เมนู

อรรถกถาภิกขุนีสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในภิกขุนีสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เอหิ ตฺวํ ได้แก่ ภิกษุณีมีจิตปฏิพัทธ์ในพระเถระ จึงกล่าว
อย่างนี้ เพื่อส่งบุรุษนั้นไป. บทว่า สสีสํ ปารุปิตฺวา ได้แก่ คลุมกาย
ตลอดศีรษะ. บทว่า มญฺจเก นิปชฺชิ ได้แก่ ภิกษุณีรีบลาดเตียงแล้วนอน
บนเตียงนั้น. บทว่า เอตทโวจ ความว่า พระอานนท์สังเกตอาการของ
ภิกษุณีนั้น. จึงได้กล่าวกะภิกษุณีนั้น เพื่อแสดงอสุภกถาโดยนิ่มนวล เพื่อให้
ภิกษุณีละความโลภ.
บทว่า อาหารสมฺภูโต ได้แก่ ร่างกายนี้เกิดเป็นมาเพราะอาหาร
คือเจริญขึ้นเพราะอาศัยอาหาร. บทว่า อาหารํ นิสฺสาย อาหารํ ปชหติ
ความว่า บุคคลอาศัยกวฬีการาหารอันเป็นปัจจุบัน เสพอาหารนั้นโดยแยบคาย
อย่างนี้ ย่อมละอาหารกล่าวคือกรรมเก่า พึงละตัณหา อันเป็นความใคร่ใน
กวฬีการาหารแม้อันเป็นปัจจุบัน. บทว่า ตณฺหํ ปชหติ ความว่า บุคคล
อาศัยตัณหาอันเป็นปัจจุบันที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ ในบัดนี้ ย่อมละบุพตัณหา
อันมีวัฏฏะเป็นมูล. ถามว่า ก็ตัณหาอันเป็นปัจจุบันนี้เป็นกุศลหรืออกุศล.
ตอบว่า เป็นอกุศล. ถามว่า ควรเสพหรือไม่ควรเสพ. ตอบว่า ควรเสพ.
ถามว่า จะชักปฏิสนธิมาหรือไม่ชักมา. ตอบว่า ไม่ชักมา. แต่ควรละความใคร่
ในตัณหาที่ควรเสพ อันเป็นปัจจุบันแม้นี้เสียทีเดียว. บทว่า กิมงฺคํ ปน
ในบทว่า โส หิ นาม อายสฺมา อาสวานํ ขยา ฯเปฯ อุปสมฺปชฺช
วิหริสฺสติ กิมงฺคํ ปนาหํ
นี้ นั่นเป็นความปริวิตกถึงเหตุ. ท่าน
อธิบายข้อนี้ไว้ว่า ภิกษุนั้นจักทำอรหัตผลให้แจ้งอยู่ ด้วยเหตุไรเราจึงจักไม่