เมนู

9. ตัณหาสูตร


ว่าด้วยที่เกิดตัณหา 4 อย่าง


[9] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่เกิดตัณหา 4 อย่างนี้ ที่เกิดตัณหา 4
อย่าง คืออะไร คือ ตัณหาเมื่อเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ย่อมเกิดเพราะจีวรบ้าง
เพราะบิณฑบาตบ้าง เพราะเสนาสนะบ้าง เพราะความมีน้อยมีมากอย่างนั้น
อย่างนี้บ้าง นี้แล ที่เกิดตัณหา 4 อย่าง
คนมีตัณหาเป็นเพื่อน เวียนว่ายไป
เป็นอย่างนี้อย่างนั้นสิ้นกาลนาน ไม่ล่วง-
พ้นสงสารไปได้ ภิกษุรู้โทษอันนี้แล้ว รู้ว่า
ตัณหาเป็นเหตุเกิดทุกข์ ก็จะพึงเป็นผู้มีสติ
สิ้นตัณหา ไม่มีความยึดถือไป.

จบตัณหาสูตรที่ 9

อรรถกถาตัณหาสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในตัณหาสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
ชื่อว่า อุปปาทะ เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งตัณหาเหล่านั้น. ถามว่า
อะไรเกิด. ตอบว่า ตัณหา. ความเกิดขึ้นแห่งตัณหา ชื่อว่า ตัณหุปปาทะ
อธิบายว่า วัตถุแห่งตัณหา เหตุแห่งตัณหา. บทว่า จีวรเหตุ ความว่า
ตัณหาย่อมเกิดเพราะมีจีวรเป็นเหตุ ว่าเราจักได้จีวรที่น่าชอบใจ ในที่ไหน.

ศัพท์ว่า อิติ ในบทว่า อิติภวาภวเหตุ นี้เป็นนิบาตลงในอรรถว่าตัวอย่าง
อธิบายว่า ตัณหาย่อมเกิดขึ้นเพราะความมีน้อยมีมากเป็นเหตุ เหมือนที่เกิดขึ้น
เพราะมีจีวรเป็นต้น เป็นเหตุ ส่วนในบทว่า ภวาภโว นี้ประสงค์เอาเนยใส
และเนยข้นเป็นต้นที่ประณีตและประณีตกว่ากัน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่าภพ
ที่ประณีตกว่าและประณีตที่สุดในสัมปัตติภพดังนี้ก็มี.
บทว่า ตณฺหาทุติโย ความว่า ก็สัตว์นี้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ
ที่ตัวสัตว์เองไม่รู้จุดจบ มิใช่ท่องเที่ยวไปแต่ลำพังเท่านั้น ยิ่งได้ตัณหาเป็น
เพื่อนท่องเที่ยวไปด้วย ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ตณฺหาทุติโย ดังนี้ . ในบทว่า
อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ นี้ได้แก่อัตภาพนี้ ชื่อว่า อิตถภาวะเป็นอย่างนี้ อัตภาพ
ในอนาคต ชื่อว่าอัญญถาภาวะเป็นอย่างอื่น อีกอย่างหนึ่ง อัตภาพแม้อื่นที่
เป็นอย่างนี้ ชื่อว่า อิตถภาวะเป็นอย่างนี้ ที่มิใช่เป็นอย่างนี้ ชื่อว่าอัญญถาภาวะ
เป็นอย่างอื่น. ซึ่งเป็นอย่างนี้และอย่างอื่น. บทว่า สํสารํ ได้แก่ลำดับขันธ์
ธาตุ อายตนะ. บทว่า นาติวตฺตติ แปลว่า ไม่ล่วงพ้นไป. บทว่า เอตมาทีนวํ
ญตฺวา
ความว่า ภิกษุรู้ถึงโทษในขันธ์ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันอย่างนี้
แล้ว. บทว่า ตณฺหํ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ ความว่า รู้ถึงตัณหาอย่างนี้ว่า
ตัณหานี้ เป็นเหตุเกิด เป็นแดงเกิด เป็นเหตุแห่งวัฏทุกข์. ความที่ภิกษุนี้
เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต ทรงแสดงด้วยเหตุประมาณเท่านี้ . บัดนี้
เมื่อทรงยกย่องภิกษุขีณาสพนั้น จึงตรัสว่า วิตฺตณฺโห เป็นอาทิ. บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า อนาทาโน ได้แก่ ไม่ถือมั่น. บทว่า สโต ภิกฺขุ
ปริพฺพเช
ความว่า ภิกษุผู้ขีณาสพถึงความไพบูลย์ด้วยสติสัมปชัญญะ พึงมี
สติสัมปชัญญะเที่ยวไปอยู่. ดังนั้น ในสูตรตรัสถึงวัฏฏะ ในคาถา ตรัสทั้งวัฏฏะ
ทั้งวิวัฏฏะ (โลกิยะและโลกุตระ) ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาตัณหาสูตรที่ 9

10. โยคสูตร


ว่าด้วยโยคะ 4 อย่าง


[10] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โยคะ (เครื่องผูก) 4 นี้ โยคะ 4
คืออะไร คือ กามโยคะ (เครื่องผูกคือกาม) ภวโยคะ (เครื่องผูกคือภพ)
ทิฏฐิโยคะ (เครื่องผูกคือทิฏฐิ) อวิชชาโยคะ (เครื่องผูกคืออวิชชา)
กามโยคะเป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่รู้ถึงความเกิด ความดับ
ความชุ่มชื่น ความขมขื่น และความออกไป แห่งกามทั้งหลายตามจริง เมื่อ
ไม่รู้ถึงความเกิด ฯลฯ ความออกไปแห่งกามทั้งหลายตามจริง ความยินดีในกาม
ความเพลิดเพลินในกาม ความเยื่อใยในกาม ความสยบในกาม ความกระหาย
ในกาม ความกลัดกลุ้มในกาม ความหมกมุ่นในกาม ความดิ้นรนในกาม
ย่อมติดแนบใจ. นี่เรียกว่า กามโยคะ. กามโยคะเป็นดังนี้
ก็ภวโยคะเป็นอย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่รู้ถึงความเกิดฯลฯ
ความออกไปแห่งภพทั้งหลายตามจริง เมื่อไม่รู้ถึงความเกิด ฯลฯ ความออกไป
แห่งภพทั้งหลายตามจริง ความยินดีในภพ ฯลฯ ความดิ้นรนในภพ ย่อมติด
แนบใจ นี่เรียกว่า ภวโยคะ. กามโยคะ ภวโยคะ เป็นดังนี้
ก็ทิฏฐิโยคะเป็นอย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่รู้ถึงความเกิด
ฯลฯ ความออกไปแห่งทิฏฐิทั้งหลายตามจริง เมื่อไม่รู้ถึงความเกิด ฯลฯ
ความออกไปแห่งทิฏฐิทั้งหลายตามจริง ความยินดีในทิฏฐิ ฯลฯ ความดิ้นรน
ในทิฏฐิ ย่อมติดแนบใจ นี่เรียกว่า ทิฏฐิโยคะ. กามโยคะ ภวโยคะ
ทิฏฐิโยคะ เป็นดังนี้