เมนู

อรรถกถาทุติยปาปณิกสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้:-

พ่อค้าผู้มีปัญญา



บทว่า จกฺขุมา ความว่า พ่อค้าเป็นผู้มีปัญญาจักษุ. บทว่า วิธุโร
ความว่า เป็นผู้มีธุระอันสำคัญ คือมีธุระอันสูงสุด ได้แก่ประกอบด้วยวิริยะ
ที่สัมปยุตด้วยญาณ. บทว่า นิสฺสยสมฺปนฺโน คือถึงพร้อมด้วยที่พึ่ง ได้แก่
ถึงพร้อมด้วยที่พำนัก.
บทว่า ปณิยํ ได้แก่สินค้าที่ขาย. ในบทนั้นว่า เอตฺตกํ มูลํ ภวิสฺสติ
เอตฺตโก อุทฺรโย
มีอธิบายว่า สินค้าที่ซื้อมานั้น โดยการซื้อมีปริยายดังที่
ตรัสไว้ว่า ซื้ออย่างนี้ ขายอย่างนี้. สินค้านั้นจัดเป็นทุน คือจำนวนที่ซื้อมา
เท่านี้ ฉะนั้น เมื่อจำหน่ายสินค้านั้นไป ในการจำหน่ายสินค้าจักมีกำไรเท่านี้
คือเพิ่มขึ้นเท่านี้.
บทว่า กุสโล โหติ ปณิยํ เกตุญฺจ วิกเกตุญฺจ ความว่า พ่อค้า
ผู้ฉลาด ไปหาซื้อยังที่ที่สินค้าหาได้ง่าย และไปขายยังที่ที่สินค้าหาได้ยาก ชื่อว่า
เป็นผู้ฉลาดในที่นี้ เขาย่อมได้ลาภเพิ่มขึ้น 10 เท่าบ้าง 20 เท่าบ้าง.
บทว่า อทฺธา ได้แก่ อิสรชน คือผู้ถึงพร้อมด้วยทรัพย์ที่เก็บไว้
จำนวนมาก. บทว่า มหทฺธนา ได้แก่ ผู้มีทรัพย์มาก ด้วยอำนาจเครื่อง
ใช้สอย บทว่า มหาโภคา ได้แก่ ผู้มีโภคะมาก ด้วยสิ่งของที่เป็นเครื่อง
อุปโภคและบริโภค บทว่า ปฏิพโล ได้แก่ ชื่อว่า เป็นผู้สามารถ เพราะ
ถึงพร้อมด้วยกำลังกาย และกำลังความรู้. บทว่า อมฺหากญฺจ กาเลน กาลํ
อนุปฺปาเทตุํ
ความว่า เพื่อเพิ่มให้ดอกเบี้ยอันเกิดจากทรัพย์ที่เขาหยิบยืมไป

เป็นต้นทุน แก่เราทั้งหลายตามกาลอันสมควร. บทว่า นิปตนฺติ แปลว่า
เชื้อเชิญ. บาลีเป็น นิปทนฺติ ก็มี. ความหมายก็ทำนองนี้แหละ.
บทว่า กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทาย ความว่า เพื่อความ
สมบูรณ์ คือเพื่อได้เฉพาะ ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย. บทว่า ถามวา ความว่า
ประกอบด้วยความรู้. บทว่า ทฬฺหปรกฺกโม ความว่า ประกอบด้วยความ
บากบั่น ด้วยความรู้อันมั่นคง. บทว่า อนิกฺขิตฺตธุโร ความว่า ไม่ทอดทิ้ง
ธุระอย่างนี้ว่า เรายังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง จักไม่วางธุระ คือความเพียรนี้.
บทว่า พหุสฺสุตา ความว่า ชื่อว่าเป็นพหูสูต เพราะมีพระพุทธพจน์
อันได้สดับตรับฟังมามาก ด้วยสามารถแห่งนิกาย 1 หรือ 2 นิกายเป็นต้น.
บทว่า อาคตาคมา ความว่า นิกาย 1 ชื่อว่าอาคม 1. 2 นิกาย ชื่อว่า
2 อาคม. 5 นิกาย ชื่อว่า 5 อาคม. ในอาคมทั้ง 5 เหล่านั้น ผู้ใดมีมาแม้
อาคมเดียว คือมีความช่ำชอง ได้แก่ได้รับยกย่อง (เพียงอาคมเดียว) คน
เหล่านั้น ชื่อว่า อาคตาคมา.
บทว่า ธมฺมธรา ได้แก่ ผู้ทรงไว้ซึ่งพระสุตตันตปิฎก. บทว่า
วินยธรา ได้แก่ ผู้ทรงไว้ซึ่งพระวินัยปิฎก. บทว่า มาติกาธรา ได้แก่
ผู้ทรงไว้ซึ่งมาติกาทั้งสอง. บทว่า ปริปุจฺฉติ ได้แก่ ซักถามถึงประโยชน์
และสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ ถึงเหตุและสิ่งที่ไม่ใช่เหตุ. บทว่า ปริปญฺหติ ได้แก่
รู้ คือไตร่ตรอง กำหนด1 เอาว่า เราจักถามธรรมวินัย ชื่อนี้. ข้อความที่เหลือ
ในพระสูตรง่ายทั้งนั้น.
ก็ในพระสูตรนี้ ปัญญามีมาก่อน ความเพียรและการคบหากัลยาณมิตร
มาภายหลัง. ในข้อนั้น ไม่พึงเข้าใจความอย่างนี้ว่า บรรลุพระอรหัตก่อนแล้ว
1. ปาฐาวา อญฺญาตุํ ลภติ ปริคฺคณฺหติ ฉบับพม่าเป็น อญฺญาติ ตุเลติ ปริคฺคณฺหาติ แปลตาม
ฉบับพม่า.

จึงบำเพ็ญเพียร แล้วคบหากัลยาณมิตรภายหลัง. ธรรมดาพระธรรมเทศนา
จะมีการกำหนดโดยปริยายเบื้องต่ำ ปริยายเบื้องสูง หรือโดยส่วนทั้ง 2 บ้าง.
แต่ในพระสูตรนั้น พึงทราบกำหนดโดยปริยายเบื้องสูงเท่านั้น. เพราะฉะนั้น
เมื่อจะตรัสก็ทรงแสดงการอาศัย คบหากัลยาณมิตรไว้ก่อน แล้วทรงแสดง
ความเพียรไว้ท่ามกลาง แล้วจึงตรัสบอกพระอรหัต ในภายหลัง.
จบทุติยปาปณิกสูตรที่ 10
จบรถการวรรควรรณนาที่ 2


รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. ญาตกสูตร 2. สรณียสูตร 3. ภิกขุสูตร 4. จักกวัตติสูตร
5. ปเจตนสูตร 6. อปัณณกสูตร 7. อัตตสูตร 8. เทวสูตร 9. ปฐม-
ปาปณิกสูตร 10. ทุติยปาปณิกสูตร และอรรถกถา.