เมนู

อรรถกถาอปัณณกสูตร



พึงทราบวินิจฉัยใน อปัณณกสูตรที่ 6 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า อปณฺณกปฏิปทํ ความว่า พระอริยบุคคลเป็นผู้ปฏิบัติ
ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดพลาด คือข้อปฏิบัติที่ดีโดยส่วนเดียว ข้อปฏิบัติที่นำสัตว์
ออกจากกาม ข้อปฏิบัติที่ประกอบด้วยเหตุ ข้อปฏิบัติที่มีสาระ ข้อปฏิบัติ
ที่เป็นหลัก (มัณฑปฏิปทา) ข้อปฏิบัติที่ไม่เป็นข้าศึก ข้อปฏิบัติที่เหมาะสม
ข้อปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติโดยการคาดคะเน (ตักกวิทยา)
หรือโดยถือเอาตามนัย. เพราะว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา
ผู้ก่อปฏิบัติอย่างนี้ (ถือโดยตักกะ ถือโดยนัย)จะเสื่อมจากมนุษยสมบัติ เทวสมบัติ
และนิพพานสมบัติ. ส่วนผู้ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา จะไม่เสื่อมจากสมบัติเหล่านั้น.

นายกองเกวียน 2 พวก



เหมือนในอดีตสมัย เมื่อนายกองเกวียน 2 พวก เดินทางไปสู่ที่
กันดาร นายกองเกวียนผู้โง่เขลา เชื่อคำของยักษ์ ถึงความฉิบหายพร้อมกับ
พวกพ่อค้า (ส่วน) นายกองเกวียนผู้ฉลาด ไม่เชื่อฟังคำของยักษ์ คิดว่า
เราจักทิ้งน้ำในที่เราได้พบน้ำ ดังนี้แล้ว ให้สัญญาณกับพวกพ่อค้า1 แล้วจึง
เดินทางไป ซึ่งท่านหมายเอา กล่าว คาถานี้ ว่า
คนพวกหนึ่งได้กล่าว ฐานะ ที่ไม่
ผิด นักคาดคะเน กล่าวฐานะที่สอง (ผิด)
นักปราชญ์รู้ฐานะถูกผิดนี้แล้ว ควรถือเอา
แต่ฐานะที่ไม่ผิด.

1. ปาฐะว่า สตฺถวาเหน สทฺธึ สตฺเถ อนยพฺสนํ ปตเต ฉบับพม่าเป็น พาลสตฺถวาโห สทฺธึ
สตฺเถน อพฺยสนํ ปตฺเต แปลตามฉบับพม่า.

