เมนู

เพราะเหตุนั้นแล หญิงและชายผู้มี
ศีล พึงรักษาอุโบสถอันประกอบด้วยองค์
8 ทำบุญทั้งหลายอันมีสุขเป็นผลเถิด จะ
เป็นผู้ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงฐานะอัน
เป็นแดนสุข.

จบอุโปสถสูตรที่ 10
จบมหาวรรคที่ 2


อรรถกถาอุโปสถสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในอุโปสถสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตทหุโปสเถ เท่ากับ ตสฺมึ อหุ อุโปสเถ คือ ตํทิวสํ
อุโปสเถ
แปลว่า อุโบสถในวันนั้น มีอธิบายว่า ในวันนั้น เป็นวันปัณณรสี
อุโบสถ บทว่า อุปสงฺกมติ ความว่า นางวิสาขาอธิฏฐานองค์อุโบสถแล้ว
ถือของหอมและระเบียบเป็นต้น เข้าไปเฝ้าแล้ว. บทว่า หนฺท เป็นนิบาต
ใช้ในอรรถว่าเชื้อเชิญ.1 บทว่า ทิวา ทิวสฺส ความว่า เวลาเที่ยงวันชื่อว่า
ยังวันอยู่ ได้แก่ในเวลาที่มีพระอาทิตย์ตั้งอยู่ในท่ามกลาง. บทว่า กุโต นุ ตฺวํ
อาคจฺฉสิ
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า เธอจะไปทำอะไร.
อุโบสถที่เปรียบด้วยจ้างเลี้ยงโค เพราะมีความวิตกว่าจะไม่บริสุทธิ์
ชื่อว่า โคปาลกอุโบสถ. อุโบสถ คือการเข้าจำ ของนิครนถ์ทั้งหลาย ชื่อว่า
1. ปาฐะว่า อุปสคฺคตฺเถ ฉบับพม่าเป็น วงสฺสคฺคตฺเถ

นิคัณฐอุโบสถ. อุโบสถคือการเข้าจำ ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่า
อริยอุโบสถ ฉะนี้แล.
บทว่า เสยฺยถาปิ วิสาเข ความว่า ดูก่อนวิสาขา เปรียบเหมือน
บทว่า สายณฺหสมเย สามิกานํ คาโว นิยฺยาเทตฺวา ความว่า แท้จริง
ลูกจ้างเลี้ยงโค รับโคมาเลี้ยง เพราะค่าจ้างรายวัน โดยกำหนดไว้ว่า 5 วัน
10 วัน ครึ่งเดือน หนึ่งเดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี (จึงจะจ่าย) แต่ใน
พระสูตรนี้ ตรัสคำว่า โคปาลกุโปสโถ นี้ ทรงหมายถึง ผู้เลี้ยงวัวเพราะ
ค่าจ้างรายวัน. บทว่า นิยฺยาเทตฺวา ความว่า มอบให้คือพูดว่า โคของท่าน
มีจำนวนเท่านี้. บทว่า อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ ความว่า ไปถึงเรือนของตน
รับประทานอาหารแล้ว นอนบนเตียง พิจารณาอย่างนี้. บทว่า อภิชฺฌา-
สหคเตน
ความว่า สัมปยุตด้วยตัณหา.
บทว่า เอวํ โข วิสาเข โคปาลกุโปสโถ โหติ ความว่า
นี้เป็นอริยอุโบสถเหมือนกัน แต่เพราะมีวิตกไม่บริสุทธิ์ จึงอยู่ในฐานะแห่ง
โคปาลกอุโบสถเท่านั้น. บทว่า น มหปฺผโล ความว่า ไม่มีผลมาก เพราะ
ผลคือวิบาก. บทว่า น มหานิสํโส ความว่า ชื่อว่า ไม่มีอานิสงส์มาก
เพราะอานิสงส์คือวิบาก. บทว่า น มหาชุติโก ความว่า ไม่มีแสงสว่างมาก
เพราะแสงสว่างคือวิบาก. บทว่า น มหาวิปฺผาโร ความว่า ชื่อว่าไม่แผ่
ไปมาก เพราะการแผ่ไปแห่งวิบากมีไม่มาก.
บทว่า สมณชาติกา ได้แก่ หมู่สมณะ. บทว่า ปรํ โยชนสตํ
ความว่า ไกลเกินกว่า 100โยชน์ คือเลยนั้นไป. บทว่า เตสุ ทณฺฑํ นิกฺขิปาหิ
ความว่า วางอาชญา คือเป็นผู้วางอาชญาในสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ที่อยู่เกิน
100 โยชน์ไป.

