เมนู

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จกลับมายัง อรุณวดีนคร
พร้อมกับพระเถระ เสด็จบิณฑบาตเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตรแล้ว
ตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายได้ยินหรือไม่1 ซึ่งเสียง
ขิงอภิภูภิกษุ ผู้ยืนกล่าวคาถาอยู่บนพรหมโลก ภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า ได้ยิน
พระพุทธเจ้าข้า. เมื่อจะประกาศข้อที่ตนได้ยิน จึงได้ยกเอาคาถาทั้งสองขึ้นมา
อ้าง. พระศาสดาทรงประทานสาธุการว่า สาธุ สาธุ แล้วเริ่ม2 แสดงพระ-
ธรรมเทศนา. พระสูตรนี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิขี ได้ตรัสไว้
ในกัปที่ 31 นับแต่ภัตรกัปนี้ถอยหลังไป ด้วยประการดังพรรณนามานี้ก่อน.

การอุบัติแห่งอรุณวดีสูตรแห่งพระพุทธเจ้าของเรา



ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ
แล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร เข้าไปอาศัยพระนครสาวัตถี แล้ว
ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ในวันกลางเดือน 7 ต้น ได้ตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายมา แล้วทรงเริ่มแสดงพระสูตรชื่อว่า อรุณวดี นี้. พระอานนท-
เถระเจ้า ยืนถวายงานพัดอยู่นั่นแหละ เรียนพระสูตรทั้งหมดแต่ต้นจนจบ
ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่พยัญชนะเดียว. ในวันรุ่งขึ้น ท่านกลับจากบิณฑบาต
แสดงวัตรต่อพระทศพลแล้ว กลับไปยังที่พักกลางวันของตน เมื่อสัทธิวิหาริก
และอันเตวาสิกทั้งหลาย แสดงวัตรแล้วหลีกไป นั่งรำพึงถึงอรุณวดีสูตร
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในวันวาน. ครั้งนั้นพระสูตรทั้งหมด ได้ปรากฏ
แจ่มเเจ้งแก่ท่าน ( พระอานนท์).
ท่านพระอานนทเถระคิดว่า อรรคสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่าสิขียืนอยู่บนพรหมโลก เปล่งรัศมีออกจากร่างกาย กำจัดความ
1. ปาฐะว่า ปสฺสถ ฉบับพม่าเป็น อสฺสุตถ
2. ปาฐะว่า นิฏฺ ฐ เปสิ บางฉบับเป็น ปฏฺฐเปสิ

มืดมนอันธการในจักรวาลพันหนึ่ง แล้วแสดงธรรมกถาให้เทวดาและมนุษย์
ได้ยินเสียงของตน คำดังที่ว่ามานี้ พระบรมศาสดาตรัสไว้แล้วเมื่อวันวาน
วิสัยของพระสาวก (มีอานุภาพ) เห็นปานนี้ก่อน ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงบำเพ็ญบารมี 10ทัศ แล้วบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ จะเปล่งพระสุร-
เสียงไปได้ไกลเท่าไร. เพื่อจะบรรเทาความสงสัยอันบังเกิดแล้วอย่างนี้ ทันใด
นั้นเอง ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามความนั้น. เพื่อจะแสดง
ข้อความนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำว่า อถโข อายสฺมา อานนฺโท
ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺมุขา ความว่า พระสูตรนี้ ข้าพเจ้า
(พระอานนท์) ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ฟังแล้ว ไม่ใช่ฟังโดยได้ยินตามกันมา
คือไม่ได้ฟังโดยสืบต่อจากทูต1 พระอานนทเถระเจ้ากล่าวอย่างนี้ โดยมีความ-
มุ่งหมายดังอธิบายมานี้แล.
บทว่า กีวตกํ ปโหติ สเรน วิญฺญาเปตุํ ความว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้า จะทรงกำจัดความมืดมนอันธการ ด้วยพระรัศมีที่เปล่งออกจาก
พระวรกายแล้วเปล่งพระสุรเสียงไปได้ไกลเท่าไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำนี้ว่า สาวโก โส อานนฺท
อปฺปเมยฺยา ตถาคตา
โดยมีพระพุทธประสงค์ดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์
เธอพูดอะไร (อย่างนี้) พระสาวกดำรงอยู่ในญาณเฉพาะส่วน แต่พระตถาคตเจ้า
ทรงบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ แล้วทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ มีพระญาณ
หาประมาณมิได้. เธอนั้น พูดอะไรอย่างนี้ เหมือนเอาปลายเล็บช้อนฝุ่นขึ้นมา
เปรียบกับฝุ่นในพื้นมหาปฐพี เพราะวิสัยของพระสาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง ธรรมเป็นโคจรของพระสาวกทั้งหลาย
ก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง พลังของพระสาวก
1. ปาฐะว่า น อนุสฺสาเสน สุตปรมปรมตาว น อนุสฺสเวน น ทูตปรมฺปราย.

ทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง. พระผู้มี
พระภาคเจ้านั้นตรัสความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีอานุภาพหาประมาณมิได้
ด้วยมีพระพุทธประสงค์ดังพรรณนามานี้ แล้วทรงดุษณีภาพ. แม้พระเถระ
ก็ทูลถามเป็นครั้งที่ 2. พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงแสดงว่า อานนท์ เธอพูด
อะไรอย่างนี้ เหมือนกับเอาโพรงของต้นตาล ไปเทียบกับ อากาศที่เวิ้งว้างหา
ที่สุดมิได้ เหมือนกับเอานกนางแอ่นไปเทียบกับพญาครุฑตัวผู้บินได้วันละ
150 โยชน์ เหมือนกับเอาน้ำในงวงช้าง ไปเทียบกับน้ำในแม่น้ำมหาคงคา
เหมือนกับเอาน้ำในหลุมกว้างยาว 8 ศอก ไปเทียบกับสระทั้ง 7 เหมือนกับ
เอาคนที่มีรายได้เพียงข้าว 1 ทะนาน ไปเทียบกับพระเจ้าจักรพรรดิ เหมือนกับ
เอาปีศาจคลุกฝุ่น ไปเทียบกับท้าวสักกเทวราช และเหมือนกับเอาแสงสว่าง
ของหิ่งห้อย ไปเทียบกับแสงสว่างพระอาทิตย์ ดังนี้แล้ว ตรัสความที่พระ
พุทธเจ้าทั้งหลายมีอานุภาพหาประมาณมิได้ เป็นครั้งที่ 2 แล้วทรงดุษณีภาพ.
ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า พระศาสดาอันเราทูลถามแล้ว ไม่ตรัสตอบเลย เรา
จะขอ (โอกาสทูลถาม) ถึง 3 ครั้ง แล้วจักให้พระศาสดาบันลือพุทธสีหนาท
ดังนี้ จึงทูลขอเป็นครั้งที่ 3. เพื่อแสดงถึงการทูลขอเป็นครั้งที่ 3 นั้น ท่าน
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ตติยมฺปิ โข ไว้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงตอบปัญหาของพระอานนท์
เถระจึงตรัสคำมีอาทิว่า สุตา เม อานนฺท ดังนี้ พระเถระคิดว่า พระ-
บรมศาสดาตรัสคำมีประมาณเท่านี้ เท่านั้น แก่เราว่า อานนท์ โลกธาตุพันหนึ่ง
จำนวนเล็กน้อย เธอได้ฟังแล้ว (มิใช่หรือ) แล้วทรงดุษณีภาพ ต่อไปนี้
พระพุทธเจ้า จักทรงบันลือพุทธสีหนาท ดังนี้. เมื่อจะทูลขอพระบรมศาสดา
จึงได้กราบทูลคำมีอาทิว่า เอตสฺส ภควา กาโล ดังนี้.

ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำมีอาทิว่า เตนหานนฺท ดังนี้
เพื่อจะตรัสกถาอย่างพิสดาร แก่พระอานนท์. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
ยาวตา ความว่า ตลอดที่มีประมาณเท่าใด. ทั้งพระจันทร์ ทั้งพระอาทิตย์
ชื่อว่า จนฺทิมสุริยา. บทว่า ปริหรนฺติ แปลว่า โคจรไป. บทว่า ทิสา
ภนฺติ ได้แก่ส่องสว่างไปทั่วทิศ. บทว่า วิโรจนา แปลว่า รุ่งโรจน์อยู่.
ด้วยคำเพียงเท่านี้ เป็นอันทรงแสดงจักรวาล โดยกำหนดจักรวาลเดียว. บัดนี้
เมื่อจะทรงแสดงจักรวาลพันคูณด้วยพัน จึงตรัสว่า ตาว สหสฺสา โลโก
ดังนี้. บทว่า ตสฺมึ สหสฺสธา โลเก ความว่า ในพันแห่งจักรวาลนั้น.
บทว่า สหสฺสํ จาตุมฺมหาราชิกานํ ได้แก่เทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกาพันหนึ่ง.
ก็เพราะเหตุที่ในแต่ละจักรวาล มีท้าวมหาราชประจำอยู่จักรวาลละ 4 ๆ ฉะนั้น
จึงตรัสว่า จตฺตาริ มหาราชสหสฺสานิ ดังนี้. ในทุก ๆ บท พึงทราบ
เนื้อความโดยอุบายนี้. บทว่า จูฬนิกา แปลว่า โลกธาตุขนาดเล็ก. นี้เป็น
วิสัยของพระสาวกทั้งหลาย. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงนำโลกธาตุขนาดเล็กนี้มา (แสดงไว้). ตอบว่า เพื่อทรงแสดงถึงการ
กำหนดโลกธาตุขนาดกลาง. บทว่า ยาวตา แปลว่า มีประมาณเท่าใด. บทว่า
ตาว สหสฺสธา ความว่า โดยส่วนแห่งพันเพียงนั้น.
ด้วยบทว่า ทวิสหสฺสี มชฺฌิมิกา โลกธาตุ นี้ ทรงแสดงว่า
โลกธาตุนี้มีจำนวนพันกำลังสอง มีจักรวาลแสนหนึ่งเป็นประมาณ โดยเอา
พันส่วนคูณจักรวาลพันหนึ่ง ชื่อว่าโลกธาตุขนาดกลาง. นี้มิใช่วิสัยของพระ-
สาวกทั้งหลาย เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น. เพราะว่า ในที่เท่านี้
พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย สามารถจะทรงเปล่งพระรัศมีจากพระพุทธสรีระ ขจัด
ความมืดมนอันธการ แล้วให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ยินพระสุรเสียงได้.

