เมนู

อรรถกถาเวสารัชชสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในเวสารัชชสูตรที่ 8 ดังต่อไปนี้ :-
ในบทว่า เวสารชฺชานิ นี้ ธรรมอัน เป็นปฏิปักษ์ต่อความขลาด
ชื่อว่า เวสารัชชะ ญาณเป็นเหตุให้กล้าหาญ. เวสารัชชะนี้ เป็นชื่อของ
โสมนัสญาณที่เกิดขึ้นแก่ตถาคต ผู้พิจารณาเห็นความไม่มีความขลาดใน
ฐานะ 4. บทว่า อาสภณฺฐานํ ความว่า ฐานะอันประเสริฐ คือฐานะสูงสุด.
หรือพระพุทธเจ้าในปางก่อนทั้งหลายเป็นผู้องอาจ ฐานะของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายเหล่านั้น . อีกนัยหนึ่ง โคจ่าฝูงของโคร้อยตัว ชื่อว่า อุสภะ โคจ่าฝูง
ของโคหนึ่งพันตัว ชื่อว่าวสภะ หรือโคอุสภะ เป็นหัวโจกโคร้อยคอก โค
วสภะเป็นหัวโจกโคพันคอก โคนิสภะ ประเสริฐสุดแห่งใดทั้งหมด อดทน
ต่ออันตรายทุกอย่าง เผือก น่ารัก ขนภาระไปได้มาก ทั้งไม่หวั่นไหวด้วย
เสียงฟ้าร้องร้อยครั้ง พันครั้ง โคนิสภะนั้น ท่านประสงค์ว่า โคอุสภะในที่นี้
นี้เป็นคำเรียกโคอุสภะนั้น โดยปริยาย. ที่ชื่อว่าอาสภะ เพราะฐานะนี้เป็นของ
โคอุสภะ. บทว่า ฐานํ ได้แก่ การเอาเท้าทั้ง 4 ตะกุยแผ่นดินยืนหยัด. ก็
ฐานะนี้ ชื่อว่าอาสภะ เพราะเหมือนการยืนหยัดของโคอุสภะ. โคอุสภะที่นับ
ว่า โคนิสภะ เอาเท้า 4 เท้าตะกุยแผ่นดินแล้ว ยืนหยัดโดยยืนไม่หวั่นไหว
ฉันใด ตถาคตก็ตะกุยแผ่นดินคือบริษัท 8 ด้วยพระบาทคือเวสารัชชญาณ 4
ไม่หวั่นไหวด้วยข้าศึกปัจจามิตรไร ๆ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ยืนหยัดโดย
ยืนไม่หวั่นไหวก็ฉันนั้น. ตถาคตเมื่อยืนหยัดอยู่อย่างนี้ จึงปฏิญญาฐานของผู้
องอาจ เข้าถึง ไม่บอกคืน กลับยกขึ้นไว้ในพระองค์ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
อาสภณฺฐานํ ปฏิชานาติ ดังนี้.

บทว่า ปริสาสุ ได้แก่ ในบริษัททั้ง 8. บทว่า สีหนาทํ นทติ
ความว่า เปล่งเสียงแสดงอำนาจอันประเสริฐสุด เสียงแสดงอำนาจของราชสีห์
หรือบันลือเสียงแสดงอำนาจเสมือนการแผดเสียงของราชสีห์. ความข้อนี้พึง
แสดงด้วยสีหนาทสูตร. ราชสีห์ เขาเรียกว่า สีหะ เพราะอดทน และเพราะ
ล่าเหยื่อ แม้ฉันใด ตถาคตก็ฉันนั้น เขาเรียกว่า สีหะ เพราะทรงอดทน
โลกธรรมทั้งหลาย และเพราะทรงกำจัดลัทธิอื่น. การบันลือของสีหะที่ท่าน
กล่าวอย่างนี้ เรียกว่า สีหนาท. ในสีหนาทนั้น ราชสีห์ประกอบด้วยกำลัง
ของราชสีกล้าหาญในที่ทั้งปวง ปราศจากขนชูชัน บันลือสีหนาทฉันใด สีหะ
คือ ตถาคตก็ฉันนั้น ประกอบด้วยกำลังของตถาคต เป็นผู้กล้าหาญในบริษัท
ทั้ง 8 ปราศจากขนพอง ย่อมบันลือสีหนาท อันประกอบด้วยความงดงาม
แห่งเทศนามีอย่างต่าง ๆโดยนัยเป็นอาทิว่า อย่างนี้รูป. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ ดังนี้ .
บทว่า พฺรหฺมํ ในบทว่า พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ นี้ ได้แก่ จักร
อันประเสริฐสูงสุดหมดจด. ก็จักกศัพท์นี้
ย่อมใช้ในอรรถว่าสมบัติ ลักษณะ
ส่วนแห่งรถ อิริยาบถ ทาน รตนจักร
ธรรมจักร และอุรจักรเป็นต้น ในที่นี้
รู้กัน ว่า ใช้ในอรรถว่า ธรรมจักร พึงทำ
ธรรมจักรให้ชัดแจ้ง แบ่งเป็นสองประการ.