บทว่า นาหํ กฺวจินิ กสฺสจิ กิญฺจนํ ตสฺมึ ความว่าเราไม่มีความกังวล
ต่อใครคนอื่นในที่ไหน ๆ อธิบายว่า ปลิโพธ พระองค์ตรัสเรียกว่าความกังวล
เราเป็นผู้ไม่มีความกังวล. บทว่า น จ มม กฺวจินิ กิสฺมิญฺจิ กิญฺจนํ นตฺถิ
ความว่า เราไม่มีความกังวล คือไม่มีปลิโพธ ในสิ่งไร ๆ คือแม้ในบริขาร
อย่างหนึ่งในที่ไหน ๆ คือทั้งภายในและภายนอก มีอธิบายว่า เราตัดความ
กังวลได้ขาดแล้ว. บทว่า โภเค ได้แก่ เครื่องอุปโภคและบริโภค มี เตียง
ตั่ง ข้าวยาคู และภัตรเป็นต้น. บทว่า อทินฺนํเยว ปริภุญฺชติ ความว่า
ในวันรุ่งขึ้น เขาเมื่อนอนบนเตียงก็ดี นั่งบนตั่งก็ดี ดื่มข้าวยาคูก็ดี ฉันอาหาร
ก็ดี ชื่อว่า บริโภคโภคเหล่านั้น ที่เขาไม่ได้ให้เลย.
บทว่า น มหปฺผโล แปลว่า ไร้ผล. ก็ในบทว่า น มหปฺผโล นี้
มีแต่พยัญชนะเท่านั้นที่เหลืออยู่ ส่วนเนื้อความไม่มีเหลือเลย. เพราะว่าอุโบสถ
ของผู้เข้าจำอย่างนี้ ไม่มีวิบากผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แม้เพียง
เล็กน้อย เพราะฉะนั้น นิคัณฐอุโบสถ พึงทราบว่าไม่มีผลเลย. แม้ในบทที่
เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคำนี้ไว้ว่า จิต
เศร้าหมองแล้ว ?
ตอบว่า เพราะว่า ความที่อุโบสถที่ผู้มีจิตบริสุทธิ์ เข้าจำแล้วมีผลมาก
เป็นอันพระองค์ทรงอนุญาตแล้ว เพราะทรงแสดงไว้ว่า อุโบสถที่ผู้มีจิตเศร้า
หมองเข้าจำแล้ว ย่อมไม่มีผลมาก. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัส
คำนี้ไว้เพื่อทรงแสดงกัมมัฏฐานที่เป็นเหตุให้จิตบริสุทธิ์ คือ กรรมฐาน
ที่เป็นเหตุชำระจิต. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปกฺกเมน ความว่า
ด้วยความเพียรของบุรุษเฉพาะตน หรือด้วยอุบาย.

บทว่า ตถาคตํ อนุสฺสรติ ความว่า ระลึกถึงพระคุณของพระ
ตถาคตด้วยเหตุ 8 ประการ. ก็ในบทว่า ตถาคตํ อนุสฺสรติ นี้ ท่านสงเคราะห์
เอาพระพุทธคุณทั้งหมด ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระไว้ด้วยคำว่า อิติปิ โส
ภควา
ซึ่งขยายความออกไปว่า เพราะศีลแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เพราะสมาธิแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงพระคุณที่เป็น
ส่วนพระองค์เท่านั้น ด้วยมีอาทิว่า อรหํ ดังนี้. บทว่า ตถาคตํ
อนุสฺสรโต จิตฺตํ ปสีทติ
ความว่า เมื่อเขาระลึกถึงพระคุณของพระตถาคต-
เจ้า ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ จิตตุปบาทย่อมผ่องใส.
นิวรณ์ทั้ง 5 ชื่อว่า อุปกิเลสแห่งจิต. น้ำคั้นมะขามป้อม ชื่อว่า
กักกะ. บทว่า ตชฺชํ วายามํ ความว่า ความพยายามเพื่อชโลม ขัดสี
และล้างด้วยตะกอนที่เกิดจากน้ำคั้นมะขามป้อมนั้น อันสมควรแก่น้ำคั้นมะขาม
ป้อมนั้น. บทว่า ปริโยทปนา โหติ ความว่า ย่อมเป็นการทำความสะอาด
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ด้วยพระพุทธประสงค์ว่า ถ้าประดับเครื่อง
ประดับไว้บนศีรษะที่สกปรก เล่นนักษัตร ก็ไม่งาม แต่ถ้าประดับเครื่องประดับ
บนศีรษะที่สะอาดเล่นนักษัตร ย่อมงดงาม (ฉันใด) ก็อุโบสถผู้มีจิตเศร้าหมอง
อธิฏฐาน1 องค์อุโบสถแล้วเข้าจำ จะไม่มีผลมาก แต่อุโบสถที่ผู้มีจิตสะอาด2
อธิฏฐานองค์อุโบสถแล้วเข้าจำ ย่อมมีผลมาก. ฉันนั้นเหมือนกันดังนี้.
บทว่า พฺรหฺมุโปสถํ อุปวสติ ความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เขาเรียกกันว่า พระพรหม อุโบสถนี้ ชื่อว่า พรหมอุโบสถ ด้วยสมาทานแห่ง
การระลึกถึงคุณของพระพรหมนั้นเข้าจำ พรหมอุโบสถนั้น. บทว่า พฺรหฺมุนา
1. ปาฐะว่า กิลิฏฺฐจิตฺโต ฉบับพม่าเป็น กิลิฏฺฐจิตฺเตน.
2. ปาฐะว่า ปริสุทฺเธ ปน จิตฺเต ฉบับพม่าเป็น ปริสุทฺเธน ปน จิตฺเตน.