บทว่า โยนิ ในคำว่า โยนิ จสฺส อารทฺธา โหติ นี้ เป็นชื่อ
ของส่วนแห่งขันธ์บ้าง เหตุบ้าง ปัสสาวมรรคบ้าง. จริงอยู่ ส่วนแห่งขันธ์ชื่อว่า
โยนิ มีมาในคำมีอาทิว่า จตสฺโส โข สาริปุตฺต โยนิโย แปลว่า ดูก่อน
สารีบุตร กำเนิดเหล่านี้มี 4 อย่างแล. เหตุ ชื่อว่า โยนิ ในบทเป็นต้น ว่า โยนิ
เทหา ภูมิช ผลสฺส อธิคมาย แปลว่า ดูก่อน ภูมิชะ ก็นั้นเป็นเหตุ เพื่อ
บรรลุผล. ปัสสาวมรรค ชื่อว่า โยนิ มีมาในคำมีอาทิว่า น จาหํ พฺราหฺมณํ
พฺรูมิ โยนิชํ มตฺติสมฺภวํ
แปลว่า เราตถาคตไม่กล่าวผู้ที่เกิดจากช่องคลอด
(คือ) เกิดจากมารดา ว่าเป็นพราหมณ์เลย และในคำมีอาทิว่า ตเมนํ
กมฺมชวาตา นิวตฺติตฺวา อุทฺธํปาทํ อโรสิรํ สมฺปริวตฺเตตฺวา มาตุ
โยนิมุเข สมฺปฏิปาเทนฺติ
แปลว่า ลมกัมมชวาต พัดสัตว์นี้นั้น ให้มี
เท้าขึ้นข้างบนศีรษะกลับลงข้างล่าง แล้วไปจดอยู่ที่ปากช่องคลอดของมารดา.
แต่ในที่นี้ ทรงประสงค์เอาเหตุว่าเป็น โยนิ. บทว่า อารทฺธา ได้แก่
ประคองไว้ คือ ทำให้บริบูรณ์.
พึงทราบวินิจฉัย ในบทว่า อาสวานํ ขยาย ดังต่อไปนี้ กิเลส
ชื่อว่า อาสวะ. เพราะอรรถว่าไหลมา. มีอธิบายว่า ไหลมาจากตาบ้าง ฯลฯ
จากใจบ้าง. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อาสวะ เพราะไหลมาจากธรรม จนถึง
โคตรภู จากโอกาสโลก จนถึง ภวัคคพรหม. อธิบายว่า ทำธรรมเหล่านี้
และโอกาสโลกนั้นไว้ในภายใน เป็นไป. แท้จริง ความหมายว่า ทำไว้ใน
ภายในนี้ เป็นอาการ (ของอาสวะ). ชื่อว่า อาสวะ เพราะเป็นเหมือน
เครื่องหมักดองทั้งหลาย มีเหล้าดองเป็นต้น. โดยความหมายว่าหมักไว้นานบ้าง
ด้วยว่า แม้ในทางโลก เขาก็เรียกของที่หมักไว้นาน มีเหล้าดองเป็นต้นว่า
อาสวะ. ก็ถ้าเครื่องหมักดองทั้งหลาย มีเหล้าดองเป็นต้น ชื่อว่า อาสวะ
เพราะอรรถว่าหมักไว้นานแล้วไชร้ กิเลสเหล่านั้น ก็ควรเป็นอาสวะเหมือนกัน.
สมจริง ดังพระพุทธดำรัส ที่ตรัสไว้มีอาทิว่า ปุริมา ภิกฺขเว โกฏิ น

ปญฺญายติ อวิชฺชาย อิโต ปุพฺเพ อวิชฺชา นาโหสิห แปลว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นของอวิชชา ไม่ปรากฏ ก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี.
อีกอย่างหนึ่ง กิเลสชื่อว่า อาสวะ เพราะไหลไป คือประสบสังสารทุกข์ต่อไป
ดังนี้บ้าง. ก็ในจำนวนวิเคราะห์ทั้ง 4 นี้ วิเคราะห์ต้น ๆ (วิเคราะห์ 3 อย่าง
ใช้ได้) ในที่ที่กิเลสทั้งหลายมา (โดยชื่อว่า) อาสวะ แต่วิเคราะห์หลังใช้ได้
เฉพาะในกรรม. ก็กรรมกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น เป็นอาสวะก็หามิได้ โดย
ที่แท้แล้ว ถึงอุปัทวนานัปการ ก็เป็นอาสวะได้. เพราะในพระสูตรทั้งหลาย
กิเลสที่มีการวิวาทเป็นมูล มาแล้ว (โดยชื่อว่า) อาสวะ เช่นในประโยคนี้ว่า
นาหํ จุนฺท ทิฏฺฐฺธมฺมิกานํเอว อาสวานํ สํวราย ธมฺมํ เทเสมิ
แปลว่า แน่ะจุนทะ เราตถาคตจะไม่แสดงธรรมเพื่อปิดกั้น อาสวะทั้งหลาย
ในปัจจุบันเท่านั้น.
ธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดในภูมิ 3 และอกุศลธรรมที่เหลือมาแล้ว (โดย
ชื่อว่า) อาสวะ เช่นในประโยคนี้ว่า
อาสวะทั้งหลายที่เป็นเหตุให้เข้าถึง
ความเป็นเทวดา หรือเป็นเหตุให้เป็นคน-
ธรรพ์ เหาะไปในอากาศ เป็นเหตุให้ถึง-
ความเป็นยักษ์ เป็นมนุษย์และเป็นสัตว์เถิด
ในน้ำ ของเราสิ้นแล้ว อาสวะเหล่านั้น
เรากำจัดแล้ว ทำให้รากขาดแล้ว.

