เมนู

เหมือนอย่างแก้วหรือหินที่ไม่ถูกเพชรเจาะเสียเลยย่อมไม่มีฉันใด บุคคลลางคน
ในโลกนี้กระทำให้แจ้ง ฯลฯ ในปัจจุบันนี่ฉันนั้น นี้เราเรียกว่าบุคคลมีจิต
เหมือนเพซร

นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล 3 มีอยู่ในโลก.
จบวชิรสูตรที่ 5

อรรถกถาวชิรสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในวชิรสูตรที่ 5 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อรุกูปมจิตฺโต ได้แก่ มีจิต เช่นกับแผลเรื้อรัง. บทว่า
วิชฺชูปมจิตฺโต ได้เเก่ มีจิตเช่นกับสายฟ้า เพราะส่องสว่างชั่วเวลาเล็กน้อย.
บทว่า วชิรูปมจิตฺโต ได้แก่มีจิตเช่นกับเพชร เพราะสามารถทำการโค่น
รากเง่าของกิเลสทั้งหลายได้. บทว่า อภิสชฺชติ แปลว่า ข้องอยู่. บทว่า
กุปฺปติ แปลว่า ย่อมกำเริบ ด้วยสามารถแห่งความโกรธ. บทว่า พฺยาปชฺชติ
ความว่า ละสภาพปกติ คือเป็นของเน่า. บทว่า ปติตฺถิยติ ได้แก่ย่อมถึง
ความหงุดหงิด คือความกระด้าง. บทว่า โกปํ ได้แก่ ความโกรธมีกำลังทราม.
บทว่า โทสํ ได้แก่ โทษะ ที่มีกำลังมากกว่าความหงุดหงิดนั้นด้วยสามารถ
แห่งความประทุษร้าย. บทว่า อปฺปจฺจยํ ได้แก่โทมนัส ที่เป็นอาการแห่ง
ความไม่พอใจ.
บทว่า ทุฏฺฐารุโก ได้แก่แผลเรื้อรัง. บทว่า กฏเฐน ได้แก่
ปลายไม้เท้า. บทว่า กถเลน ได้แก่ กระเบื้อง. บทว่า อาสวํ เนติ ได้แก่
ไหลติดต่อกันไป. อธิบายว่า แผลเรื้อรังจะหลั่งออกซึ่งของ 3 อย่างนี้คือ
หนอง เลือด และเยื่อ ตามธรรมดาของตนอยู่แล้ว แต่เมื่อถูกกระทบเข้า

จะหลั่งสิ่งเหล่านั้นออกยิ่งขึ้น. ในบทว่า เอวเมว โข นี้ มีข้อเปรียบเทียบ
ดังต่อไปนี้ ก็คนมักโกรธ พึงเห็นเหมือนแผลร้าย. จรณะ (พฤติกรรม) ของ
คนมักโกรธ พึงเห็นเหมือนการหลั่ง (ของไม่สะอาด) ของแผลร้ายนั้นออกไป
ตามธรรมดาของตนบ้าง จรณะ (พฤติกรรม) ของเขาผู้ดุร้าย พึงเห็นเหมือน
การหลั่ง (ของไม่สะอาด) ของซากศพที่ขึ้นพองออกไปตามธรรมดาของตนบ้าง
คำพูดเล็กน้อย ก็พึงเห็นเหมือนถูกกระทบด้วยไม้หรือกระเบื้อง ภาวะที่เขาจะ
ลำพองมากยิ่งขึ้นว่า คนผู้นี้ (กล้า) พูดเช่นนี้ กับคนเช่นเรา พึงเห็นเหมือน
การไหลออกมากยิ่งขึ้นแห่งแผลเรื้อรัง.
บทว่า รตฺตนฺธการติมิสฺสาย ความว่า ในยามราตรี คือในเวลาที่
มืดสนิท เพราะกระทำความมืด โดยห้ามไม่ให้จักษุวิญญาณเกิดขึ้น. บทว่า
วิชฺชนฺตริกาย ได้แก่ในขณะที่ฟ้าแลบ. แม้ในข้อนี้ ก็มีข้อเปรียบเทียบดัง
ต่อไปนี้ ก็พระโยคาวจร พึงเห็นเหมือน บุรุษผู้มีตาดี. กิเลสที่โสดาปัตติมรรค
ฆ่า พึงเห็นเหมือนความมืด กาลเวลาที่พระโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น พึงเห็น
เหมือนการแลบของสายฟ้า การเห็นพระนิพพานในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค
พึงเห็นเหมือนการเห็นรูปได้รอบด้านของบุรุษผู้มีจักษุในระหว่างฟ้าแลบ กิเลส
ที่สกทาคามิมรรคฆ่า พึงเห็นเหมือนการกำจัดความมืดได้อีกครั้ง การบังเกิด
ขึ้นแห่งสกทาคามิมัคคญาณ พึงเห็นเหมือนการแลบของสายฟ้าอีกครั้งหนึ่ง
การเห็นพระนิพพาน ในขณะแห่งสกทาคามิมรรค พึงเห็นเหมือนการเห็นรูป
ได้โดยรอบ แห่งบุรุษผู้มีตาดี ในระหว่างฟ้าแลบ กิเลสที่อนาคามิมรรคฆ่า
เหมือนการกำจัดความมืดมนอันธการอีกครั้ง ความเกิดขึ้น แห่งอนาคามิมัคค-
ญาณ. พึงเห็นเหมือนการแลบของสายฟ้าอีกครั้ง. การเห็นพระนิพพาน
ในขณะแห่งอนาคามิมรรค พึงเห็นเหมือนการเห็นรูปโดยรอบด้าน แห่งบุรุษ
ผู้มีตาดี ในระหว่างฟ้าแลบ.