สทฺธึ สํวสติ ความว่า คบหากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. บทว่า พฺรหฺมญฺจสฺส
อารพฺภ
ความว่า ปรารภสัมมาสัมพุทธเจ้า.
บทว่า ธมฺมํ อนุสฺสรติ ความว่า ระลึกถึงโลกุตรธรรม พร้อม
กับพุทธพจน์. บทว่า โสตฺตึ ได้แก่ฝุ่นหินที่ค้นพบในแคว้นกุรุ. ก็คนทั้งหลาย
ผสมคลั่งเข้ากับฝุ่นหินที่ค้นพบในแคว้นกุรุ ปั้นเป็นลูกประคำ เจาะรูแล้วเอา
ด้ายร้อย จับสายพวงลูกประคำทั้งสองข้างแล้วถูหลัง. บทว่า โสตฺติญฺจ ปฏิจฺจ
นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาพวงลูกประคำนั้น. บทว่า จุณฺณํ ได้แก่
จุณที่ใช้เวลาอาบน้ำ. บทว่า ตชฺชํ วายามํ ได้แก่ความพยายามที่สมกับกิจ
นั้น มีการไล้ทา ขัดสี และชำระล้างเป็นต้น. บทว่า ธมฺมุโปสถํ ความว่า
อุโบสถนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ธัมมอุโบสถ เพราะปรารภ
นวโลกุตรธรรม พร้อมกับพุทธพจน์แล้วเข้าจำ. นักศึกษาควรวางบทว่า
ปริโยทปนา แม้นี้ไว้เป็นหลัก แล้วประกอบความโดยนัยก่อนนั่นแหละ.
บทว่า สํฆํ อนุสฺสรติ ความว่า ระลึกถึงคุณของพระอริยบุคคล
8 จำพวก. บทว่า อูสญฺจ ปฏิจฺจ ความว่า อาศัยไออบที่ให้จับ โดยยก
ขึ้นเตาต้ม 2-3 ครั้ง. ปาฐะว่า อุสฺสํ ดังนี้ก็มี. ความหมายก็อย่างเดียวกัน
นี้แหละ. บทว่า ขีรํ ได้แก่ ขี้เถ้า. บทว่า โคมยํ ได้แก่ เยี่ยววัว หรือ
ขี้แพะ. แม้ในบทว่า ปริโยทปนา นี้ ก็พึงประกอบความ โดยนัยก่อน
นั่นแหละ. บทว่า สงฺฆุโปสถํ ความว่า อุโบสถนี้ตรัสเรียกว่า สังฆอุโบสถ
เพราะปรารภคุณของพระอริยบุคคล 8 จำพวกแล้ว จึงเข้าจำ. บทว่า สีลานิ
ความว่า เป็นคฤหัสถ์ที่ระลึกถึงศีลของคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิต ก็ระลึกถึงศีลของ
บรรพชิต. อรรถาธิบายของบทว่า อขณฺฑานิ เป็นต้น ข้าพเจ้าได้ให้พิสดาร
แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.

