เมนู

เห็น ... ไม่ได้ฟัง ... ย่อมไม่เข้าทาง ...นั้นใด เราอาศัยบุคคลประเภทนี้
จึงอำนวยการแสดงธรรม แลก็เพราะอาศัยบุคคลประเภทนี้ จึงจำต้องแสดงธรรม
แก่บุคคลประเภทอื่นด้วย
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบด้วยคนไข้ 3 ประเภท มีอยู่ในโลก.
จบคิลานสูตรที่ 3

อรรถกถาคิลานสูตร



พึงทราบวินิจฉัย ในคิลานสูตรที่ 2 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า สปฺปายานิ ได้แก่ เป็นประโยชน์เกื้อกูล คือทำความเจริญ
ให้สูงขึ้นไป. บทว่า ปฏิรูปํ แปลว่า สมควร. ด้วยบทว่า เนว วุฏฺฐาติ
ตมฺหา อาพาธา
นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึง คนไข้ ที่เข้าขั้นตรีทูตแล้ว
ประกอบด้วยโรคลม และโรคลมบ้าหมูเป็นต้น ที่รักษาไม่ได้. ด้วยบทว่า
วุฏฺฐาติ ตมฺหา อาพาธา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงอาพาธเล็ก ๆ น้อยๆ
แยกประเภทเป็น โรคอาเจียน หิตด้าน และไข้เปลี่ยนฤดูเป็นต้น.
ก็ด้วยบทว่า ลภนฺโต สปฺปายานิ โภชนานิ โน อลภนฺโต นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงอาพาธทุกชนิดที่จะหายได้ด้วยการรักษา. ก็ในสูตรนี้
ที่ชื่อว่า อุปัฏฐาก (ผู้พยาบาล) ที่เหมาะสมนั้น พึงทราบว่า ได้แก่ผู้ที่ฉลาด
ขยัน ไม่เกียจคร้าน ประกอบด้วยองค์คุณของผู้พยาบาลไข้.
บทว่า คิลานุปฏฺฐาโก อนุญฺญาโต ได้แก่ คิลานุปัฏฐากที่ทรง
อนุญาตไว้ว่า ภิกษุสงฆ์พึงให้. อธิบายว่า เมื่อภิกษุไข้นั้นไม่สามารถ จะพยาบาล

ตามธรรมดาของตนได้ ภิกษุสงฆ์ต้องมอบหมายภิกษุรูปหนึ่ง และสามเณรรูป
หนึ่ง ให้แก่เธอว่า จงปฏิบัติภิกษุนี้. ก็ตลอดเวลาที่ภิกษุและสามเณรผู้อุปัฏฐาก
ทั้งสองนั้น ปฏิบัติภิกษุไข้นั้นอยู่ ภิกษุไข้ก็ดี ผู้ปฏิบัติทั้งสองนั้นก็ดี มีความ
ต้องการสิ่งใด สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นภาระของภิกษุสงฆ์ทั้งนั้น.
บทว่า อญฺเญปิ คิลานา อุปฏฺฐาตพฺพา ความว่า ผู้ป่วยไข้
แม้นอกนี้ สงฆ์ก็ควรอุปัฏฐาก. ถามว่า เพราะเหตุไร. แก้ว่า เพราะผู้ที่
อาพาธถึงขั้นตรีทูต เมื่อสงฆ์ไม่อุปัฏฐากจะทำความขุ่นเคืองใจว่า ถ้าหากภิกษุ
ทั้งหลายพยาบาล เราก็จักหาย แต่ภิกษุทั้งหลายไม่พยาบาลเราเลย แล้วจะ
พึงไปเกิดในอบาย. แต่เมื่อสงฆ์พยาบาลอยู่ เธอจะมีความคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุ
สงฆ์ได้กระทำกรรมที่ควรทำแล้ว แต่อาพาธเช่นนี้เป็นกรรมวิบากของเราเอง
เธอจะเจริญเมตตาไปในภิกษุสงฆ์ แล้วจักเกิดในสวรรค์. ส่วนภิกษุใด
ประกอบด้วยอาพาธเล็กน้อย ถึงจะได้อุปัฏฐากก็หายไม่ได้ก็หายทั้งนั้น อาพาธ
ของภิกษุนั้น แม้จะเว้นจากยาก็หายได้ แต่เมื่อปรุงยาถวายจะหายได้เร็วกว่า.
ต่อจากนั้น เธอก็สามารถจะเรียนพระพุทธพจน์ หรือบำเพ็ญสมณธรรมได้
ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า แม้ภิกษุผู้อาพาธเหล่าอื่น สงฆ์ก็ควร
อุปัฏฐาก.
บทว่า เนว โอกฺกมติ ได้แก่ไม่เข้าไปสู่ทาง (ไม่ถูกทาง). บทว่า
นิยามํ กุสเลสุ ธมฺเมสุ สมฺมตฺตํ ได้แก่ความถูกกล่าว คือ ถูกครรลอง
ในกุศลธรรมทั้งหลาย (ถูกต้องทำนองคลองธรรม). ด้วยบทนี้ เป็นอันตรัส
หมายถึง บุคคลผู้เป็นปทปรมะ. โดยวาะที่ 2 ทรงหมายเอา อุคฆฏิตัญญู
บุคคล
เช่นพระนาลกเถระในพระศาสนา ได้รับโอวาทในสำนักของพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเพียงครั้งเดียว ก็ได้แทงตลอดปัจเจกโพธิญาณทันทีใน

