เมนู

อรรถกถาปเจตนสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในปเจตนสูตรที่ 5 ดังต่อไปนี้:-

ความหมายของคำว่า อิสิปตนะ



บทว่า อิสิปตเน ความว่า อันเป็นที่ที่พวกฤาษี กล่าวคือพระ-
พุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้ามาพัก เพื่อประกาศธรรมจักร และเพื่อต้อง
การทำอุโบสถ อธิบายว่า สถานที่ประชุม. ปาฐะว่า ปทเน ดังนี้ ก็มี.
ความหมายก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า มิคทาเย ความว่า ในป่าที่พระราชทาน
เพื่อต้องการให้เป็นสถานที่ที่ไม่มีภัย สำหรับเนื้อทั้งหลาย.
บทว่า ฉหิ มาเสหิ ฉารตฺตูเนหิ ความว่า ได้ยินว่า ช่างรถนั้น
จัดแจงอุปกรณ์ทุกชนิด แล้วเข้าป่าพร้อมด้วยอันเตวาสิก ในวันที่ได้รับกระแส
พระบรมราชโองการเลยทีเดียว เว้นต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามประตูหมู่บ้าน กลาง
หมู่บ้าน เทวสถาน และสุสานเป็นต้น และต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ ต้นไม้ล้ม
และต้นไม้แห้ง เลือกเอาต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในภูมิประเทศที่ดี ปราศจากโทษทั้ง
หมด สมควรใช้ทำดุม ซี่ กำและกงได้ มาทำเป็นล้อรถนั้น เมื่อช่างไม้
เลือกเอาต้นไม้มาทำเป็นล้อรถอยู่นั้น เวลาเท่านี้ 6 เดือนหย่อน 6 ราตรี ก็
ล่วงเลยไป ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ฉหิ มาเสหิ
ฉารตฺตูเนหิ
ดังนี้.
บทว่า นานากรณํ ได้แก่ ความแตกต่างกัน. บทว่า เนสํ ตัด
บทเป็น น เอสํ แปลว่า เรามองไม่เห็นความแตกต่างของล้อเหล่านั้น. บทว่า
อตฺเถสํ ตัดบทเป็น อตฺถิ เอสํ แปลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ล้อทั้ง 2 นั้น
มีความแตกต่างกันอยู่. บทว่า อภิสงฺขารสฺส คติ ได้แก่ การหมุนไป.

บทว่า จิงฺคุลายิตฺวา แปลว่า ตะแคงไป. บทว่า อกฺขาหตํ มญฺเญ
ความว่า เหมือนวางสอดเข้าไปในเพลา.1 บทว่า สโทสา ความว่า มีปม
คือประกอบด้วยที่สูง ๆ ต่ำ ๆ. บทว่า สกสาวา ความว่า ติดแก่นที่เน่าและ
กระพี้.
บทว่า กายวงฺกา เป็นต้น เป็นชื่อของทุจริตทั้งหลาย มีกายทุจริตเป็น
ต้น. บทว่า เอวํ ปปติตา ความว่า ตกไปโดยพลาดจากคุณความดีอย่างนี้.
บทว่า เอวํ ปติฏฺฐิตา ความว่า ดำรงอยู่โดยคุณธรรมอย่างนี้. ในคน 6
ประเภทนั้น โลกิยมหาชน ชื่อว่าตกไปแล้ว จากคุณความดี. ส่วนพระอริย
บุคคล มีพระโสดาบันเป็นต้น ชื่อว่า ตั้งมั่นอยู่แล้ว ในคุณความดี. แม้ใน
จำนวนของพระอริยบุคคล 4 ประเภทเหล่านั้น พระอริยบุคคล 3 ประเภทข้าง
ต้น ชื่อว่าตกไปแล้วจากคุณงามความดี ในขณะที่กิเลสทั้งหลายฟุ้งขึ้น. ส่วน
พระขีณาสพ ชื่อว่าตั้งมั่น อยู่แล้วโดยส่วนเดียวโดยแท้. บทว่า ตสฺมา ความ
ว่า เพราะเหตุที่พระอริยเจ้า 3 ประเภทข้างต้น ผู้ยังละความคดทางกายไม่ได้
เป็นต้นจึงตกไป ส่วนพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้ละความคดทางกายเป็นต้นได้
แล้ว ย่อมตั้งมั่นอยู่ ในคุณความดี.
อนึ่ง พึงทราบการละความคดทางกายเป็นต้น ดังต่อไปนี้ ก่อนอื่น
อกุศลกรรมบถ 6 ข้อเหล่านั้น คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน มิจฉาจาร
มุสาวาท ปิสุณาวาจา มิจฉาทิฏฐิ
พระอริยบุคคล ย่อมละได้ด้วยโสดา-
ปัตติมรรค. สองอย่างคือ ผรุสวาจา พยาบาท จะละได้ด้วยอนาคามิมรรค-
สองอย่างคือ อภิชฌา สัมผัปปลาปะ จะละได้ด้วยอรหัตมรรค.
จบอรรถกถาปเจตนสูตรที่ 5
1. ปาฐะว่า อกฺเข ปเวเสตฺวา ฐปิตมิว มญฺญามิ ฉบับพม่าเป็น อกฺเขปเวเสตฺวา ฐปิตมิว
แปลตามฉบับพม่า.