บทว่า วาลณฺฑุกํ ได้แก่ แปรงที่เขาทำด้วยขนหางม้า หรือขนปอ
เป็นต้น. บทว่า ตชฺชํ วายามํ ได้แก่ การที่เอาน้ำมันทา คะเนว่า
สนิมเปียกทั่วแล้ว เทขี้เถ้าลงไป แล้วพยายามเอาแปรงขัด. ผู้ศึกษาควรประกอบ
ความอย่างนี้ โดยยึดบทว่า ปริโยทปนา นี้เป็นหลักดังต่อไปนี้.
เหมือนอย่างว่า ร่างกาย ถึงจะตกแต่งประดับประดาแล้ว (แต่)
เมื่อแว่น (สำหรับส่อง) สกปรก มองดูก็ไม่งาม เมื่อแว่นสะอาดจึงจะงาม
ฉันใด อุโบสถที่เข้าจำแล้ว ก็เช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อจิตเศร้าหมอง ก็ไม่มี
ผลมาก เมื่อจิตบริสุทธิ์จึงจะมีผลมาก ฉะนี้แล. บทว่า สีลุโปสถํ ความว่า
อุโบสถที่เข้าจำ ด้วยอำนาจแห่งการระลึกถึงศีลของตน ชื่อว่า ศีลอุโบสถ.
บทว่า สีเลน สทฺธึ ความว่า พร้อมกับศีล 5 ศีล 10 ของตน. บทว่า
สีลํ อารพฺภ ความว่า ปรารภทั้งศีล 5 ทั้งศีล 10.
บทว่า เทวตา อนฺสฺสรติ ความว่า ระลึกถึงคุณมีศรัทธาเป็นต้น
ของตน โดยตั้งเทวดาไว้ในฐานะเป็นพยาน. บทว่า อุกฺกํ แปลว่า เตา.
บทว่า โลณํ ได้แก่ดินเค็ม. บทว่า เครุกํ ได้แก่ ผงดินสอพอง. บทว่า
นาฬิกสณฺฑาสํ ได้แก่สูบที่ทำด้วยไม้อ้อ และคีมสำหรับคีบ. บทว่า ตชฺชํ
วายามํ
ได้แก่ความพยายามอันเหมาะสม มีการใส่ลงในเตา การสูบ และ
การใช้คีมเขี่ยเป็นต้น. นักศึกษาควรวาง บทว่า ปริโยทปนา นี้ไว้เป็น
หลักแล้ว ประกอบความโดยนัยก่อนนั่นแหละ เพราะว่าผู้ตกแต่งตัวด้วย
เครื่องประดับซึ่งทำด้วยทองคำที่หมอง เล่นนักษัตร ย่อมไม่งาม (แต่ถ้า
แต่งตัวด้วยเครื่องประดับ) ซึ่งทำด้วยทองที่ไม่หมอง เล่นนักษัตรจึงจะงาม
ฉันใด ผู้มีจิตเศร้าหมองก็ฉันนั้นเหมือนกัน อุโบสถย่อมไม่มีผลมาก ส่วนผู้
มีจิตบริสุทธิ์ จึงจะมีผลมาก. บทว่า เทวตูโปสถํ ความว่า อุโบสถที่บุคคล
ระลึกถึงคุณธรรมของตน โดยตั้งเทวดาไว้ในฐานะเป็นพยาน แล้วเข้าจำ

ชื่อว่า เทวดาอุโบสถ. คำใดที่เหลืออยู่อันควรจะกล่าวถึงในกัมมัฏฐาน
มีพุทธานุสติเป็นต้นเหล่านี้ ทั้งหมด ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค
แล้วเทียว.
บทว่า ปาณาติปาตํ ได้แก่การฆ่าสัตว์. บทว่า ปหาย ความว่า
ละความทุศีล กล่าวคือ เจตนาเป็นเหตุฆ่าสัตว์นั้น. บทว่า ปฏิวิรตา ความว่า
งดคือเว้นจากความเป็นผู้ทุศีลนั้นตั้งแต่เวลาที่ละได้แล้ว.
บทว่า นิหิตทณฺฑา นิหิตสตฺถา มีอธิบายว่า ชื่อว่า ทั้งทิ้งท่อนไม้
ทั้งทิ้งศาตรา เพราะไม่ถือท่อนไม้ หรือศาสตรา เป็นไปเพื่อฆ่าผู้อื่น. เว้น
ท่อนไม้เสียแล้ว อุปกรณ์ที่เหลือทั้งหมด พึงทราบว่า ชื่อว่า ศาสตรา ในบทว่า
นิหิตทณฺฑา นิหิตสตฺถา นี้ เพราะยังสัตว์ทั้งหลายให้พินาศ. ส่วนการที่
ภิกษุถือไม้เท้าคนแก่ มีดเหลาไม้ชำระฟัน หรือตะไกร มิใช่เพื่อต้องการฆ่า
ผู้อื่น เพราะฉะนั้น ภิกษุเหล่านั้นจัดว่า วางท่อนไม้แล้ว วางศาสตราแล้ว
เหมือนกัน. บทว่า ลชฺชี ความว่า ประกอบด้วยความละอาย มีการรังเกียจ
บาปเป็นลักษณะ. บทว่า ทฺยาปนฺนา ความว่า ถึงความเอ็นดูคือความเป็น
ผู้มีเมตตาจิต. บทว่า สพฺพปาณภูตหิตานุกกมฺปี ความว่า อนุเคราะห์สัตว์
มีชีวิตทั้งปวง ด้วยประโยชน์เกื้อกูล อธิบายว่า มีจิตเกื้อกูลเหล่าสัตว์มีชีวิต
ทั้งปวง เพราะความเป็นผู้มีใจเอ็นดูนั่นเอง.1
บทว่า อหมฺปชฺช ตัดบทเป็น อหํปิ อชฺช. บทว่า อิมินาปิ
องฺเคน
ได้แก่ด้วยองคคุณแม้นี้. บทว่า อรหตํ อนุกโรมิ ความว่า เมื่อเดิน
ตามหลังผู้ที่เดินไปข้างหน้า ชื่อว่า เดินตามฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น เมื่อบำเพ็ญ
คุณความดีนี้ภายหลังที่พระอรหันต์ทั้งหลายบำเพ็ญมาก่อน ชื่อว่า เจริญรอย
ตามพระอรหันต์เหล่านั้น. บทว่า อุโปสโถ จ เม อุปวุตฺโถ ภวิสฺสติ
1. ปาฐะว่า สพฺพปาณภูเต หิเตน อนุกมฺปิตาย ทฺยาปนฺนาย ฉบับพม่าเป็น สพฺพปาณภูเต
หิเตน อนุกมฺปกา ตาย เอว ทฺยาปนฺนตาย.

