เมนู

ก็พรั่นใจ บังเกิดความสะดุ้ง ว่าชาวเรานี่
ไม่เที่ยงแท้ ไม่ก้าวล่วงสักกายะ ดุจฝูง
มฤคสามัญได้ยินเสียงแผดแห่งสีหะแล้ว
สะดุ้งตื่นกลัว ฉะนั้น.

จบสีหสูตรที่ 3

อรรถกถาสีหสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในสีหสูตรที่ 3 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สีโห ได้แก่ราชสีห์ 4 ประเภทคือ ติณราชสีห์ 1 กาฬ-
ราชสีห์ 1 ปัณฑุราชสีห์ 1 ไกรสรราชสีห์ 1.
ในราชสีห์เหล่านั้น
ติณราชสีห์กินหญ้าเช่นกับแม่โคสีนกพิราบ. กาฬราชสีห์กินหญ้าเช่นกับแม่โค
ดำ. ปัณฑุราชสีห์กินเนื้อเช่นกับแม่โคมีสีใบไม้เหลือง. ไกรสรราชสีห์ประกอบ
ด้วยหน้า ปลายหาง และปลายเท้าทั้ง 4 ที่ธรรมชาติตกแต่งด้วยครั่ง ตั้งแต่
ศีรษะของไกรสรราชสีห์นั้น รอย 3 รอยคล้ายเขาเขียนไว้ด้วยพู่กันครั่งไปตรง
กลางหลัง เป็นขวัญอยู่ในระหว่างโคนขา. ส่วนที่คอของมันมีสร้อยคอคล้ายกับ
แวดวงไว้ด้วยผ้ากัมพลแดงมีค่านับแสน. ส่วนอวัยวะที่เหลือได้มีสีตัวดังก้อน
ข้าวสาลีล้วน หรือดังก้อนจุณแห่งหอยสังข์ ในราชสีห์ 4 เหล่านี้ ท่านประสงค์
เอาไกรสรราชสีห์นี้ในที่นี้.
บทว่า มิคราชา ได้แก่ เป็นราชาแห่งฝูงเนื้อทั้งหมด. บทว่า
อาสยา ได้แก่ ออกจากสถานที่อยู่. ท่านอธิบายว่า ย่อมออกจากถ้ำทอง
หรือถ้ำเงิน ถ้ำแก้วมณี ถ้าแก้วผลึก หรือถ้ำมโนศิลา. ก็เมื่อจะออก ย่อม