6. อปัณณกสูตร


ว่าด้วยข้อปฏิบัติไม่ผิด


[455] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 3 ประการ
ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา1 และเหตุแห่งความสิ้นอาสวะทั้งหลายชื่อว่า
เป็นอันภิกษุนั้นได้เริ่มแล้วด้วยธรรม 3 ประการ คืออะไรบ้าง คือภิกษุใน
พระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแท้ในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้จัก
ประมาณในโภชนะ เป็นผู้หมั่นประกอบความเป็นผู้ไม่เห็นแก่นอน
1. ก็ภิกษุเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายเป็นอย่าง-
ไร ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยตาแล้ว . .ฟังเสียงด้วยหูแล้ว
ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ... ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว
..รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว เป็นผู้ไม่ถือเอาโดยนิมิต2 ไม่ถือเอาโดยอนุ-
พยัญชนะ อภิชฌา โทมนัส ธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปเป็นอกุศล จะพึงไหล
ไปตามภิกษุผู้ไม่สำรวมอินทรีย์ คือ ตา ... หู ... จมูก ... ลิ้น ... กาย ...
ใจอยู่ เพราะเหตุความไม่สำรวมอินทรีย์ คือ ตา ... หู ... จมูก ... ลิ้น ...
กาย...ใจ อันใด ปฏิบัติเพื่อปิดกั้นเสียซึ่งอินทรีย์ คือ ตา ... หู ... จมูก
... ลิ้น ... กาย ... ใจนั้น รักษาอินทรีย์ คือ ตา ... หู ... จมูก ... ลิ้น ...
กาย ... ใจ ถึงความสำรวมในอินทรีย์ คือ ตา ... หู ...จมูก ... ลิ้น ...
กาย ... ใจ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วใน
อินทรีย์ทั้งหลาย
1. ข้อปฏิบัติไม่ผิด
2. ถือโดยนิมิต ได้แก่รวบถือเอาทั้งหมดในรูปที่ได้เห็น ฯลฯ ว่างาม ท่านเปรียบด้วยกิริยาที่
จระเข้ฮุบเหยื่อ ถือโดยพยัญชนะ ได้แก่เลือกถือเอาเป็นอย่าง ๆ ในรูป ฯลฯ นั้นว่า
คิ้วงาม นัยน์ตางาม จมูกงาม เป็นต้น ท่านเปรียบด้วยกิริยาที่เป็ดไซ้หาเหยื่อ