เมนู

ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็วเป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ได้ปฐมฌาน ฯลฯ ได้ทุติยฌาน
ฯลฯ ได้ตติยฌาน ฯลฯ ได้จตุตถฌาน ฯลฯ ภิกษุนั้นอาศัยเสขพละ 5
ประการ คือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา นี้อยู่ ทั้งอินทรีย์ 5
คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเธอก็แก่กล้า เพราะอินทรีย์ 5
นี้แก่กล้า เธอย่อมบรรลุอนันตริยคุณเพื่อความสิ้นอาสวะได้เร็ว นี้เรียกว่า
ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว.
ภิกษุทั้งหลาย นี้แลปฏิปทา 4.
จบอสุภสูตรที่ 3

อรรถกถาอสุภสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในอสุภสูตร 3 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อสุภานุปสฺสี กาเย วิหรติ ความว่า ภิกษุพิจารณาเห็น
ในกรชกายของตนว่าไม่งาม ด้วยการเข้าไปเปรียบเทียบกับอสุภะ 10 ที่ตน
เห็นแล้วในภายนอกโดยนัยนี้ว่า นั่นฉันใด นี้ก็ฉันนั้น อธิบายว่า เห็นกาย
ของตนด้วยญาณ โดยเป็นสิ่งไม่งาม โดยเป็นสิ่งปฏิกูล. บทว่า อาหาเร
ปฏิกฺกุลสญฺญี
ความว่า มีความสำคัญในกวฬีการาหาร ว่าเป็นปฏิกูลด้วย
อำนาจปฏิกูล 9. บทว่า สพฺพโลเก อนภิรตสญฺญี ความว่า ประกอบ
ด้วยความไม่น่ายินดี คือด้วยสัญญาว่าน่าเอือมระอา ในโลกสันนิวาสอันเป็น
ไตรธาตุ แม้ทั้งหมด. บทว่า สพฺพสํขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสี ความว่า
พิจารณาเห็นสังขารอันเป็นไปในภูมิ 3 แม้ทั้งหมด โดยความเป็นของไม่เที่ยง.

บทว่า มรณสญฺญา ได้แก่ สัญญาอันเกิดขึ้นเพราะปรารภความตาย. บทว่า
อชฺฌตฺตํ สุปฏฺฐิตา โหติ ได้แก่ เข้าไปตั้งไว้ด้วยดีในภายในกายของตน.
ท่านกล่าววิปัสสนาอันมีกำลังด้วยเหตุเพียงเท่านี้ . บทว่า เสกฺขพลานิ ได้แก่
กำลังของพระผู้ยังต้องศึกษา. คำที่เหลือในบทนี้ง่ายทั้งนั้นโดยอำนาจบาลี.
ก็บทว่า อสุภานุปสฺสี เป็นต้น ท่านกล่าวเพื่อแสดงถึงปฏิปทาลำบาก
ปฐมฌานเป็นต้น ท่านกล่าวเพื่อแสดงปฏิปทาสะดวก. ด้วยว่าอสุภะเป็นต้น
มีปฏิกูลเป็นอารมณ์. ก็ตามปกติจิตที่ใฝ่รักย่อมคิดอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อจะเจริญอสุภะเป็นต้นเหล่านั้น ชื่อว่า ปฏิบัติปฏิปทาลำบาก.
ปฐมฌานเป็นต้น เป็นสุขประณีต เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติปฐมฌานเป็นต้น
เหล่านั้นชื่อว่า ปฏิบัติปฏิปทาสะดวก.
ในข้อนี้มีอุปมาอันเป็นสาธารณะดังต่อไปนี้ จริงอยู่ บุรุษผู้เข้าสงคราม
ทำซุ้มแผ่นกระดานแล้วสอดอาวุธ 5 เข้าสู่สงความ เขาประสงค์จะพักในระหว่าง
จึงเข้าไปยังซุ้มแผ่นกระดานพักผ่อน และดื่มน่าบริโภคอาหารเป็นต้น จากนั้น
เขาก็เข้าสู่สงความทำการรบต่อไป. ในข้ออุปมานั้นพึงเห็นว่า การสงคราม
กับกิเลสดุจเข้าสงคราม กำลังเป็นที่อาศัย 5 ดุจซุ้มแผ่นกระดาน พระโยคาวจร
ดุจบุรุษเข้าสู่สงความ อินทรีย์ มีวิปัสสนาเป็นที่ 5 ดุจเครื่องสอดอาวุธ 5
เวลาเจริญวิปัสสนาดุจเวลาเข้าสงความ เวลาที่พระโยคาวจรเจริญวิปัสสนา
ขณะจิตตุปบาทไม่มีความยินดี ก็อาศัยพละ 5 ปลอบจิตให้ร่าเริง ดุจเวลาที่
นักรบประสงค์จะพัก ก็เข้าไปซุ้มแผ่นกระดาน เวลาที่พระโยคาวจรครั้นปลอบ
จิตให้ร่าเริงด้วยพละ 5 แล้วเจริญวิปัสสนาอีก ก็หันกลับมายึดพระอรหัตไว้ได้
พึงทราบเหมือนเวลาที่นักรบพักผ่อนกินดื่มแล้ว กลับเข้าสู่สงความต่อไป. ก็
ในสูตรนี้ตรัสพละ และอินทรีย์คละกัน
จบอรรถกถาอสุภสูตรที่ 3

4. ปฐมขมสูตร


ว่าด้วยปฏิปทา 4


[164] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา 4 นี้ ปฏิปทา 4 เป็นไฉน คือ
อกฺขมา ปฏิปทา ปฏิบัติไม่อดทน
ขมา ปฏิปทา ปฏิบัติอดทน
ทมา ปฏิปทา ปฏิบัติข่มใจ
สมา ปฏิปทา ปฏิบัติรำงับ
ปฏิบัติไม่อดทนเป็นไฉน ? บุคคลบางคนเขาด่า ย่อมด่าตอบ เขา
โกรธ ย่อมโกรธตอบ เขาวิวาท ย่อมวิวาทตอบ นี้เรียกว่า ปฏิบัติไม่อดทน.
ปฏิบัติอดทนเป็นไฉน ? บุคคลบางคน เขาด่า ไม่ด่าตอบ เขาโกรธ
ไม่โกรธตอบ เขาวิวาท ไม่วิวาทตอบ นี้เรียกว่า ปฏิบัติอดทน.
ปฏิบัติข่มเป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัย เห็นรูปด้วยตาแล้ว
เป็นผู้ไม่ถือโดยนิมิต ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ อภิชฌา โทมนัส อกุศลบาป-
ธรรมทั้งหลาย จะพึงไหลไปตามภิกษุผู้ไม่สำรวมอินทรีย์คือตา เพราะเห ตุ
ความไม่สำรวมอินทรีย์คือตาอันใด ปฏิบัติเพื่อปิดกั้นเสียซึ่งอินทรีย์คือตา
อันนั้น รักษาอินทรีย์คือตา ถึงความสำรวมในอินทรีย์คือตา ฟังเสียงด้วยหู
แล้ว ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ลิ้มรสด้วยลิ่นแล้ว ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว
รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว เป็นผู้ไม่ถือโดยนิมิต ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ.
อภิชฌาโทมนัสอกุศลบาปธรรมทั้งหลายจะพึงไหลไปตามภิกษุ ผู้ไม่สำรวม
อินทรีย์ คือ หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะเหตุความไม่สำรวมอินทรีย์ คือ
หู จมูก ลิ้น กาย ใจอันใด ปฏิบัติเพื่อปิดกั้นเสียซึ่งอินทรีย์ คือ หู จมูก