ออกด้วยเหตุ 4 คือ ถูกความมืดบีบคั้น ออกเพื่อแสงสว่าง 1 ปวดอุจจาระ
ปัสสาวะ ออกเพื่อถ่ายอุจจาระปัสสาวะ 1 ถูกความหิวบีบคั้น ออกเพื่อหาเหยื่อ
1 ถูกความสืบพันธุ์บีบคั้น ออกเพื่อสมสู่กัน 1. แต่ในที่นี้ท่านหมายเอาออก
เพื่อหาเหยื่อ.
บทว่า วิชมฺภติ ความว่า ราชสีห์วางเท้าหลังทั้งสองให้เสมอกัน
บนพื้นถ้ำทอง หรือบนพื้นถ้ำเงิน ถ้าแก้วมณี ถ้าแก้วผลึก หรือถ้ำมโนศิลา
อย่างใดอย่างหนึ่ง เหยียดเท้าหน้าไว้ตรงหน้า ชักส่วนหลังของตัว กระเถิบ
ส่วนหน้า โน้มหลังลง ชูคอขึ้นสลัดธุลีที่ติดอยู่ที่ตัวสะบัดประหนึ่งเสียงฟ้าผ่า.
ส่วนธุลีย่อมปลิววนกันอยู่บนพื้นที่สลัดเหมือนลูกโครุ่น ส่วนธุลีนั้นที่ปลิวอยู่
ปรากฏคล้ายลูกไฟที่หมุนอยู่ในความมืด. บทว่า อนุวิโลเกติ ถามว่า เพราะ
เหตุไร ราชสีห์จึงเหลียวดู. ตอบว่า เพราะความเอ็นดูสัตว์อื่น. ได้ยินว่า
เมื่อมันแผดเสียง สัตว์ทั้งหลายมีช้าง วัว ควายเป็นต้น เที่ยวอยู่ใกล้เหว
และบ่อ ก็ตกไปในเหวบ้าง ในบ่อบ้าง มันจึงเหลียวดูก็เพราะความเอ็นดูสัตว์
เหล่านั้น. ถามว่า ก็ราชสีห์ตัวดุร้ายที่กินเนื้อของสัตว์อื่นนั้น ยังมีความ
เอ็นดูอยู่หรือ. ตอบว่า มีอยู่. จริงอย่างนั้น มันย่อมไม่จับสัตว์เล็กๆ เพื่อเป็น
อาหารของตน ด้วยคิดว่า ประโยชน์อะไรของเราด้วยสัตว์เป็นอันมากที่ถูกฆ่า
ดังนี้. มันทำความเอ็นดูด้วยอาการอย่างนี้. ก็ข้อนั้นสมจริงดังท่านกล่าวว่า
เราอย่าฆ่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในที่ไม่เรียบเสียเลย.
บทว่า สีหนาทํ นทติ ความว่า ครั้งแรก แผดเสียงที่สัตว์กลัว
ขึ้น 3 ครั้ง. ก็แลเมื่อมันยืนอยู่บนพื้นที่สะบัด แผดเสียงออก เสียงย่อมกึกก้อง
เป็นอย่างเดียวกันโดยรอบตลอดเนื้อที่ 3 โยชน์ ฝูงสัตว์ 2 เท้า และ 4 เท้า
ที่อยู่ภายในสามโยชน์ ได้ยินเสียงกึกก้องของมันเข้า ย่อมยืนอยู่ในที่เดิมไม่ได้.
บทว่า โคจราย ปกฺกมติ ได้แก่ ย่อมออกไปเพื่อหาเหยื่อ. ถามว่าอย่างไร ?

