เมนู

อานันทวรรคที่ 3



1. ฉันนสูตร



ว่าด้วยโทษแห่งกุศลมูล



[511] ครั้งนั้น ปริพาชกชื่อฉันนะ เข้าไปหาท่านพระอานนท์ ฯลฯ
กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า อาวุโสอานนท์ แม้พวกท่านก็บัญญัติการละราคะ
โทสะ โมหะหรือ.
ท่านพระอานนท์ตอบว่า อาวุโส พวกข้าพเจ้านะสิ บัญญัติการละราคะ
โทสะ โมหะ.
ฉ. ก็พวกท่านเห็นโทษในราคะ โทสะ โมหะอย่างไร จึงบัญญัติ
การละราคะ โทสะ โมหะ.
อา. คนที่เกิดราคะ โทสะ โมหะแล้ว อันราคะ โทสะ โมหะ
ครอบงำแล้ว มีจิตอันราคะ โทสะ โมหะจับเสียรอบแล้ว ย่อมคิดเพื่อ
ทำตนให้ลำบากบ้าง เพื่อทำผู้อื่นให้ลำบากบ้าง เพื่อทำให้ลำบากด้วยกัน
ทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมรู้สึกทุกข์โทมนัสในใจบ้าง ครั้นละราคะ โทสะ โมหะ
เสียได้แล้ว เขาย่อมไม่คิดเพื่อทำตนให้ลำบาก ฯลฯ ไม่รู้สึกทุกข์โทมนัส
ในใจ.
คนที่เกิดราคะ โทสะ โมหะแล้ว ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย
ทางวาจา ทางใจ ครั้นละราคะ โทสะ โมหะเสียได้แล้ว เขาย่อมไม่ประพฤติ
ทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจเลย.
* เป็นทีว่าพวกเขาบัญญัติอยู่แล้วเหมือนกัน หรือบัญญัติมาก่อน

คนที่เกิดราคะ โทสะ โมหะแล้ว ย่อมไม่รู้ประโยชน์ตนบ้าง
ประโยชน์ผู้อื่นบ้าง ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายบ้างตามจริง ครั้นละราคะ โทสะ
โมหะเสียได้แล้ว เขาย่อมรู้ประโยชน์ตนบ้าง ประโยชน์ผู้อื่นบ้าง ประโยชน์
ทั้งสองฝ่ายบ้างตามจริง.
ราคะ โทสะ โมหะเป็นเครื่องทำให้มืด ทำให้บอด ทำให้เขลา
ปิดปัญญา เป็นฝ่ายขัดขวาง ไม่เป็นทางนิพพาน พวกข้าพเจ้าเห็นโทษใน
ราคะ โทสะ โมหะนี้แล อาวุโส จึงบัญญัติการละราคะ โทสะ โมหะ
ฉ. มีหรือ อาวุโส มรรคา มีหรือ ปฏิปทา เพื่อละราคะ โทสะ โมหะ
นั่น.
อา. มี อาวุโส.
ฉ. คืออะไร.
อา. คืออริยมรรคที่องค์8นี้เท่านั้น อะไรบ้าง สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมา-
สมาธิ นี้แล อาวุโส มรรคา นี้ปฏิปทา เพื่อละราคะ โทสะ โมหะนั่น.
ฉ. ดีอยู่ อาวุโส มรรคา ดีอยู่ ปฏิปทา เพื่อละราคะ โทสะ โมหะ
นั่น ก็ควรแล้ว อาวุโสอานนท์ ที่พวกท่านจะไม่ประมาท.
จบฉันนสูตรที่ 1

อานันทวรรควรรณนาที่ 3



อรรถกถาฉันนสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในฉันนสูตรที่ 1 แห่งวรรคที่ 3 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ฉนฺโน ได้แก่ ปริพาชกผู้มีผ้าปกปิด (ร่างกาย) ผู้มีชื่อ
อย่างนี้. บทว่า ตุมฺเหปิ อาวุโส ความว่า ฉันนปริพาชกถามว่า ดูก่อน
อาวุโส พวกเราบัญญัติการละกิเลส มีราคะเป็นต้นอย่างใด แม้ท่านทั้งหลาย
ก็บัญญัติอย่างนั้นหรือ ? ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า ปริพาชกนี้กล่าวกะพวก
เราว่า เราทั้งหลายบัญญัติการละราคะเป็นต้น แต่การบัญญัติการละราคะ
เป็นต้นนี้ ไม่มีในลัทธิภายนอก ดังนี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า มยํ โข อาวุโส
ดังนี้. ศัพท์ว่า โข ในคำว่า มยํ โข อาวุโส นั้น เป็นนิบาตใช้ใน
ความหมายว่าห้าม อธิบายว่า พวกเราเท่านั้นบัญญัติไว้. ลำดับนั้น ปริพาชก
คิดว่า พระเถระนี้ เมื่อจะคัดลัทธิภายนอกออกไป จึงกล่าวว่า พวกเราเท่านั้น
สมณะเหล่านี้เห็นโทษอะไรหนอ จึงบัญญัติการละราคะเป็นต้นเหล่านี้ไว้.
ลำดับนั้น ฉันนปริพาชก เมื่อจะเรียนถามพระเถระ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กึ
ปน ตุมฺเห
ดังนี้.
พระเถระเมื่อจะพยากรณ์แก่เขา จึงกล่าวคำมีอาทิว่า รตฺโต โข
อาวุโส
ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺตตฺถํ ความว่า ประโยชน์
ของตนทั้งในปัจจุบัน และสัมปรายภพ ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ. แม้ใน
ประโยชน์ของผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสอง ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. พึงทราบ
วินิจฉัยในบทว่า อนฺธกรโณ เป็นต้น ดังต่อไปนี้. ราคะชื่อว่า อนฺธกรโณ