ความว่า การที่เรากระทำอย่างนี้ จักเป็นอันชื่อว่า เจริญรอยตามพระอรหันต์
ด้วย จักชื่อว่า เป็นอันเข้าจำอุโบสถด้วย.
การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ คือที่ผู้อื่นหวงแหน ชื่อว่า
อทินนาทาน อธิบายว่า ได้แก่การขโมย คืองานของโจร. ชื่อว่า ทินฺนาทายี
เพราะถือเฉพาะแต่ของที่เขาให้. ชื่อว่า ทินฺนปาฏิกงฺขี เพราะจำนงหวัง
แม้ด้วยจิต เฉพาะของที่เขาให้. ชื่อว่า เถนะ เพราะลักขโมย ชื่อว่า อเถนะ
เพราะไม่ลักขโมย ชื่อว่าเป็นผู้สะอาด เพราะไม่ลักขโมยนั่นเอง. บทว่า
อตฺตนา ได้แก่มีอัตภาพ ท่านอธิบายว่า ทำอัตภาพที่ไม่ลักขโมยให้
สะอาดอยู่.
บทว่า อพฺรหฺมจริยํ ได้แก่ การประพฤติที่ไม่ประเสริฐ. ชื่อว่า
พฺรหฺมจารี เพราะประพฤติธรรมอันประเสริฐ คืออาจาระอันสูงสุด. บทว่า
อาจารี ความว่า ชื่อว่า มีอาจาระชั่ว เพราะไม่ประพฤตติธรรมอันประเสริฐ.
บทว่า เมถุนา ได้แก่อสัทธรรมที่ถึงการนับว่าเมถุน เพราะซ่องเสพด้วยธรรม
อันได้นามว่า เมถุน เพราะคล้ายกันโดยเป็นกิเลสที่กลุ้มรุมจิต คือ ราคะ.
บทว่า คามธมฺมา ได้แก่ธรรมของชาวบ้าน.
บทว่า มุสาวาทา ความว่า จากการพูดเหลาะแหละ คือ พูดคำ
ไร้ประโยชน์. ชื่อว่า สจฺจวาที เพราะพูดความจริง. ชื่อว่า สจฺจสนฺธา
เพราะสืบต่อสัจจะ ด้วยสัจจะ อธิบายว่า ไม่พูดเท็จในระหว่าง ๆ. เพราะว่า
ผู้ใดบางครั้งก็พูดเท็จ บางครั้งก็พูดจริง ผู้นั้นชื่อว่าไม่สืบต่อสัจจะด้วยสัจจะ
เพราะมีมุสาวาทมาขีดคั่น. เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ชื่อว่า มีสัจจะต่อเนื่อง.
แต่คนเหล่านี้ไม่เป็นเช่นนั้น สืบต่อคำสัตย์ด้วยคำสัตย์อย่างเดียว โดยไม่ยอม
พูดเท็จ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีสัจจะต่อเนื่อง.