ตอบว่า มันยืนบนพื้นที่สะบัด กระโดดไปข้างขวาที ข้างซ้ายที ข้างหลังที
ย่อมวิ่งไปตลอดเนื้อที่ประมาณอุสภะหนึ่ง เมื่อกระโดดสูง กระโดดได้ 4
อสภะบ้าง 8 อสภะบ้าง เมื่อวิ่งตรงไปในที่เรียบ ก็วิ่งไปได้ตลอดเนื้อที่
ประมาณ 16 อุสภะบ้าง 20 อุสภะบ้าง. เมื่อวิ่งลงจากที่ดอนหรือภูเขา ก็วิ่ง
ได้ตลอดเนื้อที่ประมาณ. 60 อุสภะบ้าง 80 อุสภะบ้าง เห็นต้นไม้หรือภูเขา
ในระหว่างทาง ก็เลี่ยงต้นไม้หรือภูเขานั้น หลีกไปที่สูงประมาณหนึ่งอุสภะ
ทางขวาบ้าง ทางซ้ายบ้าง. ก็ราชสีห์แผดเสียงครั้งที่ 3 ย่อมปรากฏตัวในที่
สามโยชน์พร้อมกับเสียงนั้น มันไปได้สามโยชน์ กลับมายืนยังได้ยินเสียง
กึกก้องของตนอยู่. ราชสีห์ ย่อมหลีกไปด้วยฝีเท้าอันเร็วอย่างนี้.
บทว่า เยภุยฺเยน แปลว่า โดยมาก. บทว่า ภยํ สนฺตาสํ สํเวคํ
ทุกบท เป็นชื่อของความสะดุ้งแห่งจิตเหมือนกัน แท้จริงสัตว์และคน ได้ยิน
เสียงของราชสีห์ ส่วนมากกลัว ส่วนน้อยไม่กลัว ถามว่า ก็สัตว์และคน
ส่วนน้อยเหล่านั้นคือใคร ? ตอบว่า คือ ราชสีห์ที่เสมอกัน ช้างอาชาไนย
ม้าอาชาไนย โคอุสภอาชาไนย บุรุษอาชาไนย พระขีณาสพ.
ถามว่า
ก็เพราะเหตุไร สัตว์และคนเหล่านั้นจึงไม่กลัว. ตอบว่า อันดับแรกราชสีห์ที่
เสมอกัน ย่อมไม่กลัวเพราะคิดว่า เราเสมอกันด้วยชาติ โคตรตระกูล และ
ความกล้า. ช้างอาชาไนยเป็นต้น ไม่กลัวเพราะว่าตนมีสักกายทิฏฐิเป็นกำลัง
พระขีณาสพ ไม่กลัว เพราะละสักกายทิฏฐิได้แล้ว บทว่า พลาสยา ได้แก่
สัตว์ที่นอนอยู่ในรู อยู่ในโพรง มีงู พังพอน และเหี้ยเป็นต้น. บทว่า
อุทกาสยา ได้แก่ สัตว์อยู่ในน้ำมีปลาและเต่าเป็นต้น. บทว่า วนาสยา
ได้แก่ สัตว์อยู่ในป่ามีช้าง ม้า วัว เนื้อเป็นต้น บทว่า ปวิสนฺติ ความว่า
สัตว์ทั้งหลายมองดูทางด้วยคิดว่า บัดนี้ ใครจักมาจับดังนี้ จึงเข้าไป. บทว่า
ทฬฺเหหิ คือ อันเหนียวแน่น. บทว่า วรตฺเตหิ คือ ด้วยเชือกหนัง.

ในบทว่า มหิทฺธิโก เป็นต้น พึงทราบว่า ความที่ราชสีห์มีฤทธิมากด้วยอำนาจ
ยืนอยู่ที่พื้นที่สะบัดตัวกระโดดได้อุสภะหนึ่งทางข้างขวาเป็นต้น กระโดดตรงได้
ประมาณ 20 อุสภะเป็นต้น. พึงทราบความเป็นสัตว์มีศักดิ์ใหญ่ เพราะเป็นเจ้า
เป็นใหญ่กว่ามฤคที่เหลือ. พึงทราบความที่ราชสีห์มีอานุภาพมาก ด้วยสามารถ
แห่งสัตว์ทั้งหลาย ได้ยินเสียงในที่สามโยชน์โดยรอบแล้ว ต้องพากันหนีไป.
บทว่า เอวเมวโข ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเล่าถึงพระองค์
ไว้ในพระสูตรนั้น ๆ โดยประการนั้น ๆ ตรัสถึงพระองค์เปรียบด้วยราชสีห์ใน
พระสูตรนี้ก่อนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คำว่า สีโห นั้นเป็นชื่อของตถาคต
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าดังนี้ . เปรียบด้วยนายแพทย์ ในพระสูตรนี้ว่า ดูก่อน
สุนักขัตตะ คำว่า ภิสกฺโก สลฺลกนฺโต นั่นเป็นชื่อของตถาคต ดังนี้.
เปรียบด้วยพราหมณ์ในพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บทว่า พฺราหฺมโณ
นั่นเป็นชื่อของตถาคตดังนี้. เปรียบด้วยคนผู้นำทางในพระสูตรนี้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ก็บทว่า ปุริโส มคฺคกุสโล นั่นเป็นชื่อของตถาคตดังนี้.
เปรียบด้วยพระราชาในพระสูตรนี้ว่า ราชาหรสฺมิ เสลา ดังนี้. ส่วนใน
พระสูตรนี้ ตรัสพระองค์เปรียบด้วยราชสีห์ จึงตรัสอย่างนั้น.
ในข้อนี้ มีการเปรียบดังนี้ เวลาที่พระตถาคตบำเพ็ญอภินิหารใกล้
บาทมูลของพระพุทธเจ้าทีปังกร ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย ตลอดเวลากำหนด
นับไม่ได้ ทำหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหว ด้วยการปฏิสนธิ และด้วยการประสูติ
จากครรภ์ของมารดา ในภพสุดท้าย ทรงเจริญวัยแล้ว เสวยสมบัติเช่นทิพยสมบัติ
ประทับอยู่ในปราสาทสามหลัง พึงทราบเหมือนเวลาราชสีห์อยู่ในกาญจนคูหา
ถ้ำทองเป็นต้น. เวลาที่ตถาคตทรงม้ากันถกะ มีนายฉันนะเป็นสหาย เสด็จ
ออกทางพระทวารเปิด ในเวลามีพระชนมายุ 29 พรรษา ก้าวล่วงราชสมบัติ
ทั้งสาม (ราชา ราชาธิราช จักรพรรดิราชา) เสียแล้ว ทรงครองผ้ากาสายะ