ขึ้นชื่อว่า ชาติเขต ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงแสดงไว้แล้วด้วยคำมี
ประมาณเท่านี้. อธิบายว่า ในภพสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในวันที่
พระองค์เสด็จจุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในคัพโภทรของพระพุทธมารดา 1
ในวันประสูติจากพระครรภ์ 1 ในวันเสด็จออกผนวช 1 ในวันตรัสรู้ 1
ในวันทรงแสดงธรรมจักร 1 ในวันทรงปลงอายุสังขาร 1 และในวัน
ปรินิพพาน 1 สถานที่มีประมาณเท่านี้ (โลกธาตุขนาดกลาง) ย่อมหวั่นไหว.
บทว่า ติสหสฺสี มหาสหสฺสี ความว่า ชื่อว่า ติสหสฺสี เพราะ
ตั้งแต่จำนวนหนึ่งพันไป เอาพันคูณ 3 ครั้ง (พันกำลัง 3). โลกธาตุที่
คูณด้วยหลาย ๆ พัน เพราะตั้งพันไว้ เอาพันคูณ ตั้งโลกธาตุขนาดกลางไว้
เอาพันคูณเพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มหาสหสฺสี. ด้วยคำเพียงเท่านี้ เป็นอัน
ทรงแสดงโลก มีแสนโกฏิจักรวาลเป็นประมาณ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อมี
พุทธประสงค์ จะทรงเปล่งพระรัศมีออกจากพระพุทธสรีระ. ขจัดความมืดมน
อันธการ ให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียง ในสถานที่เท่านี้.
ส่วนพระคณกปุตตติสสเถระกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ติสหัสสีโลกธาตุ และมหา-
สหัสสีโลกธาตุมีประมาณอย่างนี้ เพราะปริมาณนี้เป็นที่ตั้งแห่งการบริหารด้วย
วาจา (พูดกันติดปาก) เป็นเค้ามูล แห่งการสาธยายของพระอาจารย์ทั้งหลาย
แต่สถานที่ที่ชื่อว่า ติสหสฺสีโลกธาตุ และมหาสหสฺสีโลกธาตุ มีปริมาณ-
ล้านโกฏิจักรวาล. ก็ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงเขต ที่ชื่อว่า อาณาเขต แล้ว เพราะในระหว่างนี้ อาณา (อำนาจ)
ของ อาฏานาติยปริต อิสิคิลิปริต ธชัคคปริต โพชฌังคปริต ขันธ-
ปริต โมรปริต เมตตาปริต และรตนปริต
ย่อมแผ่ไปถึง.
บทว่า ยาวตา ปน อากงฺเขยฺย ความว่า ทรงปรารถนาสถานที่
มีประมาณเท่าใด. ด้วยคำนี้พระองค์ทรงแสดงถึง วิสัยเขต เพราะตามธรรมดา
วิสัยเขตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีกำหนดประมาณ. ในข้อที่ วิสยเขต

ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีกำหนดประมาณนั่นแหละ พระโบราณาจารย์
ทั้งหลาย นำข้ออุปมามาอ้างไว้ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าจะมีใคร ๆ เอาเมล็ดพันธุ์
ผักกาดไปกองให้เต็มแสนโกฏิจักรวาล จนถึงพรหมโลก ใส่เมล็ดพันธุ์ผักกาด
ลงไปในจักรวาล จักรวาลละหนึ่งเมล็ดทางทิศบูรพาไซร้ เมล็ดพันธุ์ผักกาด
แม้ทั้งหมดเหล่านั้น พึงถึงความสิ้นไปก่อน แต่จักรวาลในด้านทิศบูรพา จะ
ยังไม่ถึงความสิ้นไป. แม้ในจักรวาลด้านทิศทักษิณเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ในวิสัยเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ไม่มีเลย. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พระเถระคิดว่า พระศาสดา
ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ตถาคตเมื่อจำนงอยู่ ก็พึงยังโลกธาตุ
ชื่อว่าติสหัสสี (และ) มหาสหัสสี ให้ได้ยินสุรเสียง ตามที่จำนงหมาย
ดังนี้ ก็แล โลกนี้ไม่เสมอกัน จักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด พระอาทิตย์ขึ้น
ที่หนึ่ง เที่ยงที่หนึ่ง ตกที่หนึ่ง ปฐมยามมีในที่หนึ่ง มัชฌิมยามมีในที่หนึ่ง
ปัจฉิมยามก็มีในที่หนึ่ง. แม้สัตว์ทั้งหลาย ขวนขวายในการงาน สนใจใน
การเล่น แสวงหาอาหาร เพราะฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย ย่อมฟุ้งซ่าน และประมาท
ด้วยเหตุนั้น ๆ อย่างนี้ พระบรมศาสดาจักยังสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ให้ได้ยิน
พระสุรเสียงได้อย่างไรหนอแล ดังนี้. พระอานนทเถระ ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว
เมื่อจะทูลถามพระตถาคตเจ้า เพื่อบรรเทาความสงสัย จึงกราบทูลคำเป็นต้นว่า
ยถา กถํ ปน ดังนี้.
ลำดับนั้น พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงพยากรณ์ แก่พระอานนทเถระ
จึงตรัสคำมีอาทิว่า อิธานนฺท ตถาคโต ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
โอภาเสน ผเรยฺย ความว่า แผ่ไปด้วยรัศมีแห่งพระสรีระ. ถามว่า โอภาส