บทว่า เถตา แปลว่า มั่นคง อธิบายว่า มีถ้อยคำมั่นคง. คนผู้หนึ่งเป็นผู้
ไม่มีถ้อยคำมั่นคง เหมือนการย้อมผ้าด้วยขมิ้น เหมือนหลักที่ปักไว้บนกอง-
แกลบ และเหมือนลูกฟักที่วางไว้บนหลังม้า แต่อีกผู้หนึ่ง มีถ้อยคำมั่นคง
เหมือนรอยจารึกบนแผ่นดิน และเหมือนเสาอินทขีละ ถึงจะเอาดาบตัดศีรษะ
ก็ไม่ยอมพูดเป็นคำสอง. คนผู้นี้ ชื่อว่า เถตะ. มีถ้อยคำมั่นคง. บทว่า
ปจฺจยิกา ได้แก่วางใจได้ อธิบายว่า. เชื่อถือได้. เพราะคนบางคน เชื่อถือ
ไม่ได้ คือเมื่อถูกเขาถามว่า คำนี้ใครพูด พอตอบว่า คนโน้นพูด ก็จะถึง
ความเป็นผู้อันเขาพึงพูดว่า อย่าเชื่อคำพูดของมัน แต่คนผู้หนึ่ง พูดเชื่อถือได้
คือเมื่อถูกถามว่า คำนี้ใครพูด พอตอบว่า คนโน้นพูด ก็จะถึงการรับรองว่า
ถ้าคนนั้นพูด ข้อนี้ก็ถือเป็นประมาณได้ บัดนี้ไม่มีข้อที่จะต้องทักท้วง คำนี้
เป็นอย่างนี้ อย่างนี้. คนผู้นี้ เรียกว่า เป็นที่วางใจได้. บทว่า อวิสํวาทกา
โลกสฺส
มีอธิบายว่า ไม่พูดลวงโลก เพราะพูดแต่ความจริงเท่านั้น.
เหตุแห่งความประมาทกล่าวคือ เจตนา ที่จะดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัย
ชื่อว่า สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน.
บทว่า เอกภตฺติกา ความว่า อาหารมี 2 เวลา คือ อาหารที่จะต้อง
รับประทานในเวลาเช้า 1 อาหารที่จะต้องรับประทานในเวลาเย็น 1 บรรดา
อาหารทั้งสองอย่างนั้น อาหารที่จะรับประทานในเวลาเช้า กำหนดโดยเวลา
ภายในเที่ยงวัน (ส่วน) อาหารที่จะรับประทานในเวลาเย็น นอกนี้กำหนดโดย
เวลาแต่เลยเที่ยงไป จนถึงเวลาอรุณขึ้น. เพราะฉะนั้นในเวลาภายในเที่ยง
ถึงจะรับประทาน 10 ครั้ง ก็ชื่อว่า มีการรับประทานอาหารเวลาเดียว. พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เอกภตฺติกา ทรงหมายถึงการรับประทานอาหารภายใน
เวลาเที่ยงวัน. การรับประทานอาหารในเวลากลางคืน ชื่อว่า รตฺติ ผู้เว้น
จากการรับประทานอาหารในเวลากลางคืนนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า

