เมนู

3. สรทสูตร



ว่าด้วยการละสังโยชน์ 3 ด้วยธรรมจักษุ


[534] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในหน้าสารท ท้องฟ้าแจ่ม ปราศจากเมฆ
ดวงอาทิตย์ส่องฟ้า ขจัดความมืดในอากาศสิ้น ทั้งสว่าง ทั้งสุกใส ทั้งรุ่งเรือง
ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมจักษุ (ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม) อัน-
ปราศจากธุลีไม่มีมลทิน (คือกิเลส) เกิดขึ้นแก่อริยสาวก ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
พร้อมกับเกิดความเห็นขึ้นนั้น สังโยชน์ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส
อริยสาวกย่อมละได้ ต่อไป เธอออกจากธรรมอีก 2
ประการ คืออภิชฌา และพยาบาท. เธอสงัดจากกาม...จากอกุศลธรรมทั้งหลาย
เข้าปฐมฌาน อันมีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก. ภิกษุทั้งหลาย
ถ้าอริยสาวกทำกาลกิริยา (ตาย) ในสมัยนั้น สังโยชน์ซึ่งเป็นเหตุทำให้
อริยสาวกผู้ติดอยู่มาสู่โลกนี้อีก ย่อมไม่มี...
จบสรทสูตรที่ 3

อรรถกถาสรทสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสรทสูตรที่ 3 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า วิทฺเธ คือ ปลอดโปร่งเพราะปราศจากเมฆ. บทว่า เทเว
คือ อากาศ. บทว่า อภิวิหจฺจ คือ กำจัด. บทว่า ยโต คือ ในกาลใด.
บทว่า วิรชํ คือ ปราศจากธุลีมีธุลีคือราคะเป็นต้น ที่ชื่อว่า ปราศจากมลทิน
เพราะมลทินเหล่านั้นแล ปราศจากไปแล้ว. บทว่า ธมฺมจกฺขุํ ได้แก่ จักษุ

คือ โสดาปัตติมรรค ซึ่งกำหนดธรรมคือสัจจะ 4. บทว่า นตฺถิ ตํ สํโยชนํ
ความว่า พระอริยสาวกนั้นไม่มีสังโยชน์ 2 อย่างแล (อภิชฌา และพยาบาท).
อนึ่ง ในสูตรนอกนี้ท่านกล่าวว่า ไม่มี ก็เพราะไม่สามารถจะนำมาสู่โลกนี้ได้อีก.
แท้จริง ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงพระอนาคามี.
จบอรรถกถาสรทสูตรที่ 3

4. ปริสาสูตร



ว่าด้วยบริษัท 3 จำพวก



[535] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัท 3 นี้ บริษัท 3 คืออะไร คือ
(อคฺควตี ปริสา) บริษัทที่มีแต่คนดี (วคฺคา ปริสา) บริษัทที่เป็นพรรค
(คือแตกกัน) (สมคฺคา ปริสา) บริษัทที่สามัคคีกัน
บริษัทที่มีแต่คนดี เป็นอย่างไร ? ในบริษัทใด ภิกษุผู้ใหญ่ ๆ
ไม่เป็นผู้สะสมบริขาร ไม่ย่อหย่อน (ในการบำเพ็ญสิกขา) ทอดธุระในทาง
ต่ำทราม มุ่งไปในทางปวิเวก ปรารภความเพียรเพื่อธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อ
บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง ปัจฉิมา-
ชนตา (ประชุมชนผู้เกิดมาภายหลัง) ได้เยี่ยงอย่างภิกษุผู้ใหญ่เหล่านั้น ก็พา
กันเป็นผู้ไม่สะสมบริขาร ไม่ย่อหย่อน (ในการบำเพ็ญสิกขา) ฯลฯ เพื่อทำ
ให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทที่มีแต่คนดี
บริษัทที่เป็นพรรค เป็นอย่างไร ? ในบริษัทใด ภิกษุทั้งหลาย
เกิดแก่งแย่งทะเลาะวิวาทกัน ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปาก บริษัทนี้
เรียกว่า บริษัทที่เป็นพรรค