อุปัทวนานัปการ มีการว่าร้ายผู้อื่น ก่อความวิปฏิสาร การฆ่า
การจองจำเป็นต้นก็ดี เป็นเหตุให้ได้รับทุกข์ในอบายก็ดี มาแล้ว โดย
ชื่อว่า อาสวะ. เช่นในประโยคนี้ว่า ทิฏฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย
สมฺปรายิกานํ อาสวนํ ปฏิฆาตาย
แปลว่า เราตถาคตแสดงธรรม

เพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลาย ในปัจจุบัน เพื่อขจัดอาสวะทั้งหลาย ในภายหน้า.
ก็อาสวะทั้งหลายเหล่านี้นั้น ในที่ใดมาแล้วอย่างใด ในที่นั้น พึงทราบอย่างนั้น.
เพราะว่า อาสวะเหล่านี้ ในพระวินัย มีมา 2 อย่างว่า เพื่อปิดกั้นอาสวะใน
ปัจจุบัน 1 เพื่อขจัดอาสวะในภายหน้า 1. ในสฬายตนวรรค มีมา 3 อย่าง
ว่าดูก่อนท่านผู้มีอายุ อาสวะมี 3 อย่างเหล่านี้ คือ กามาสวะ 1 ภวาสวะ 1
อวิชชาสวะ 1
แต่ ในพระสูตรอื่น ๆ และในอภิธรรม มีมา 4 อย่าง
พร้อมกับทิฏฐาสวะ. โดยบรรยายที่แยกออกไป อาสวะทั้งหลายมี 5 อย่าง
ดังนี้ มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย อาสวะเป็นเหตุให้ไปสู่นรก 1 อาสวะเป็นเหตุให้ไป
สู่กำเนิดดิรัจฉาน 1 อาสวะเป็นเหตุให้ไปสู่ปิตติวิสัย 1 อาสวะเป็นเหตุ
ให้ไปสู่มนุษยโลก 1 อาสวะเป็นเหตุให้ไปสู่เทวโลก 1. แต่ในที่นี้
กรรมนั่นเอง ตรัสว่าเป็นอาสวะ. ในฉักกนิบาต อาสวะทั้งหลายมาแล้ว 6
อย่าง โดยนัยมีอาทิว่า มีอยู่ภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่จะพึงละด้วยสังวร. ใน
สัพพาสวปริยายสูตร อาสวะ 6 อย่าง เหล่านั้นแหละ มีมาเป็น 7 อย่าง
พร้อมด้วยอาสวะทั้งหลาย ที่จะพึงละด้วยทัสสนะ. แต่ในที่นี่ พึงเข้าใจว่า
ทรงประสงค์เอาอาสวะทั้ง 4 ตามนัยแห่งพระอภิธรรม.
การทำลายอาสวะได้ชั่วขณะก็ดี อาการที่อาสวะสิ้นไปโดยไม่เหลือก็ดี
มรรคผล พระนิพพานก็ดี ตรัสเรียกว่า อาสวักขยะ ในบทว่า ขยาย นี้.
จริงอยู่ การทำลายอาสวะได้ชั่วขณะ ตรัสเรียกว่า อาสวักขยะ ดังใน
ประโยคนี้ว่า โย อาสวานํ ขโย วโย เภโท อนิจฺจตา อนฺตรธานํ
แปลว่า ความสิ้นไป ความเสื่อมไป การทำลาย ความไม่เที่ยง ความ
อันตรธานแห่งอาสวะทั้งหลาย (ชื่อว่า อาสวักขยะ).
การละอาสวะ ความสิ้นไปแห่งอาสวะโดยส่วนเดียว การไม่เกิดขึ้น
แห่งอาสวะ อาการที่อาสวะสิ้นไป ความไม่มีแห่งอาสวะทั้งหลาย ตรัสเรียกว่า
อาสวักขยะ ดังในประโยคนี้ว่า ชานโต อหํ ภิกฺขเว ปสฺสโต อาสวานํ