นั้น เมื่อแผ่ไปพึงทำอาการอย่างใด. ตอบว่า ที่ใดมีพระอาทิตย์ปรากฏ ที่นั้น
พระองค์ก็ทำให้พระอาทิตย์ตกด้วยอานุภาพ องพระองค์ แต่ที่ใดพระอาทิตย์
ไม่ปรากฏ ที่นั้น พระองค์จะทำให้พระอาทิตย์ปรากฏ เห็นสถิตอยู่ท่ามกลาง
(ท้องฟ้า) แต่นั้น ในที่ใดพระอาทิตย์ปรากฏ ในที่นั้นมนุษย์ทั้งหลาย ก็พึงเกิด
ความวิตกว่า พระอาทิตย์ (เพิ่ง) ปรากฏเมื่อไม่นานนี้เอง แต่พระอาทิตย์นั้น
ก็ตกไปเดี๋ยวนี้เอง ข้อนี้คงจะเป็นการบันดาลของนาค หรือการบันดาลของภูต
การบันดาลของยักษ์ หรือการบันดาลของเทวดาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในที่ใด
พระอาทิตย์ไม่ปรากฏในที่นั้น มนุษย์ทั้งหลายจะเกิดความวิตกว่า พระอาทิตย์
เพิ่งตกไปเดี๋ยวนี้เอง พระอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ ก็กลับขึ้นเดี๋ยวนี้อีก นี้จะเป็น
การบันดาลของนาค การบันดาลของภูต การบันดาลของยักษ์ และการบันดาล
ของเทวดาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออย่างไรหนอแล ? แต่นั้น เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย
เหล่านั้น รำพึงถึงความสว่าง และความมืดอยู่ แล้วพากันแสวงหา (เหตุผล)
ด้วยคิดว่า นี้มีอะไรเป็นปัจจัยหนอแล พระบรมศาสดาทรงเข้านีลกสิณ พึง
แผ่ความมืดทึบไป.
ถามว่า เพราะเหตุใด. ตอบว่า เพราะทรงแผ่ไปเพื่อให้สัตว์ทั้งหลาย
ผู้ขวนขวายการงานเป็นต้นเหล่านั้น เกิดความสะดุ้ง. ลำดับนั้น พระบรม
ศาสดาทรงทราบว่า สัตว์เหล่านั้นถึงความสะดุ้งแล้ว ก็ทรงเข้าโอภาสกสิณ-
สมาบัติ ทรงเปล่งพระพุทธรัศมีออกเป็นลำขาว ทรงบันดาลให้ที่ทุกแห่งมี
แสงสว่างเป็นอันเดียวกัน โดยการเปล่งพระรัศมีอย่างเดียวเท่านั้น เหมือน
เวลาที่พระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันเป็นพัน ๆ ดวง และทรงเปล่ง
พระโอภาสนั้น ออกโดยส่วนแห่งพระวรกาย มีประมาณเท่าเมล็ดงา. ก็ถ้า
ผู้ใดบันดาลแผ่นดินทั่วทั้งจักรวาล ให้เป็นตะเกียง บันดาลน้ำในมหาสมุทร