อันพรหมถวาย ณ ฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงผนวชแล้ว ก็เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์
ในวันที่ 7 เที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์นั้น ทรงทำภัตกิจ ณ เงื้อมภูเขา
ปัณฑวะ จนทรงถวายปฏิญญาแก่พระเจ้าพิมพิสารว่า ทรงบรรลุพระสัมมา-
สัมโพธิญาณแล้ว จะเสด็จมาแคว้นมคธก่อนแห่งอื่น พึงทราบเหมือนเวลา
ราชสีห์ออกจากกาญจนคูหาเป็นต้น.
เวลาพระตถาคต ทรงถวายปฏิญญาแล้ว เสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบส
กาลามโคตรเป็นต้น ไปจนเสวยก้อนข้าวปายาส 49 ก้อน อันนางสุชาดาถวาย
พึงทราบเหมือน. เวลาราชสีห์สะบัดตัว.
การที่พระตถาคตทรงรับหญ้า (คา) 8 กำ ที่พราหมณ์ชื่อโสตถิยะถวาย
ในเวลาเย็น เทวดาในหมื่นจักรวาลชมเชยบูชาด้วยของหอมเป็นต้น ทรงทำ
ประทักษิณโพธิพฤกษ์ 3 ครั้ง แล้วเสด็จขึ้นโพธิมัณฑสถาน ทรงลาดเครื่อง
ลาดคือหญ้าคา ณ ที่สูง 14 ศอก ประทับนั่งอธิษฐาน ความเพียรมีองค์ 4
ทรงกำจัดมารและพลมารในขณะนั้นนั่นเอง ทรงชำระวิชชา 3 ในยามทั้ง 3
ทรงกวนมหาสมุทร คือปฏิจจสมุปบาท ทั้งอนุโลมทั้งปฏิโลม ด้วยเครื่องกวน
คือยมกญาณ พระญาณคู่ เมื่อทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว หมื่นโลกธาตุ
ก็ไหว ด้วยอานุภาพพระสัพพัญญุตญาณนั้น พึงทราบเหมือนการกำจัดธุลีในตัว
ของราชสีห์.
การที่พระตถาคตทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ประทับอยู่ ณ โพธิ-
มัณฑสถาม 7 สัปดาห์ เสวยข้าวมธุปายาสเป็นพระกระยาหาร ทรงรับ
อาราธนาแสดงธรรมของท้าวมหาพรหม ณ โคนอชปาลนิโครธ ประทับอยู่
ณ ที่นั้น ในวันที่ 1 ทรงระลึกว่า พรุ่งนี้ ก็จักเป็นวันอาสาฬหปุรณมี ใน
เวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ทรงทราบว่า
อาฬารดาบสและอุททกดาบสสิ้นชีพเสียแล้ว ก็ทรงเห็นภิกษุปัญจวัคคีย์สมควร
รับพระธรรมเทศนาก่อน พึงเห็นเหมือนการเหลียวดู 4 ทิศของราชสีห์.