ขยํ วทามิ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวความสิ้นไปแห่ง
อาสวะทั้งหลายไว้ สำหรับภิกษุผู้รู้อยู่ เห็นอยู่.
มรรค ตรัสเรียกว่า อาสวักขยะ ดังในคาถานี้ว่า
เสกฺขสฺส สิกฺขมานสฺส อุชุมคฺคานุสาริโน
ขยสฺมึ ปฐมํ ญาณํ ตโต อญฺญา อนนฺตรา
เมื่อเราผู้ศึกษาอยู่ ดำเนินไปตาม
ทางอันตรงในขณะสิ้นอาสวะ ญาณจะเกิด
ขึ้นก่อน ต่อจากนั้น อรหัตผลจึงจะเกิด.

ผล ตรัสเรียกว่า อาสวักขยะ ดังในประโยคนี้ว่า ชื่อว่า เป็นสมณะ
เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย.
นิพพาน เรียกว่า อาสวักขยะ ในคาถานี้ว่า
ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อารา โส อาสวกฺขยา.
อาสวะทั้งหลาย ย่อมเจริญแก่ผู้
เพ่งเล็งโทษผู้อื่น ชอบยกโทษอยู่เป็นนิตย์
เขาย่อมอยู่ไกลจากพระนิพพาน.

แต่ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อาสวานํ ขยาย โดย
ทรงหมายถึงผล อธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่อรหัตผล.
บทว่า อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร ความว่า มีทวารอันปิดแล้วใน
อินทรีย์ทั้งหลาย มีใจเป็นที่ 6. บทว่า โภชเน มตฺตญฺญู ความว่า รู้
ประมาณในโภชนะ อธิบายว่า รู้ประมาณในการรับ การฉัน และการ
พิจารณา. บทว่า ชาคริยํ อนุยุตฺโต ความว่า เป็นผู้แบ่งกลางคืนกลางวัน
ออกเป็น 6 ส่วน แล้วประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเป็นผู้ตื่นใน 5 ส่วน
อธิบายว่า ขมักเขม้นในการตื่นอยู่นั่นเอง.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงวางมาติกาไว้อย่างนี้แล้ว เมื่อจะแจก
มาติกานั่นแหละ ตามลำดับที่ทรงวางไว้แล้ว จึงตรัสคำมีอาทิว่า กตญฺจ
ภิกฺขเว ภิกฺขุ
. ดังนี้ บรรดาบทเหล่านั้น เนื้อความของบทว่า จกฺขุนา
รูปํ ทิสฺวา
เป็นต้น ได้ให้พิสดารแล้วในปกรณ์พิเศษชื่อว่า วิสุทธิมรรค.
เนื้อความแห่งบททั้งหลายมีอาทิว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหาเรติ เนว
ทวาย
(ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว จึงจะนำอาหารมา (ฉัน) มิใช่เพื่อ
จะเล่น) ได้ให้พิสดารแล้วในปกรณ์พิเศษ ชื่อว่า วิสุทธิมรรคนั้นเหมือนกัน.
บทว่า อาวรณิเยหิ ธมฺเมหิ ความว่า จากนิวรณ์ธรรม 5 ประการ
เพราะนิวรณ์จะกางกั้นจิตไว้ เพราะฉะนั้น นิวรณ์เหล่านั้น จึงตรัสเรียกว่า
อาวรณิยธรรม. บทว่า สีหเสยฺยํ กปฺเปติ ความว่า สำเร็จการนอนเหมือน
ราชสีห์ บทว่า ปาเทน ปาทํ อจฺจาธาย ได้แก่ วางเท้าซ้ายเหลื่อมเท้าขวา.
เพราะว่าเมื่อวางเท้าไว้เสมอกัน เข่าจะกระทบเข่า ข้อเท้าก็จะกระทบข้อเท้า
ทุกขเวทนาจะเกิดเพราะการกระทบกันนั้น เพราะฉะนั้น เพื่อจะเว้นโทษนั้น
เธอจะวางเท้าให้เหลื่อมกันหน่อยหนึ่ง. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ปาเทน ปาทํ
อจฺจาธาย
ดังนี้.
บทว่า สโต สมฺปชาโน ความว่า ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ.
ถามว่า ภิกษุนั้น เมื่อหลับจะชื่อว่า มีสติสัมปชัญญะได้อย่างไร. ตอบว่า
ด้วยสามารถแห่งความเป็นไป (ของกัมมัฏฐานก่อนหลับ). เพราะว่า
ภิกษุนี้ เมื่อจงกรมในที่จงกรม รู้ตัวว่าง่วงนอน จึงพักกัมมัฏฐานที่
กำลังบำเพ็ญอยู่ แล้วนั่งบนเตียง หรือบนแผ่นกระดานหลับไป เมื่อตื่น
ก็ตื่นมาบำเพ็ญกัมมัฏฐานในที่ที่พักไว้นั่นแหละอีก เพราะฉะนั้น
ถึงเธอจะหลับ ก็ยังชื่อว่า มีสติสัมปชัญญะอยู่. นี้เป็นนัยในมูลกัมมัฏฐาน
ก่อน. ส่วนภิกษุนี้ชื่อว่า มีสติสัมปชัญญะ แม้ด้วยกัมมัฏฐานตามที่กำหนด.
ถือเอาข้อนี้อย่างไร. อธิบายว่า ภิกษุนี้เมื่อจงกรม รู้ตัวว่าง่วงนอน ก็นอน