ให้เป็นน้ำมัน บันดาลเขาสิเนรุให้เป็นไส้ตะเกียง จุดวางไว้บนยอดเขา
สิเนรุลูกอื่นได้ ผู้นั้นคงจะทำให้สว่าง ในจักรวาลเดียวเท่านั้น ไม่สามารถ
จะทำพื้นที่แม้เพียงคืบเดียว นอกไปจากนั้นให้สว่างไสวได้. ส่วนพระตถาคตเจ้า
ทรงเปล่งพระโอภาส ด้วยประเทศแห่งพระสรีระประมาณเท่าเมล็ดงา พึง
การทำให้โลกธาตุติสหัสสี และมหาสหัสสีหรือยิ่งกว่านั้น ให้มีแสงสว่างเป็น
อันเดียวกันได้. เพราะว่า คุณของพระพุทธเจ้ามี (อานุภาพ) มากมาย
อย่างนี้ ฉะนี้แล.
บทว่า ตํ อาโลกํ สญฺชาเนยฺยุํ ความว่า คนทั้งหลายเห็น
แสงสว่างนั้นแล้ว คิดว่า พระอาทิตย์ตกแล้วขึ้นรูปด้วย ความมืดทึบก็หายไป
ด้วย เพราะผู้ใด บัดนี้ ผู้นี้นั้นยืนบันดาลให้เกิดแสงสว่างไสวขึ้นแล้ว โอ
อัศจรรย์จริง อัจฉริยบุรุษ ดังนี้ แล้วยืนประคองอัญชลีอยู่.
บทว่า สทฺทมนุสฺสาเวยฺย ความว่า พระตถาคตยังเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย ให้สนใจฟังเสียงพระธรรมกถา. จริงอยู่ ผู้ใดบันดาลเขาจักรวาล
บรรพตลูกหนึ่งให้เป็นกลอง บันดาลมหาปฐพีให้เป็นหนังหุ้มกลอง บันดาล
เขาสิเนรุให้เป็นฆ้อนตีกลอง แล้ววางไว้บนยอดเขาสิเนรุลูกอื่น แล้วตี
ผู้นั้น จะให้คนทั้งหลายได้ยินเสียงนั้น เฉพาะในจักรวาลเดียวเท่านั้น ไม่
สามารถจะให้เสียงนั้นดังเลยไปข้างหน้า แม้เพียงคืบเดียวได้. ส่วนพระตถาคต
ประทับนั่งบนบัลลังก์ หรือตั่ง ทรงยังโลกธาตุสหัสสี และมหาสหัสสีหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น ให้ได้ยินพระสุรเสียงได้ พระตถาคตเจ้า ทรงมีอานุภาพมาก
อย่างนี้. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงวิสัยเขตนั่นแหละ
โดยที่มีประมาณเท่านี้ ด้วยประการดังกล่าวมานี้.