เวลาที่พระตถาคตทรงถือบาตรและจีวรของพระองค์ เสด็จลุก
จากต้นอชปาลนิโครธ เสด็จไปสิ้นทาง 18 โยชน์ ภายหลังเสวยพระกระยาหาร
ด้วยหมายพระหฤทัยจักประกาศธรรมจักรแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ พึงเห็นเหมือน
เวลาราชสีห์ออกหาเหยื่อไปได้สามโยชน์.
เวลาพระตถาคตเสด็จไปสิ้นทาง 18 โยชน์ ทรงทำภิกษุปัญจวัคคีย์
ให้เข้าใจแล้ว ประทับนั่งเหนืออจลบัลลังก์ขัดสมาธิ อันหมู่เทพได้ประชุม
พร้อมกัน หมื่นจักรวาลห้อมล้อมแล้วจึงประกาศพระธรรมจักร โดยนัยเป็น
อาทิว่า อันตะส่วนสุด 2 นี้ อันนักบวชไม่ควรเสพดังนี้ พึงทราบเหมือน
เวลาราชสีห์แผดสีหนาท. ก็แลเมื่อตถาคตทรงแสดงพระธรรมจักรนี้ เสียง
อุโฆษแห่งธรรมของราชสีห์คือพระตถาคต ก็ปกคลุมหมื่นโลกธาตุเบื้องต่ำ
ถึงอเวจีเบื้องบนจดภวัคคพรหม. เวลาเมื่อพระตถาคตแสดงลักษณะ 3 ตรัส
ธรรมจำแนกสัจจะ 4 พร้อมด้วยอาการ 16 จนถึงพันนัย พวกเทวดาที่มีอายุ-
ยืนก็เกิดสะดุ้งด้วยญาณ พึงทราบเหมือนเวลาพวกสัตว์เล็ก ๆ สะดุ้ง เพราะ
เสียงของราชสีห์.
อีกนัยหนึ่ง พระตถาคตทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณก็เหมือนราชสีห์
เวลาที่เสด็จออกจากพระคันธกุฏี ก็เหมือนราชสีห์ออกจากถ้ำทองที่อยู่อาศัย
เวลาเสด็จเข้าไปธรรมสภา ก็เหมือนราชสีห์สะบัดตัว การที่ทรงเหลียวดูบริษัท
ก็เหมือนการเหลียวดูทิศ เวลาทรงแสดงธรรม ก็เหมือนการแผดสีหนาท การ
เสด็จไปบำราบลัทธิอื่น ก็เหมือนการออกหาเหยื่อ.
อีกนัยหนึ่ง พระตถาคตก็เหมือนราชสีห์ การออกจากผลสมาบัติที่
อาศัยนิพพานโดยอารมณ์ ก็เหมือนการออกจากกาญจนคูหาที่อาศัยหิมวันต
บรรพต ปัจจเวกขณญาณ ก็เหมือนการสะบัดตัว การตรวจดูเวไนยสัตว์ ก็
เหมือนการเหลียวดูทิศ การแสดงธรรมแก่บริษัทที่มาถึงแล้ว ก็เหมือนการ

