เมนู

อรรถกถาตมสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในตมสูตรที่ 5 ดังต่อไปนี้ :-
บุคคลผู้ประกอบด้วยความมืดมีคำเป็นต้นว่า นีจกุเล ปจฺจาชาโต
เกิดในตระกูลต่ำ ดังนี้ ชื่อว่าตมะ มืดมา. บุคคลชื่อว่ามีมืดไปภายหน้า เพราะ
เข้าถึงความมืดคือนรกอีก ด้วยกายทุจริตเป็นต้น แม้ด้วยบททั้งสองดังกล่าว
เป็นอันตรัสถึงความมืดแห่งขันธ์เท่านั้น. บุคคลชื่อสว่างมา เพราะประกอบ
ด้วยความสว่างมีคำเป็นต้นว่า อฑฺฒกุเล ปจฺจาชาโต (เกิดในตระกูลมั่งคั่ง)
ท่านอธิบายว่า เป็นผู้สว่างไสวดังนี้. บุคคลชื่อว่ามีสว่างไปภายหน้า เพราะ
เข้าถึงความสว่างด้วยการเข้าถึงสวรรค์อีก ด้วยกายสุจริตเป็นต้น พึงทราบ
สองบทแม้นอกนี้ โดยนัยนี้.
บทว่า เวนกุเล ได้แก่ ในตระกูลช่างสาน. บทว่า เนสาทกุเล
ได้แก่ในตระกูลพรานล่าเนื้อเป็นต้น . บทว่า รถการกุเล ได้แก่ ในตระกูล
ช่างหนัง. บทว่า ปุกฺกุสกุเล ได้แก่ ในตระกูลคนรับจ้างเทขยะ. พระผู้มี
พระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงตระกูลวิบัติ ด้วยเหตุประมาณเท่านี้แล้ว เพราะ
เหตุที่บุคคลบางคนถึงจะเกิดในตระกูลคนรับจ้างเทขยะ ก็มั่งคั่งมีทรัพย์มากได้
แต่บุคคลผู้นี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ฉะนั้น บัดนี้ เพื่อทรงแสดงโภควิบัติของ
บุคคลนั้น จึงตรัสว่า ทลิทฺเท เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ทลิทฺเท
ได้แก่ ประกอบด้วยความจน มีข้าวน้ำและของกินน้อย. บทว่า กสิรวุตฺติเก
ได้แก่ เป็นอยู่ด้วยความทุกข์. อธิบายว่า ให้เขาถึงตระกูลที่คนทั้งหลายให้เขา
ยินดีด้วยความพยาม. บทว่า ยตฺถ กสิเรน ฆาสจฺฉาโท ลพฺภติ ความว่า
เขาได้ข้าวต้มข้าวสวยและอาหาร หรือเครื่องนุ่งห่มพอปิดอวัยวะ ด้วยความ
ลำบากในตระกูลใด.

เพราะเหตุที่บุคคลแม้เกิดในตระกูลนี้ เป็นผู้พร้อมด้วยอุปธิสมบัติ
ตั้งอยู่ในความสำเร็จแห่งอัตภาพ แต่บุคคลผู้นี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ฉะนั้น
บัดนี้ เพื่อทรงแสดงวิบัติทางร่างกายของเขา จึงตรัสว่า โส จ โหติ
ทุพฺพณฺโณ
เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุพฺพณฺโณ ความว่า เป็น
คนมีผิวดุจตอไฟไหม้ เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น. บทว่า ทุทฺทสิโก ความว่า
แม้มารดาผู้บังเกิดเกล้าเห็นเข้าก็ไม่พอใจ. บทว่า โอโกฏิมโก ได้แก่ เป็น
คนเตี้ย. บทว่า กาโณ ได้แก่ ตาบอดข้างเดียวบ้าง ตาบอดสองข้างบ้าง.
บทว่า กุณี ได้แก่ มีมือพิการข้างเดียวบ้าง มีมือพิการทั้งสองข้างบ้าง. บทว่า
ขญฺโช ได้แก่ มีขาเขยกข้างเดียวบ้าง มีขาเขยกทั้งสองข้างบ้าง บทว่า
ปกฺขหโต ได้แก่ เป็นอัมพาตไปแถบหนึ่ง.
บทว่า ปทีเปยฺยสฺส ได้แก่ เครื่องอุปกรณ์ของประทีปมีน้ำมัน และ
ตัวภาชนะเป็นต้น. ในบทว่า เอวํ โข ภิกฺขเว นี้ บุคคลคนหนึ่ง ยังไม่
ทันเห็นแสงสว่างในภายนอก ตายในครรภ์ของมารดาแล้ว บังเกิดในอบาย
เวียนว่ายอยู่สิ้นทั้งกัป แม้บุคคลนั้น ก็ชื่อว่ามืดมาแล้วมืดไปภายหน้า. ก็เขา
พึงเป็นบุคคลหลอกลวง. ท่านอธิบายว่า ด้วยว่าคนหลอกลวงได้รับผลสำเร็จ
เห็นปานนี้ดังนี้. ในบทเหล่านี้ ทรงแสดงถึงการมาวิบัติ และปัจจัยในปัจจุบัน
วิบัติ ด้วยบทว่า นีเจ กุเล เป็นต้น. ทรงแสดงปัจจัยที่เป็นไปแล้ววิบัติ
ด้วยบทว่า ทลิทฺเท เป็นต้น. ทรงแสดงอุบายเลี้ยงชีพวิบัติ ด้วยบทว่า
กสิรวุตฺติเก เป็นต้น. ทรงแสดงอัตภาพวิบัติ ด้วยบทว่า ทุพฺพณฺโณ เป็นต้น.
ทรงแสดงเหตุแห่งทุกข์ที่มาประจวบเข้า ด้วยบทว่า พหฺวาพาโธ เป็นต้น.
ทรงแสดงเหตุแห่งสุขวิบัติ และเครื่องอุปโภควิบัติ ด้วยบทว่า น ลาภี
เป็นต้น. ทรงแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้มืดไปภายหน้ามาประจวบเข้า ด้วย

บทว่า กาเยน ทุจฺจริตํ เป็นต้น. ทรงแสดงการเข้าถึงความมืดในสัมปรายภพ
ด้วยบทว่า กายสฺส เภทา เป็นต้น. สุกกปักข์ (ฝ่ายดี) พึงทราบโดยนัย
ตรงกัน ข้ามกับที่กล่าวมาแล้ว.
จบอรรถกถาตมสูตรที่ 5

6. โอณตสูตร


ว่าด้วยบุคคลในโลก 4 จำพวก


[86] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล 4 จำพวกนี้ ฯลฯ คือ
โอณโตณโต บุคคลต่ำมาแล้ว ต่ำไป
โอณตุณฺณโต บุคคลต่ำมาแล้ว สูงไป
อุณฺณโตณโต บุคคลสูงมาแล้ว ต่ำไป
อุณฺณตุณฺณโต บุคคลสูงมาแล้ว สูงไป
ก็บุคคลต่ำมาแล้ว ต่ำไปเป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้เกิดใน
ตระกูลต่ำ คือตระกูลจัณฑาล ฯลฯ บุคคลนั้นยังประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา
ใจ ฯลฯ กายแตกตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก อย่างนี้แล
บุคคลต่ำมาแล้ว ต่ำไป
บุคคลต่ำมาแล้ว สูงไปเป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้เกิดใน
ตระกูลต่ำ คือตระกูลจัณฑาล ฯลฯ บุคคลนั้นประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา
ใจ ฯลฯ กายแตกตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ อย่างนี้แล บุคคลต่ำมา
แล้ว สูงไป