ก็และเพราะได้สดับพุทธสีหนาทนี้ พระเถระได้เกิดปีติ มีกำลังขึ้น
ในภายใน ท่านเมื่อจะเปล่งอุทานด้วยสามารถแห่งปีติ จึงได้กล่าวคำมีอาทิว่า
ลาภา วต เม (เป็นลาภของเราหนอ) ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
ยสฺส เม สตฺตา เอวํ มหิทฺธิโก ความว่า การได้พระศาสดาผู้มีฤทธิ์
มากอย่างนี้ ของเราผู้มีศาสดาผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ เป็นทั้งลาภ เป็นทั้งสิ่งที่ได้
มาด้วยดี อีกอย่างหนึ่ง พระอานนท์เถระเจ้ากล่าวอย่างนี้ หมายถึงว่า
ข้อที่เราได้มีโอกาสถือบาตรและจีวรของพระศาสดาเห็นปานนี้ แล้วเที่ยวไป
(ก็ดี) มีโอกาสนวดเฟ้นพระบาท (ก็ดี) มีโอกาสถวายน้ำสรงพระพักตร์
และน้ำสรงสนาน (ก็ดี) มีโอกาสปัดกวาดบริเวณพระคันธกุฏี (ก็ดี) มี
โอกาสทูลถามปัญหาตามข้อสงสัยที่เกิดขึ้นแล้ว (ก็ดี) ได้ฟังธรรมกถาอัน
ไพเราะ (ก็ดี) เหล่านี้แม้ทั้งหมด จัดเป็นทั้งลาภ เป็นทั้งสิ่งที่ได้มาด้วยดี
ดังนี้บ้าง. ก็ในพระสูตรนี้ นักศึกษาพึงทราบความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น
ผู้มีฤทธิ์มาก เพราะทรงมีฤทธิ์กล่าวคือ การทำความมืด ให้สว่าง การทำเทวดา
และมนุษย์ให้ได้ยินพระสุรเสียง มีมาก. (และพึงทราบ) ความที่พระผู้มี
พระภาคเจ้า มีอานุภาพมาก โดยที่ฤทธิ์เหล่านั้นนั่นแหละแผ่ไปเนือง ๆ.
บทว่า อุทายี ได้แก่ โลฬุทายีเถระ. เล่ากันมาว่า ท่านพระโลฬุ-
ทายีเถระ เที่ยวผูกพยาบาทในพระเถระ ด้วยความปรารถนาที่ตั้งไว้ครั้งก่อน
เพราะฉะนั้น บัดนี้ พอได้โอกาสจึงทำการหักหาญความเลื่อมใสของพระเถระ
กล่าวอย่างนี้เหมือนดับเปลวประทีปที่ลุกโพลงอยู่ ในเวลาจบพุทธสีหนาทนี้
เหมือนเอาไม้ตีโคตัวกำลังเดินไป และเหมือนคว่ำถาดที่มีอาหารเต็มฉะนั้น.
บทว่า เอวํ วุตตฺเต ภควา ความว่า เมื่อพระอุทายีเถระ กล่าว
อย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงห้ามพระอุทายีเถระจากคำนั้น

จึงตรัสคำว่า มา เหวํ อุทายิ (อย่าพูดอย่างนั้นเลย อุทายี) ดังนี้. เหมือน
บุรุษผู้มุ่งประโยชน์ยืนอยู่ ส่วนข้างหนึ่ง พึงพูดแล้ว ๆ เล่า ๆ กับชายผู้ยืน
สั่น อยู่ที่ปากเหวว่า จงมาทางนี้ จงมาทางนี้ ฉะนั้น.
บทว่า มหาราชฺชํ ได้แก่ จักรพรรดิราชสมบัติ. ถามว่า ก็พระ
ศาสดาได้ทรงกระทำอานิสงส์อันใหญ่หลวงแห่งความเลื่อมใสที่เกิดขึ้น เพราะ
พระธรรมเทศนาแก่สาวกรูปหนึ่ง ไม่มีกำหนดมิใช่หรือ เหตุไฉน พระองค์
จึงทรงกำหนดอานิสงส์ แห่งความเลื่อมใสที่บังเกิดขึ้นแก่พระอานนท์นี้ เพราะ
ปรารภพุทธสีหนาท. ตอบว่า เพราะพระอริยสาวกมีอัตภาพเพียงเท่านี้เป็นประ-
มาณ. เพราะว่า พระโสดาบัน แม้มีปัญญาเชื่องช้า จะได้อัตภาพในเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย 7 ครั้ง (เท่านั้น) เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรง
กำหนดคติของพระอานนท์นั้น จึงได้ตรัสอย่างนี้. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม
ความว่า ดำรงอยู่ในอัตภาพนี้เท่านั้น. บทว่า ปรินิพฺพายสฺสติ ความว่า
จักปรินิพพานด้วยปรินิพพานอันหาปัจจัยมิได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงถือเอายอด ด้วยพระนิพพาน แล้วทรงยัง
สีหนาทสูตรนี้ให้จบลง ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้แล.
จบอรรถกถาจูฬนีสูตรที่ 10
จบอานันทวรรควรรณนาที่ 3


รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. ฉันนสูตร 2. อาชีวกสูตร 3. สักกสูตร 4. นิคันฐสูตร
5. สมาทปกสูตร 6. นวสูตร 7. ภวสูตร 8. สีลัพพตสูตร 9. คันธสูตร
10. จูฬนีสูตร และอรรถกถา.