จริงอยู่ จักกศัพท์นี้ย่อมใช้ในอรรถว่า สมบัติ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า
จตฺตาริมานิ ภิกฺขเว จกฺกานิ เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสานํ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมบัติ 4 ที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายประกอบพร้อมแล้ว
ดังนี้. ใช้ในอรรถว่า ลักษณะ ได้ในบาลีนี้ว่า ปาทตเลสุ จกฺกานิ ชาตานิ

ลักษณะเกิดบนฝ่าพระบาท ดังนี้. ใช้ในอรรถว่า อิริยาบถ ได้ในบาลีนี้ว่า
จตุจกฺกํ นวทฺวารํ มีอิริยาบถ 4 มีทวาร 9 ดังนี้. ใช้ในอรรถว่า ทาน
ได้ในบาลีนี้ ทท ภุญฺช จ มา จ ปมาโท จกฺกํ วตฺตย สพฺพปาณีนํ
ท่านจงให้ จงบริโภค และจงอย่าประมาท จงให้ทานเป็นไปแก่สรรพสัตว์
ดังนี้. ใช้ในอรรถว่า รตนจักร ได้ในบาลีนี้ว่า ทิพฺพํ รตนจกฺกํ ปาตุรโหสิ
จักรรัตน์ที่เป็นทิพย์ได้ปรากฏแล้ว ดังนี้. ใช้ในอรรถว่า ธรรมจักร ได้ใน
บาลีนี้ว่า มยา ปวตฺติตํ จกฺกํ ธรรมจักรอันเราให้เป็นไปแล้วดังนี้ . ใช้ใน
อรรถว่า อุรจักร ได้ในบาลีนี้ว่า อุรจักร กงจักรหมุนอยู่บนกระหม่อมของ
คนผู้ถูกความอยากครองงำ ดังนี้. ใช้ในอรรถว่า ปหรณจักร เครื่องประหาร
ได้ในบาลีนี้ว่า ขุรปริยนฺเตน เจปิ จกฺเกน. ถ้าประหารด้วยจักรมีคมรอบ ๆ
ดังนี้. ใช้ในอรรถว่า อสนิมัณฑละ คือ วงกลมแห่งสายฟ้า ได้ในบาลีนี้ว่า
อสนิจกฺกํ วงกลมแห่งสายฟ้าดังนี้. แต่จักกศัพท์นี้ ในที่นี้รู้กันว่า ใช้ใน
อรรถว่า ธรรมจักร.
ก็ธรรมจักรนี้นั้นมี 2 คือ ปฏิเวธญาณ 1 เทศนาญาณ 1. บรรดา
ธรรมจักร 2 นั้น ญาณที่ปัญญาอบรม นำอริยผลมาให้ตนเอง ชื่อว่า
ปฏิเวธญาณ. ญาณที่กรุณาอบรม นำอริยผลมาให้สาวกทั้งหลาย ชื่อว่า
เทศนาญาณ. บรรดาญาณ 2 อย่างนั้น ปฏิเวธญาณมี 2 คือ ที่กำลัง
เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว. ก็ปฏิเวธญาณนั้น ชื่อว่ากำลังเกิดขึ้นนับแต่ทรงออก
ผนวชจนถึงอรหัตมรรค ชื่อว่าเกิดขึ้นแล้วในขณะแห่งอรหัตผล. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่ากำลังเกิดขึ้นนับแต่ภพชั้นดุสิต จนถึงอรหัตมรรค ณ มหาโพธิบัลลังก์
ชื่อว่าเกิดขึ้นแล้วในขณะแห่งอรหัตผล. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ากำลังเกิดขึ้น
นับแต่ครั้งพระที่ปังกรพุทธเจ้า จนถึงอรหัตมรรค ณ โพธิบัลลังก์ ชื่อว่า

เกิดขึ้นแล้วในขณะแห่งอรหัตผล. เทศนาญาณก็มี 2 คือที่กำลังเป็นไป
ที่เป็นไปแล้ว. ก็เทศนาญาณนั้น ชื่อว่ากำลังเป็นไปจนถึงโสดาปัตติมรรค
ของท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อว่าเป็นไปแล้วในขณะแห่งโสดาปัตติผล.
บรรดาญาณทั้ง 2 นั้น ปฏิเวธญาณ เป็นโลกุตระ เทศนาญาณเป็นโลกิยะ.
ก็ญาณทั้งสองนั้น ไม่ทั่วไปกับสาวกเหล่าอื่นเป็นโอรสญาณทำให้เกิดโอรสคือ
สาวก สำหรับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น.
บทว่า สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต ปฏิชานโต ความว่า ท่าน
ปฏิญญาอย่างนี้ว่า เราเป็นสัมมาสัมพุทธะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเราได้ตรัสรู้
แล้วดังนี้ . บทว่า อนภิสมฺพุทฺธา ความว่า ธรรมทั้งหลาย ชื่อเหล่านี้
ท่านยังไม่รู้แล้ว. บทว่า ตตฺร วต คือในธรรมที่ท่านแสดงเหล่านั้นอย่างนี้ว่า
อนภิสมฺพุทฺธา. บทว่า สหธมฺเมน ได้แก่ด้วยถ้อยคำพร้อมด้วยเหตุ
ด้วยการณ์. บุคคลก็ดี ธรรมก็ดี ท่านประสงค์ว่านิมิตในบทว่า นิมิตฺตเมตํ นี้.
ในข้อนี้มีใจความดังนี้ว่า บุคคลใดจะทักท้วงเรา เราก็ยังไม่เป็นบุคคลนั้น
บุคคลแสดงธรรมใดแล้ว จักทักท้วงเราว่า ธรรมชื่อนี้ ท่านยังไม่รู้แล้วดังนี้
เราก็ยังไม่เห็นธรรมนั้น . บทว่า เขมปฺปตฺโต ได้แก่ถึงความเกษม. สองบท
ที่เหลือ ก็เป็นไวพจน์ของบทนี้นั้นเอง. คำนั้นทั้งหมดตรัสมุ่งถึงเวสารัชชญาณ
อย่างเดียว. ด้วยว่าพระทศพลเมื่อไม่ทรงเห็นบุคคลที่ทักท้วง หรือธรรมที่ยัง
ไม่รู้ ที่เป็นเหตุทักท้วงว่า ธรรมข้อนี้ ท่านยังไม่รู้แล้วดังนี้ พิจารณาเห็นว่า
เราตรัสรู้ตามความเป็นจริงแล้ว จึงกล่าวว่าเราเป็นพุทธะดังนี้ จึงเกิดโสมนัส
ที่มีกำลังกว่า ญาณที่ประกอบด้วยโสมนัสนั้นชื่อว่าเวสารัชชะ. ทรงหมายถึง
เวสารัชชญาณนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า เขมปฺปตฺโต ดังนี้. ในบททุกบท
พึงทราบเนื้อความอย่างนี้.