แผดสีหนาท การเสด็จเข้าไปหาเวไนยสัตว์ที่ยังมาไม่ถึง พึงทราบเหมือนการ
ออกไปหาเหยื่อ.
บทว่า ยทา แปลว่า ในกาลใด. บทว่า ตถาคโต ได้แก่ ชื่อว่า
ตถาคต ด้วยเหตุ 8 ที่กล่าวแล้วในหนหลัง. บทว่า โลเก คือในสัตวโลก.
บทว่า อุปฺปชฺชติ ความว่า ตถาคตชื่อว่ากำลังเกิดขึ้น ตั้งแต่อภินิหารบำเพ็ญ
พระบารมีจนถึงโพธิบัลลังก์ หรืออรหัตมัคคญาณ แต่เมื่อบรรลุอรหัตผล
ชื่อว่าเกิดขึ้นแล้ว. บทว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นอาทิ ท่านขยายไว้
พิสดารแล้ว ในนิทเทสว่าด้วยพุทธานุสติ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
บทว่า อิติ สกฺกาโย ความว่า นี้เป็นสักกายะ คือประมาณเท่านี้
เป็นสักกายะยิ่งกว่านี้ไม่มี อุปาทานขันธ์ 5 แม้ทั้งปวงเป็นอันท่านแสดงแล้ว
โดยสภาวะ โดยกิจ โดยที่สุด โดยกำหนด โดยรอบทาง ด้วยเหตุประมาณ
เท่านี้ . บทว่า อิติ สกฺกายสฺส สมุทโย ได้แก่ นี้ชื่อสักกายสมุทัย. บท
เป็นอาทิว่า เพราะอาหารเกิด รูปจึงเกิดดังนี้ ก็เป็นอันท่านแสดงแล้วด้วยเหตุ
ประมาณเท่านี้. บทว่า อิติ สกฺกายสฺส อตฺถงฺคโม ความว่า นี้เป็น
สักกายนิโรธ ดับสักกายะ. บทเป็นอาทิว่า เพราะอาหารดับ รูปจึงดับดังนี้
ทั้งหมดเป็นอันท่านแสดงแล้ว ด้วยบทแม้นี้. บทว่า วณฺณวนฺโต ได้แก่
ผู้มีวรรณะงาม ด้วยวรรณะแห่งสรีระ. บทว่า ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ความว่า
เทวดาเหล่านั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระตถาคต ที่ประดับด้วยลักษณะ
50 ในเบญจขันธ์. บทว่า เยภุยฺเยน ความว่า ถามว่า เว้นเทวดาเหล่าไหน
ในที่นี้ ? ตอบว่า เว้นเทวดาผู้เป็นอริยสาวก. ก็เพราะเทวดาผู้เป็นอริยสาวก
เหล่านั้น ไม่เกิดแม้เพียงความกลัวด้วยความหวาดสะดุ้งแห่งจิต เพราะท่าน
สิ้นอาสวะแล้ว ความสังเวชด้วยญาณ ย่อมเกิดขึ้นแก่ท่านผู้สังเวชแล้ว เพราะ

ท่านบรรลุธรรมที่พึงบรรลุ ด้วยความเพียรโดยแยบคายก็มี ความกลัวด้วย
ความหวาดสะดุ้งแห่งจิต ย่อมเกิดขึ้นแก่พวกเทวดาพวกนี้ ผู้กระทำไว้ในใจ
ถึงความไม่เที่ยงก็มี ความกลัวด้วยญาณ ย่อมเกิดขึ้นในเวลาวิปัสสนามีกำลัง
ก็มี. บทว่า โภ นั่นเป็นเพียงคำเรียกโดยธรรม. บทว่า สกฺกายปริปนฺนา
ได้แก่ นับเนื่องอยู่ในขันธ์ 5. ดังนั้น เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
โทษในวัฏฏะแล้ว ทรงแสดงธรรมนำไตรลักษณ์มา เทวะเหล่านั้นก็เกิดหวาด
กลัวด้วยญาณ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อภิญฺญาย คือทรงรู้แล้ว. บทว่า ธมฺมจกฺกํ ได้แก่
ปฏิเวธญาณบ้าง เทสนาญาณบ้าง. พระพุทธเจ้า ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์
ทรงแทงตลอดสัจจะ 4 พร้อมด้วยอาการ 16 จนถึงพันนัย ด้วยพระญาณใด
พระญาณนั้น ชื่อว่า ปฏิเวธญาณ. ทรงประกาศพระธรรมจักรมีปริวัฏ 3
อาการ 12 ด้วยพระญาณใด พระญาณนั้น ซึ่งว่า เทสนาญาณ. ญาณทั้ง 2
อย่างนั้น เป็นญาณที่เกิดในคราวแรกแก่พระทศพล. ในญาณ 2 เหล่านั้น
ควรถือเอาธรรมเทศนาญาณ ก็ธรรมเทศนาญาณนั่นนั้น ชื่อว่า ย่อมเป็นไปอยู่
ตราบเท่าที่โสดาปัตติผลยังไม่เกิดขึ้นแก่พระอัญญาโกณฑัญญเถระ พร้อมด้วย
พรหม 18 โกฎิ เมื่อโสดาปัตติผลนั้นเกิดขึ้นแล้ว พึงทราบว่าธรรมเทศนาญาณ
ชื่อว่าเป็นไปแล้ว ดังนี้ . บทว่า อปฺปฏิปุคฺคโล คือเว้นบุคคลที่จะเทียมทัน.
บทว่า ยสสฺสิโน คือถึงพร้อมด้วยบริวาร. บทว่า ตาทิโน คือผู้เป็น
เสมือนหนึ่ง (คงที่) กับโลกธรรมมีลาภเป็นต้น.
จบอรรถกถาสีหสูตรที่ 3