พุทธันดร. โดยวาระที่ 3 ตรัสหมายถึง วิปจิตัญญูบุคคล. ส่วนเนยยบุคคล
ก็ต้องอาศัยนัยนั่นแหละ (จึงจะได้ตรัสรู้).
บทว่า ธมฺมเทสนา อนุญฺญาตา ได้แก่ธรรมกถาที่ทรงอนุญาตไว้
เดือนละ 8 ครั้ง. บทว่า อญฺเญสมฺปิ ธมฺโม เทเสตพฺโพ ความว่า
พระธรรมที่จะพึงตรัสแก่บุคคลแม้นอกนี้. เพราะเหตุไร. เพราะว่าปทปรม
บุคคล ถึงจะไม่สามารถบรรลุธรรมในอัตภาพนี้ได้ แต่ก็จักได้เป็นปัจจัยใน
อนาคต. ส่วนผู้ใด เมื่อได้เห็นพระรูป พระโฉม ของพระตถาคตเจ้า จึงได้
บรรลุก็ดี เมื่อไม่ได้เห็นก็ได้บรรลุก็ดี อนึ่ง เมื่อได้ฟังพระธรรมวินัย จึงได้
บรรลุก็ดี ไม่ได้ฟังก็ได้บรรลุก็ดี บุคคลนั้นจะได้บรรลุทั้ง ๆ ที่ ไม่ได้เห็น
ไม่ได้ฟัง. แต่เมื่อได้เห็น เมื่อได้ฟัง ก็จักได้บรรลุเร็วขึ้น ด้วยเหตุดังว่ามานี้
จึงควรแสดงธรรมแก่คนเหล่านั้น. ส่วนบุคคลจำพวกที่ 3 (ปทปรมะ) จำต้อง
แสดงธรรมซ้ำ ๆ ซาก ๆ.
จบคิลานสูตรที่ 2

3. สังขารสูตร



ว่าด้วยกรรมและผลแห่งกรรม



[462] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล 3 จำพวกนี้ มีอยู่ในโลก
บุคคล 3 จำพวกไหนบ้าง บุคคลลางจำพวกในโลกนี้ ปรุงกายสังขาร...
วจีสังขาร ... มโนสังขาร อันประกอบด้วยความเบียดเบียน1 บุคคลนั้นครั้น
ปรุงกายสังขาร ... วจีสังขาร ... มโนสังขาร อันประกอบด้วยความเบียดเบียน
แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันประกอบด้วยความเบียดเบียน ผัสสะทั้งหลายที่
ประกอบด้วยความเบียดเบียน ย่อมถูกต้องบุคคลผู้เข้าถึงโลกอันประกอบด้วย
ความเบียดเบียนนั้น บุคคลนั้นอันผัสสะทั้งหลายที่ประกอบด้วยความเบียดเบียน
ถูกต้องอยู่ ย่อมได้เสวยเวทนาที่ประกอบด้วยความเบียดเบียนคือเป็นทุกข์
ส่วนเดียว เหมือนเช่นพวกสัตว์นรกฉะนั้น.
อนึ่ง บุคคลลางพวก ปรุงกายสังขาร ... วจีสังขาร ... มโนสังขาร
อันไม่มีความเบียดเบียน บุคคลนั้นครั้นปรุงกายสังขาร ... วจีสังขาร ...
มโนสังขารอัน ไม่มีความเบียดเบียนแล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความเบียดเบียน
ผัสสะทั้งหลาย อันไม่มีความเบียดเบียน ย่อมถูกต้องบุคคลผู้เข้าถึงโลกอัน
1. กายสังขาร แปลว่า เครื่องปรุงแต่งกาย วจีสังขาร เครื่องปรุงแต่งวาจา มโนสังขาร
เครื่องปรุงแต่งใจ ในที่อื่นโดยมาก กายสังขาร ท่านหมายเอาลมหายใจ เพราะลมหายใจ
ปรนปรือกายให้เป็นไป วจีสังขาร หมายเอาวิตกวิจาร เพราะคนเราตรึกตรองก่อนแล้วจึงพูด
มโนสังขาร หมายเอาสัญญาเวทนา เพราะใจจะเป็นกุศลอกุศลก็ด้วยสัญญากับเวทนาปรุงให้
เป็นไป แต่ในที่นี้พระอรรถกถาอธิบายว่า กองเจตนาที่เป็นไปในทวารนั้น ๆ เรียกว่าสังขาร
ที่เป็นไปทางกายเรียกกายสังขาร ฯลฯ แต่คงหมายความว่า ประพฤติทุจริตนั่นเอง เพราะทุจริต
เป็นเรื่องความเบียดเบียนทั้งนั้น