื่อไม่
ทรงเห็นผู้ที่ยิ่งกว่าพระองค์ด้วยศีลเป็นต้น ตั้งแต่อเวจีจนถึงภวัคคพรหม ทรง
ดำริว่า เราจักทำสักการะโลกุตรธรรม 9 ที่เราแทงตลอดแล้วเข้าอาศัยอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริถึงเหตุ ทรงดำริถึงประโยชน์ คุณวุฒิพิเศษ
จำเราจักไป ทำอุตสาหะให้เกิดแด่พระองค์ ดังนี้ จึงได้ปรากฏ ณ เบื้อง
พระพักตร์. อธิบายว่า ได้ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์. ในบทว่า วิหํสุ วิหรนฺติ จ
นี้พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ ผู้ใดพึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอันมาก
แม้ในปัจจุบัน เพราะพระบาลีว่า วิหรนฺติ ดังนี้ ผู้นั้นพึงถูกคัดค้าน ด้วย
บาลีนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงเป็นพระ-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ดังนี้. พึงแสดงความไม่มีพระพุทธะทั้งหลาย
อื่นแก่ผู้นั้นด้วยสูตรทั้งหลายเป็นอาทิว่า
น เม อาจริโย อตฺถิ สทิโส เม น วิชฺชติ
สเทวกสฺมึ โลกสฺมึ นตฺถิ เม ปฏิปุคฺคโล
เราไม่มีอาจารย์ ไม่มีคนเสมือนเรา
คนที่จะเทียบเราไม่มีในโลก ทั้งเทวโลก.

บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงทรงเคารพ
พระสัทธรรม บทว่า มหตฺตมภิกงฺขตา ความว่า ปรารถนาความ

เป็นใหญ่. บทว่า สรํ พุทฺธาน สาสนํ ความว่า เมื่อมาระลึกถึงศำสอน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. บทว่า ยโต แปลว่า ในกาลใด. บทว่า มหตฺเตน
สมนฺนาคโต
ความว่า แม้สงฆ์ประกอบด้วยความเป็นใหญ่ 4 อย่างนี้ คือ
ความเป็นใหญ่โดยเป็นรัตตัญญู รู้ราตรีนาน 1 ความเป็นใหญ่โดยความ
ไพบูลย์ 1 ความเป็นใหญ่โดยพรหมจรรย์ 1 ความเป็นใหญ่โดยความเป็นผู้
เลิศด้วยลาภ 1. บทว่า อถ เม สงฺเฆปิ คารโว ความว่า เมื่อนั้นเราก็เกิด
ความเคารพแม้ในสงฆ์. ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำความเคารพใน
สงฆ์ในเวลาไร ตอบว่า ในเวลาพระนางประชาบดีถวายผ้าคู่ จริงอยู่ ในเวลา
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสถึงผ้าคู่ ที่พระนางมหาปชาบดีน้อมเข้าไป
ถวายแด่พระองค์ว่า โคตมี พระนางจงถวายในสงฆ์เถิด เมื่อพระนางถวายในสงฆ์
แล้ว ทั้งเราทั้งสงฆ์ก็จักเป็นอันพระนางบูชาแล้ว ชื่อว่าทรงทำความเคารพในสงฆ์.
จบอรรถกถาอุรุเวลสูตรที่ 1

2. ทุติยอุรุเวลสูตร


ว่าด้วยเถรกรณธรรม 4


[22] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อครั้งแรกตรัสรู้ เราพักอยู่ที่ต้น
อชปาลนิโครธ แทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา ครั้งนั้นพราหมณ์
หลายคน แก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วงมัชฌิมวัยถึงปัจฉิมวัยแล้ว เข้าไปหาเราครั้น
ไปถึงแล้วแสดงความชื่นชมกับเรา กล่าวถ้อยคำอันทำให้เกิดความยินดีต่อกัน
เป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่งลง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง พากันกล่าวกะเราว่า ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระเจ้าทั้งหลายได้ยินมาอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมไม่