เมนู

8. ปฏิลีนสูตร


ว่าด้วยธรรมเป็นเครื่องหลีกเร้น


[38] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ถ่ายถอนปัจเจกสัจจะ (ความเห็น
ว่าจริงไปคนละทาง) แล้ว ผู้ละเลิกการแสวงหาสิ้นแล้ว ผู้มีกายสังขารอัน
ระงับแล้ว เราเรียกว่า ผู้มีการหลีกออกแล้ว.
ก็ภิกษุผู้ถ่ายถอนปัจเจกสัจจะแล้วเป็นอย่างไร ? ปัจเจกสัจจะมาก
อย่างแห่งสมณพราหมณ์ทั้งหลายมาก คือเห็นว่าโลกเที่ยงบ้าง ว่าโลกไม่เที่ยง
บ้าง ว่าโลกมีที่สุดบ้าง ว่าโลกไม่มีที่สุดบ้าง ว่าชีพกับสรีระเป็นอัน เดียวกันบ้าง
ว่าชีพกับสรีระต่างกันบ้าง ว่าสัตว์ตายแล้วเกิดอีกบ้าง ว่าสัตว์ตายแล้วไม่เกิด
อีกบ้าง ว่าสัตว์ตายแล้วเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มีบ้าง ว่าสัตว์ตายแล้วเกิดอีกก็
มิใช่ ไม่เกิดอีกก็มิใช่บ้าง ปัจเจกสัจจะทั้งปวงนั้น อันภิกษุในพระธรรมวินัย
นี้ถ่ายถอนแล้ว สละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้วละแล้วทิ้งเสียแล้ว ภิกษุผู้
ถ่ายถอนปัจเจกสัจจะเป็นอย่างนี้แล
ก็ภิกษุผู้ละเลิกการแสวงหาสิ้นแล้วเป็นอย่างไร ? (กาเมสนา) การ
แสวงหากาม ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ละได้แล้ว (ภเวสนา) การแสวงหาภพ
ก็ละได้แล้ว (พฺรหฺมจริเยสนา) การแสวงพรหมจรรย์รำงับไปแล้ว ภิกษุผู้ละ
เลิกการแสวงหาสิ้นแล้วเป็นอย่างนี้แล
ก็ภิกษุผู้มีกายสังขารอันระงับแล้วเป็นอย่างไร ? ภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อน ได้
จตุตถฌานอันไม่ทุกข์ไม่สุข มีความบริสุทธิ์ด้วยอุเบกขาและสติอยู่. ภิกษุผู้มี
กายสังขารอันระงับแล้วเป็นอย่างนี้แล

ก็ภิกษุผู้หลีกออกเร้นแล้วเป็นอย่างไร ? ภิกษุในพระธรรนวินัยนี้ละ
อัสมิมานะได้แล้ว มีมูลรากอันขาดแล้ว ถูกทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว
ทำไม่ให้มีในภายหลังแล้ว มีอัน ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุผู้หลีก
ออกเร้นแล้วเป็นอย่างนี้แล
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าผู้ถ่ายถอนปัจเจกสัจจะแล้ว ผู้ละเลิกการ
แสวงหาสิ้นแล้ว ผู้มีกายสังขารอันระงับแล้ว ผู้หลีกออกเร้นแล้วอย่างนี้แล.
ภิกษุผู้คลายความกำหนัดแล้ว ได้
วิมุตติเพราะสิ้นตัณหา สละภารแสวงหา
คือการแสวงหากาม การแสวงหาภพ ทั้ง
การแสวงหาพรหมจรรย์ ถอนความถือว่า
จริงอย่างนั้นอย่างนี้ เพิกร่างกายอันเป็นที่
ตั้งแห่งทิฏฐิเสียได้ ภิกษุนั้นเป็นผู้มีสติ
สงบรำงับแล้ว อันใคร ๆ ทำให้พ่ายแพ้
ไม่ได้แล้ว ได้ตรัสรู้แล้ว เพราะละมานะ
ได้ เรียกว่าผู้หลีกออกแล้ว.

จบปฏิลีนสูตรที่ 8

อรรถกถาปฏิลีนสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในปฏิลีนสูตรที่ 8 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปนุณฺณปจฺเจกสจฺโจ ได้แก่ ภิกษุชื่อว่า ผู้มีปัจเจกสัจจะ
อันถ่ายถอนได้แล้ว เพราะว่า ทิฏฐิสัจจะกล่าวคือความเห็นแต่ละอย่าง เพราะ
ยึดถือความเห็นแต่ละอย่าง อย่างนี้ว่า ความเห็นนี้เท่านั้นจริง นี้เท่านั้นจริง
เธอถ่ายถอนคือกำจัดละได้แล้ว. ในบทว่า สมวยสฏฺเฐสโน นี้ บทว่า สมวย
แปลว่า ไม่บกพร่อง. บทว่า สฏฺฐา แปลว่า สละแล้ว ชื่อว่าสมวย-
สฏฺเฐสโน
เพราะละเลิกการแสวงหาโดยสิ้นเชิง อธิบายว่า ผู้ละเลิกการ
แสวงหาหมดทุกอย่างโดยชอบ. บทว่า ปฏิลีโน แปลว่า ผู้หลีกเร้น คืออยู่
ผู้เดียว. บทว่า ปุถุสมณพฺราหฺมณานํ ได้แก่ สมณะเเละพราหมณ์เป็น
อันมาก. ในคำว่า สมณพฺราหฺมณานํ นี้ ก็คนที่เข้าไปบวช ชื่อสมณะ
คนที่กล่าวว่า โภผู้เจริญ ชื่อว่าพราหมณ์.
บทว่า ปุถุปจฺเจกสจฺจานิ ได้แก่ สัจจะแต่ละอย่างเป็นอันมาก.
บทว่า นุณฺณานิ แปลว่า นำออกแล้ว. บทว่า ปนุณฺณานิ แปลว่า นำออก
ดีแล้ว. บทว่า จตฺตานิ แปลว่า สลัดแล้ว. บทว่า วนฺตานิ แปลว่า
คายออกแล้ว. บทว่า มุตฺตานิ คือ ทำเครื่องผูกให้ขาดแล้ว. บทว่า ปหีนานิ
แปลว่า ละได้แล้ว. บทว่า ปฏินิสฺสฏฺฐานิ แปลว่า สละทิ้งไปแล้ว โดย
ที่จะไม่งอกขึ้นที่ใจอีก. บทเหล่านี้ทุกบท เป็นคำใช้แทนความเสียสละ ซึ่งความ
ยึดถือที่ยึดถือไว้แล้ว. บทว่า กาเมสนา ปหีนา โหติ ได้แก่ การแสวงหากาม
เป็นอันละได้แล้วด้วยอนาคามิมรรค. ส่วนการแสวงหาภพ เป็นอันกำลังละด้วย
อรหัตมรรค แม้การแสวงหาพรหมจรรย์ คือ อัธยาศัยที่เป็นไปแล้ว อย่างนี้ว่า
เราจักเสาะแสวงพรหมจรรย์ดังนี้ ก็สงบระงับไปด้วยอรหัตมรรคนั่นเอง. ส่วน
การแสวงหาทิฏฐิพรหมจรรย์ ก็พึงพูดได้ว่า ย่อมระงับไปด้วยโสดาปัตติมรรค
อย่างเดียว. บทว่า เอวํ โข ภิกฺขเว ความว่า กายสังขารระงับแล้วด้วยจตุตถ-