แม้ในภาวะที่บุคคลมีจิตเปรียบด้วยเพชร ก็มีข้อเปรียบเทียบดังต่อไปนี้
จริงอยู่ อรหัตมัคคญาณ พึงเห็นเหมือนเพชร. กิเลสทั้งหลายที่พระอรหัตมัคค-
ญาณตัดแล้ว พึงเห็นเหมือนกระเปาะแก้วมณี หรือกระเปาะหิน ภาวะที่กิเลส
ทั้งหลาย ที่พระอรหัตมัคคญาณจะตัดไม่ขาดไม่มี พึงเห็นเหมือนภาวะที่เพชร
จะไม่ตัดกระเปาะแก้ว หรือกระเปาะหินไปไม่มี การที่กิเลสที่พระอรหัตมัคค-
ญาณตัดได้แล้ว จะไม่กลับเกิดขึ้นอีก พึงเห็นเหมือนการที่กระเปาะแก้ว หรือ
กระเปาะหิน ที่ถูกเพชรตัดแล้ว จะไม่กลับเต็มขึ้นมาอีก ฉะนั้นแล.
จบอรรถกถาวชิรสูตรที่ 5

6. เสวิตัพพสูตร



ว่าด้วยผู้ควรคบและไม่ควรคบ



[465] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล 3 นี้ มีอยู่ในโลก บุคคล 3
คือใคร คือ บุคคลที่ไม่ควรเสพไม่ควรคบไม่ควรเข้าใกล้ก็มี บุคคลที่ควรเสพ
ควรคบควรเข้าใกล้ก็มี บุคคลที่ควรสักการะเคารพแล้ว จึงเสพ จึงคบ จึง
เข้าใกล้ก็มี
บุคคลที่ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้เป็นอย่างไร ? บุคคล
ลางคนในโลกนี้ เป็นผู้ด้อย โดยศีลโดยสมาธิโดยปัญญา บุคคลเช่นนี้ ไม่
ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้ เว้นแต่เอ็นดู เว้นแต่อนุเคราะห์
บุคคลที่ควรเสพ ควรคบ ควรเข้าใกล้เป็นอย่างไร ? บุคคล
ลางคนในโลกนี้เป็นผู้เช่นเดียวกัน โดยศีลโดยสมาธิโดยปัญญา บุคคลเช่นนี้
ควรเสพ ควรคบ ควรเข้าใกล้ นั่นเพราะเหตุอะไร ? เพราะเมื่อเราเป็นผู้
เสมอกันโดยศีล ... โดยสมาธิ ... โดยปัญญาแล้ว สีลกถา (การพูดกันถึง