รตฺตูปรตา. การรับประทานอาหารในเวลาเลยเที่ยงวันไป จนถึงเวลาพระ-
อาทิตย์ตกดิน ชื่อว่า การรับประทานอาหารในเวลาวิกาล ผู้ชื่อว่าเว้นจาก
วิกาลโภชน์ เพราะเว้นจากการรับประทานอาหารในเวลาวิกาลนั้น.
การดูที่ชื่อว่า เป็นข้าศึก คือเป็นศัตรู เพราะอนุโลมตามคำสอนไม่ได้
(ขัดต่อศาสนา) เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วิสูกทัสสนะ การฟ้อนรำ การขับร้อง
การดีดสีตีเป่า แม้ด้วยสามารถแห่งการฟ้อนด้วยตนเอง และการให้ผู้อื่นฟ้อน
เป็นต้น และการดูการร่ายรำเป็นต้น ที่เป็นไปแล้วโดยที่สุด แม้ด้วยสามารถ
แห่งการรำแพนของนกยูงเป็นต้น ที่เป็นข้าศึก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นัจจ-
คีตวาทิตวิสูกทัสสนะ. ก็การประกอบการฟ้อนเป็นต้น ด้วยตนเองก็ดี การให้
ผู้อื่นประกอบก็ดี การดูการฟ้อนเป็นต้น ที่เขาประกอบแล้วก็ดี ไม่ควรแก่ภิกษุ
ภิกษุณีเลย.
ในบรรดามาลาเป็นต้น ดอกไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มาลา.
คันธชาต อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ของหอม. เครื่องประเทืองผิว ชื่อว่า
วิเลปนะ. ในบรรดาสิ่งเหล่านั้น เมื่อประดับประดา ชื่อว่า ทัดทรง. เมื่อ
เสริมส่วนที่บกพร่อง ชื่อว่า ตกแต่ง. เมื่อยินดี ด้วยของหอมก็ดี ด้วย
เครื่องประเทืองผิวก็ดี ชื่อว่า ประดับประดา. เหตุ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเรียกว่า ฐานะ. อธิบายว่า เพราะฉะนั้น มหาชนกระทำการทัดทรง
ดอกไม้เป็นต้นเหล่านั้น ด้วยเจตนาคือความเป็นผู้ทุศีลอันใด พระอรหันต์
ทั้งหลายเป็นผู้เว้นจากทุศีลเจตนานั้น.
ที่นั่งที่นอนเกินขนาด ตรัสเรียกว่า อุจจาสยนะ. เครื่องปูลาดที่
เป็นอกัปปิยะ (ไม่สมควร) ชื่อว่า มหาสยนะ อธิบายว่า พระอรหันต์
ทั้งหลายเป็นผู้เว้นจากที่นั่งที่นอนสูง และที่นั่งที่นอนใหญ่นั้น. บทว่า กีว-
มหปฺผโล
ความว่า มีผลมากขนาดไหน. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า ปหุตฺสตฺตรตนานํ ความว่า ประกอบด้วยรตนะกล่าวคือแก้วมาก
มาย อธิบายว่า ปราบพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้นให้เป็นเหมือนหน้ากลอง แล้วเทรตนะ
ทั้ง 7 ลงสูงเท่าสะเอว. บทว่า อิสฺสริยาธิปจฺจํ ความว่า (เสวยราชสมบัติ)
ที่เป็นใหญ่หรือเป็นอธิบดี ทั้งโดยความเป็นอิสระ ทั้งโดยความเป็นอธิบดี
ไม่ใช่เป็นใหญ่ หรือเป็นอธิบดี โดยความเป็นพระราชาที่หนักพระทัย ชื่อว่า
เสวยไอศวรรยาธิปัตย์ เพราะไม่มีอาชญากรรมที่ร้ายแรง (คดีอุกฉกรรจ์)
ดังนี้บ้าง. บทว่า รชฺชํ กา รยฺย ได้แก่ เสวยจักรพรรดิราชสมบัติเห็น
ปานนี้.
คำว่า องฺคานํ เป็นต้น เป็นชื่อของชนบทเหล่านั้น. บทว่า กลํ
นาคฺฆติ โสฬสึ
ความว่า แบ่งบุญในการอยู่จำอุโบสถ ตลอดวันและคืนหนึ่ง
ออกเป็น 16 ส่วนแล้ว จักรพรรดิราชสมบัติ ยังมีค่าไม่ถึงส่วนเดียว จาก
16 ส่วนนั้น. อธิบายว่า ผลวิบากของส่วนที่ 16 ของอุโบสถคืนหนึ่งมากกว่า
จักรพรรดิราชสมบัติ ของพระเจ้าจักรพรรดินั้น. บทว่า กปณํ ได้แก่เล็กน้อย.
บทว่า อพฺรหฺมจริยา ได้แก่ จากความประพฤติอันไม่ประเสริฐ.
บทว่า รตฺตึ น ภุญฺเชถ วิกาลโภชนํ ความว่า เมื่อเข้าจำอุโบสถไม่
ควรบริโภคอาหารในเวลากลางคืน และอาหารในเวลากลางวัน อันเป็นเวลา
วิกาล. บทว่า มญฺเจ ฉมายํ ว สเยถ สนฺถเต มีอธิบายว่า
ควรนอนบนเตียงที่เป็นกัปปิยะ. มีเท้าสูงศอกกำ หรือพื้นที่ ๆ เขาเทไว้ด้วย
ปูนขาวเป็นต้น หรือบนสันถัด ที่เขาปูลาดด้วยหญ้า ใบไม้หรือฟางเป็นต้น.
บทว่า เอตํ หิ อฏฺฐงฺคิกมาหุโปสถํ ความว่า นักปราชญ์เรียกอุโบสถ
ที่ผู้ไม่ละเมิดปาณาติบาตเป็นต้น เข้าจำแล้วอย่างนี้ ว่าเป็นอุโบสถประกอบ
ด้วยองค์ 8 เพราะประกอบด้วยองค์ 8 ประการ.
ส่วนผู้ที่เข้าจำอุโบสถประกอบด้วยองค์ 8 นั้น คิดว่า พรุ่งนี้เราจัก
รักษาอุโบสถ แล้วควรตรวจสอบสิ่งที่ต้องจัด มีอาหารเป็นต้นว่า เราต้อง

