เมนู

... มีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ดังนี้ ๆ ก็ชื่อว่าทำเรื่องที่ไม่เนิ่นช้าให้เนิ่นช้า นี่แน่ะ
อาวุโส ผัสสายตนะ 6 ยังเป็นไปอยู่เพียงใด ปปัญจธรรม (ธรรมอันทำให้
เนิ่นช้า) ก็ยังเป็นไปอยู่เพียงนั้น ปปัญจธรรมยังเป็นไปอยู่เพียงใด ผัสสาย-
ตนะ 6 ก็ยังเป็นไปอยู่อย่างนั้น ผัสสายตนะ 6 ดับไปไม่เหลือแล้ว ปปัญจ-
ธรรมก็ดับรำงับไป.
จบโกฏฐิตสูตรที่ 3

อรรถกถาโกฏฐิตสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในโกฏฐิตสูตรที่ 3 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า ผสฺสายตนานํ ได้แก่ บ่อเกิดแห่งผัสสะ. อธิบายว่า ที่ที่
เกิดแห่งผัสสะ. บทว่า อตฺถญฺญํ กิญฺจิ ความว่า ท่านมหาโกฏฐิตะถามว่า
เมื่อผัสสายตนะเหล่านั้นดับ โดยไม่เหลือ กิเลสไรๆ นอกจากนั้นแม้จำนวน
น้อยยังมีอยู่หรือ. แม้ในบทว่า นตฺถญฺญํ กิญฺจิ ท่านมหาโกฏฐิตะก็ถามว่า
กิเลสแม้จำนวนน้อยก็ไม่มีหรือ. แม้ในสองบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. ท่าน-
มหาโกฎฐิตะถามปัญหาแม้ 4 ข้อเหล่านี้ด้วยอำนาจสัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ
เอกัจจสัสสตทิฏฐิ
(ความเห็นว่าเทียงเป็นบางอย่าง) และอมราวิกเขปทิฏฐิ
(ความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว). ด้วยเหตุนั้น พระเถระ (พระสารีบุตร) เมื่อจะ
คัดค้านปัญหาที่ท่านมหาโกฏฐิตะถามแล้วถามอีก จึงกล่าวว่า มาเหวํ ดังนี้.
คำว่า หิ ในคำนี้ (มาเหวํ) เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ท่านอย่าพูดอย่างนี้.
ท่านมหาโกฏฐิตะถามโดยอาการมีสัสสตทิฏฐิเป็นต้นว่า สิ่งใด ๆ อื่นด้วยอำนาจ
การเข้าไปถือว่ามีอัตตามีอยู่หรือ คือชื่อว่า อิตตาไร ๆ อื่นมีอยู่หรือ. ถามว่า
ก็พระเถระ (พระมหาโกฏฐิตะ) นี้เป็นอัตตูปลัทธิถือลัทธิว่ามีอัตตา หรือ.

ตอบว่า ไม่ใช่อัตตูปลัทธิ แต่ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นมีลัทธิอย่างนี้ ภิกษุ
นั้นไม่อาจถามได้. ท่านมหาโกฏฐิตะถามอย่างนี้เพื่อจะให้พระสารีบุตรแก้ ลัทธิ
ในที่นั้น. พระมหาโกฏฐิตะ คิดว่า พระมหาสาวกทั้งหลายแก้ปัญหานี้ แม้ใน
พุทธกาลแก่ผู้ที่จักมีลัทธิอย่างนี้ในอนาคตกาล จึงถามเพื่อตัดโอกาสที่จะพูดกัน .
บทว่า อปฺปมญฺจํ ปปญฺเจติ ได้แก่ ไม่ทำความเนิ่นช้าในที่อัน
ควรทำให้เนิ่นช้า คือหน่วงทางอันไม่ควรหน่วง. บทว่า ตาวตา ปญฺจสฺส-
คติ
ความว่า คติแห่งผัสสายตนะ 6 ยังมีอยู่เพียงใด คติแห่งปปัญจธรรม
(ธรรมอันทำให้เนิ่นช้า) อันต่างด้วย ตัณหา ทิฏฐิ มานะก็ยังมีอยู่เพียงนั้น
บทว่า ฉนฺนํ อาวุโส ผสฺสายตนานํ อเสสวิราคนิโรธา ปปญฺจนิโรโธ
ปปญฺจวูปสโม
(ดูก่อนผู้อาวุโส เพราะผัสสายตนะ 6 ดับด้วยสำรอกโดย
ไม่เหลือ ปปัญจธรรมก็ดับ ปปัญจธรรมก็ระงับไป) ความว่า เมื่ออายตนะ 6
เหล่านี้ ดับโดยประการทั้งปวง แม้ปปัญจธรรมก็เป็นอันดับไป เป็นอัน
ระงับไป แต่ในอรูปภพ ผัสสายตนะ 5 ของเทวดาผู้เป็นปุถุชนดับไปก็จริง
ถึงดังนั้น เพราะผัสสายตนะที่ 6 ยังไม่ดับ ปปัญจธรรมแม้ 3 ก็ชื่อว่า ยังละ
ไม่ได้. ก็และท่านกล่าวปัญหานี้ ด้วยสามารถปัญจโวหารภพ ของสัตว์ที่มี
ขันธ์ 5 เท่านั้น.
จบอรรถกถาโกฏฐิตสูตรที่ 3

4. อานนทสูตร


ว่าด้วยอายตนะดับไม่เหลือ


[174] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปหาท่านพระมหาโกฏฐิตะ
ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหาโกฏฐิตะ ครั้น ผ่านการปราศรัยพอให้
ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระ-
มหาโกฏฐิตะว่า ดูก่อนอาวุโส เพราะผัสสายตนะ 6 ดับสนิทโดยสำรอก
ไม่เหลือ อะไร ๆ อื่นมีอยู่หรือ ? ท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส
อย่าได้กล่าวอย่างนั้น.
อา. ดูก่อนอาวุโส เพราะผัสสายตนะ 6 ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไร ๆ อื่นไม่มีอยู่หรือ
มหา. ดูก่อนอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น.
อา. ดูก่อนอาวุโส เพราะผัสสายตนะ 6 ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไรอื่น ๆ มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ?
มหา. ดูก่อนอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น.
อา. ดูก่อนอาวุโส เพราะผัสสายตนะ 6 ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไร ๆ อื่นมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ?
มหา. ดูก่อนอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น.
อา. ผมถามว่า เพราะผัสสายตนะ 6 ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไร ๆ อื่นมีอยู่หรือ ท่านกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น
ผมถามว่า ดูก่อนอาวุโส เพราะผัสสายตนะ 6 ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไร ๆ อื่นไม่มีหรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส อย่าได้กล่าวอยู่นั้น
ผมถามว่า ดูก่อนอาวุโส เพราะผัสสายตนะ 6 ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