ตะแคงขวาบนแผ่นหินหรือบนเตียง พิจารณาว่า กายไม่มีใจนอนอยู่บนเตียง
ที่ไม่มีใจ เตียงที่ไม่มีใจ ก็วางอยู่บนปฐพีที่ไม่มีใจ ปฐพีที่ไม่มีใจ ก็อยู่
เหมือน้ำที่ไม่มีใจ น้ำที่ไม่มีใจ ก็อยู่เหนือลมที่ไม่มีใจ ลมที่ไม่มีใจ ก็อยู่
บนอากาศที่ไม่มีใจ บรรดาสิ่งเหล่านั้น แม้อากาศก็ไม่รู้ว่า เราอุ้มลมไว้
ถึงลมก็ไม่รู้ว่า เราสถิตอยู่บนอากาศ ถึงลมก็เช่นนั้นไม่รู้ว่า เราอุ้มน้ำไว้
ฯลฯ เตียงก็ไม่รู้ว่า เรายกกายไว้ กายก็ไม่รู้ว่า เราอยู่บนเตียง เป็นอันว่า
สิ่งเหล่านั้น ต่างฝ่ายต่างไม่มีการคำนึงถึงกัน ไม่มีการสนใจกัน ไม่มีการ
ใส่ใจกัน ไม่มีเจตนา หรือไม่มีความปรารถนาต่อกันเลย ดังนี้ เมื่อภิกษุนั้น
พิจารณาอยู่อย่างนี้ ปัจจเวกขณจิตนั้น ย่อมหยั่งลงสู่ภวังค์. เธอแม้เมื่อหลับ
อยู่อย่างนี้ ก็ย่อมชื่อว่า มีสติสัมปชัญญะอยู่.
บทว่า อุฏฺฐานสญฺญํ มนสิกริตฺวา ความว่า ใส่ใจถึงสัญญาที่
กำหนดเวลาลุกขึ้นว่า เมื่อดวงจันทร์หรือดวงดาว ขึ้นถึงตรงนี้ เราจักลุกขึ้น
อธิบายว่า วางสัญญาไว้ในใจ. เพราะว่า เมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติอย่างนี้แล้วนอน
ก็จะลุกขึ้นได้ตรง ในเวลาตามที่กำหนดไว้แล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาอปัณณกสูตรที่ 6

7. อัตตสูตร



ธรรมที่อำนวยให้เบียดเบียนและไม่เบียดเบียนตน



[456] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม 3 ประการนี้ ย่อมเป็นไปทั้ง
เพื่อเบียดเบียนตน ... ทั้งเพื่อเบียดเบียนคนอื่น ... ทั้งเพื่อเบียดเบียนด้วยกัน
ทั้ง 2 ฝ่าย ธรรม 3 ประการคืออะไรบ้าง คือกายทุจริต วจีทุจริต