กระทำอย่างนี้ อย่างนี้ ในวันนี้ทีเดียว. ในวันอุโบสถควรเปล่งวาจาสมาทาน
องค์อุโบสถ ในสำนักของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา ผู้รู้ลักษณะ
ของศีล 10 แต่เช้า ๆ.
ส่วนผู้ไม่รู้บาลี ควรอธิษฐานว่า พุทฺธปญฺญตฺตํ อุโปสถํ อธิฏฺฐามิ
(ข้าพเจ้าขออธิษฐาน องค์อุโบสถที่พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติไว้แล้ว). เมื่อหา
คนอื่นไม่ได้ ก็ควรอธิษฐานด้วยตนเอง. ส่วนการเปล่งวาจา ควรทำโดยแท้
ผู้เข้าจำอุโบสถ ไม่พึงวิจารการงาน อันเนื่องด้วยความบกพร่องของ
คนอื่น ผู้คำนึงถึงผลได้ผลเสียไม่ควรปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป. ส่วนผู้ได้อาหาร
ในเรือนแล้ว ควรบริโภคเหมือนภิกษุผู้ได้อาหารประจำ แล้วตรงไปวิหาร
ฟังธรรม หรือมนสิการอารมณ์ (กัมมัฏฐาน) 38 ประการ อย่างใด
อย่างหนึ่ง.
บทว่า สุทสฺสนา ได้แก่ เห็นได้ชัดดี. บทว่า โอภาสยํ ได้แก่
ส่องสว่างอยู่. บทว่า อนฺปริยนฺติ แปลว่า โคจรไป. บทว่า ยาวตา ได้แก่
สู่ที่มีประมาณเท่าใด. บทว่า อนฺตลิกฺขคา ได้แก่ลอยไปสู่อากาศ. บทว่า
ปภาสนฺติ แปลว่า ส่องแสงสว่าง คือเปล่งรัศมี. บทว่า ทิสา วิโรจนา
ได้แก่ ส่องแสงสว่างไปในทิศทั้งปวง. อีกนัยหนึ่ง บทว่า ปภาสนฺติ แปลว่า
สว่างจ้าไปทั่วทุกทิศ.1 บทว่า วิโรจนา เท่ากับ วิโรจมานา แปลว่า
ส่องสว่าง.
บทว่า เวฬุริยํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงจะตรัสบทว่า
มณีไว้แล้ว (แต่) ก็ทรงแสดงถึงความเป็นแก้วมณี โดยกำเนิดไว้ด้วยบทว่า
เวฬุริยํ นี้. ด้วยว่า แก้วไพฑูรย์ ที่มีสีเหมือนไม้ไผ่ ที่เกิดได้ 1 ปี ชื่อว่า
1. ปาฐะว่า อถวา ปภาสนฺติ ทิสา วิทิสา โอภาสนฺตีติ วิโรจมานา ฉบับพม่าเป็น อถวา
ปภาสนฺตีติ ทิสาหิ ทิสา โอภาสนฺติ วิโรจนาติ วิโรจมานา.

แก้วมณีโดยกำเนิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ทรงหมายถึงแก้วมณี
โดยกำเนิดนั้น. บทว่า ภทฺทกํ เท่ากับ ลทฺธกํ แปลว่า งดงาม. บทว่า
สงฺคิสุวณฺณํ ได้แก่ทองที่งอกขึ้นมีสัณฐานดังเขาโค. บทว่า กาญฺจนํ ได้แก่
ทองที่เกิดจากเขา คือทองคำที่เกิดบนภูเขา. บทว่า ชาตรูปํ ได้แก่ทองที่มีสี
เหมือนพระฉวีวรรณของพระศาสดา. บทว่า หฏกํ ได้แก่ทองที่มดแดงคาบมา
บทว่า นานุภวนฺติ แปลว่า ยังไม่ถึง. บทว่า จนฺทปฺปภา เป็นปฐมาวิภัติ
ลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัติ. อธิบายว่า (ไม่ถึงส่วนที่ 16) แห่งแสงจันทร์.
บทว่า อุปวสฺสุโปสถํ ได้แก่เข้าจำอุโบสถ. บทว่า สุขุทฺริยานิ ได้แก่
มีสุขเป็นผล คือเสวยความสุข. บทว่า สคฺคมฺเปนฺติ ฐานํ ได้แก่เข้าถึง
ฐานะ กล่าวคือสวรรค์ อธิบายว่า ไม่มีใครตำหนิ ย่อมเกิดในเทวโลก. คำ
ที่เหลือที่มิได้กล่าวไว้ในระหว่าง ๆ ในพระสูตรนี้นั้น พึงทราบโดยทำนองที่
กล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาอุโปสถสูตรที่ 10
จบมหาวรรควรรณนาที่ 2


รวมสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. ติตถสูตร 2. ภยสูตร 3. เวนาคสูตร 4. สรภสูตร 5.
กาลามสูตร 6. สาฬหสูตร 7. กถาวัตถุสูตร 8. ติตถิยสูตร 9. มูลสูตร
10. อุโปสถสูตร และอรรถกถา.