4. ปสาทสูตร


ว่าด้วยความเลื่อมใสในวัตถุเลิศ 4 ประการ


[34] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในวัตถุอันเลิศ 4 ประการนี้
ความเลื่อมใสในวัตถุอันเลิศ 4 ประการเป็นไฉน คือ
1. สัตว์ทั้งหลาย เป็นอบท (ไม่มีเท้า) ก็ดี ทวิบท (2 เท้า) ก็ดี
จตุรบท (เท้า) ก็ดี พหุบท (เท้ามาก) ก็ดี เป็นผู้มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี
เป็นผู้มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี เป็นผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี
ประมาณเท่าใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปราชญ์กล่าวว่าเป็น
ยอดแห่งสัตว์ทั้งปวงนั้น สัตว์เหล่าใดเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า สัตว์เหล่านั้น
จึงชื่อว่าเลื่อมใสในวัตถุอันเลิศ เมื่อเลื่อมใสในวัตถุอันเลิศ ก็ย่อมได้ผลอันเลิศ.
2. ธรรมทั้งหลาย ที่เป็นสังขตะมีประมาณเท่าใด อริยมรรคมี
องค์ 8 ปราชญ์กล่าวว่าเป็นยอดแห่งธรรมทั้งปวงนั้น สัตว์เหล่าใดเลื่อมใสใน
อริยมรรคมีองค์ 8 สัตว์เหล่านั้นจึงชื่อว่าเลื่อมใสในวัตถุอันเลิศ เมื่อเลื่อมใส
ในวัตถุอันเลิศ ก็ย่อมได้ผลอันเลิศ.
3. ธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นสังขตะ ทั้งที่เป็นอสังขตะ มีประมาณ
เท่าใด วิราคะ ปราชญ์กล่าวว่าเป็นยอดแห่งธรรมทั้งปวงนั้น วิราคะ คืออะไร
คือ ธรรมเป็นที่ยังความเมาให้สร่าง เป็นที่รำงับเสียสิ้นซึ่งความกระหาย เป็นที่
ถอนขึ้นหมดซึ่งอาลัย เป็นที่เข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่
ปราศจากกำหนัด เป็นที่ดับทุกข์ คือ นิพพาน สัตว์เหล่าใดเลื่อมใสในวิราค-
ธรรม สัตว์เหล่านั้น จึงชื่อว่าเลื่อมใสในวัตถุอันเลิศ เมื่อเลื่อมใสในวัตถุ
อันเลิศ ก็ย่อมได้ผลอันเลิศ.