ในบทว่า อนฺตรายิกา ธมฺมา นี้ ชื่อว่าอันตรายิกธรรม เพราะ
ทำอันตราย. อันตรายิกธรรมเหล่านั้น โดยใจความก็ได้แก่อาบัติ 7 กอง ที่
จงใจล่วงละเมิด. ความจริงโทษที่จงใจล่วงละเมิด โดยที่สุดแม้อาบัติทุกกฏ
และทุพภาสิต ก็ย่อมทำอันตรายแก่มรรคและผลได้. แต่ในที่นี้ ประสงค์เอา
เมถุนธรรม ด้วยว่าเมื่อภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเสพเมถุนธรรม ย่อมเป็นอันตราย
ต่อมรรคและผลถ่ายเดียว. บทว่า ยสฺส โข ปน เต อตฺถาย ความว่า
เพื่อประโยชน์แก่ธรรมอันใดในบรรดาธรรมเป็นที่สิ้นราคะเป็นต้น. บทว่า
ธมฺโม เทสิโต ความว่า ท่านกล่าวธรรนมีอสุภภาวนาเป็นต้น . บทว่า
ตตฺร วต มํ คือในธรรมที่ไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์นั้น. บทที่เหลือ พึงทราบ
โดยนัยอันกล่าวไว้ในวินัย.
บทว่า วาทปถา คือ วาทะทั้งหลายนั่นเอง. บทว่า ปุถุ แปลว่า
มาก บทว่า สิตา คือที่ผูกแต่งเป็นปัญหาขึ้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
ปุถุสฺสิตา ได้แก่ วาทะที้เตรียมคือจัดไว้มาก. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปุถุสฺสิตา
เพราะสมณพราหมณ์เป็นอันมากผูกไว้. บทว่า ยํ นิสฺสิตา ความว่า
แม้บัดนี้สมณพราหมณ์อาศัยคลองวาทะใด. บทว่า น เต ภวนฺติ
ความว่า คลองวาทะเหล่านั้นย่อมไม่มี คือแตกพินาศไป. บทว่า ธมฺมจกฺกํ
นั้น เป็นชื่อของเทศนาญาณก็มี ปฏิเวธญาณก็มี. บรรดาญาณทั้งสองนั้น
เทศนาญาณเป็นโลกิยะ ปฏิเวธญาณเป็นโลกุตระ. บทว่า เกวลี ได้แก่
ทรงถึงพร้อมด้วยโลกุตระสิ้นเชิง. บทว่า ตาทิสํ คือท่านผู้เป็นอย่างนั้น.
จบอรรถกถาเวสารัชชสูตรที่ 8

9. ตัณหาสูตร


ว่าด้วยที่เกิดตัณหา 4 อย่าง


[9] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่เกิดตัณหา 4 อย่างนี้ ที่เกิดตัณหา 4
อย่าง คืออะไร คือ ตัณหาเมื่อเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ย่อมเกิดเพราะจีวรบ้าง
เพราะบิณฑบาตบ้าง เพราะเสนาสนะบ้าง เพราะความมีน้อยมีมากอย่างนั้น
อย่างนี้บ้าง นี้แล ที่เกิดตัณหา 4 อย่าง
คนมีตัณหาเป็นเพื่อน เวียนว่ายไป
เป็นอย่างนี้อย่างนั้นสิ้นกาลนาน ไม่ล่วง-
พ้นสงสารไปได้ ภิกษุรู้โทษอันนี้แล้ว รู้ว่า
ตัณหาเป็นเหตุเกิดทุกข์ ก็จะพึงเป็นผู้มีสติ
สิ้นตัณหา ไม่มีความยึดถือไป.

จบตัณหาสูตรที่ 9

อรรถกถาตัณหาสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในตัณหาสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
ชื่อว่า อุปปาทะ เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งตัณหาเหล่านั้น. ถามว่า
อะไรเกิด. ตอบว่า ตัณหา. ความเกิดขึ้นแห่งตัณหา ชื่อว่า ตัณหุปปาทะ
อธิบายว่า วัตถุแห่งตัณหา เหตุแห่งตัณหา. บทว่า จีวรเหตุ ความว่า
ตัณหาย่อมเกิดเพราะมีจีวรเป็นเหตุ ว่าเราจักได้จีวรที่น่าชอบใจ ในที่ไหน.