เมนู

แก่ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักมองเห็นรูป
ฉะนั้น ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้ง
พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้า
พระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบสังคารวสูตรที่ 10
จบพราหมณวรรคที่ 3

อรรถกถาสังคารวสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสังคารวสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า สงฺคารโว ได้แก่ พราหมณ์ผู้ดูแล ผู้ทำการปฏิ-
สังขรณ์ของเก่าในกรุงราชคฤห์ มีชื่ออย่างนี้. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า
พราหมณ์รับประทานอาหารเช้าแล้ว มีมหาชนห้อมล้อม เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้า. บทว่า อสฺสุ ในคำว่า มยมสฺสุ นี้ เป็นเพียงนิบาต คือเป็น
บทแสดงความนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ชื่อว่า
พราหมณ์.
บทว่า ยญฺญํ ยชาม ความว่า ขึ้นชื่อว่า ยัญประกอบไปด้วยการ
ฆ่าสัตว์อย่างนี้ ชุดละ 4 ตัว ชุดละ 8 ตัว ชุดละ 16 ตัว ชุดละ 32 ตัว
ชุดละ 64ตัว ชุดละ 100 ตัว และชุดละ 500 ตัว มีอยู่ในลัทธิภายนอก
(พระพุทธศาสนา). พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอายัญนั้นนั่นแหละ. บทว่า
อเนกสารีริกํ ได้แก่ เนื่องด้วยคนมาก. บทว่า ยทิทํ เท่ากับ ยา เอสา
แปลว่า นี้ใด. บทว่า ยญฺญาธิกรณํ ความว่า มีการบูชายัญเป็นเหตุ และ

มีการให้ผู้อื่นบูชาเป็นเหตุ ความจริง บุญปฏิปทา (ข้อปฏิบัติเนื่องด้วยบุญ)
ในไทยธรรมอย่างเดียว ที่บุคคลให้เองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นให้ก็ดี แก่คนจำนวนมาก
ถึงในไทยธรรมมากอย่าง ที่บุคคลให้เองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นให้ก็ดี แก่คนจำนวน
มาก ชื่อว่า เป็นปฏิปทาเนื่องด้วยคนมาก. คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
หมายเอา บุญปฏิปทานั้น. และบุญปฏิปทา ของผู้กล่าวอยู่ว่า เราบูชาท่าน
เราบูชาท่าน ดังนี้ก็ดี ผู้บังคับผู้อื่นว่า ท่านจงบูชา ท่านจงบูชา ดังนี้ก็ดี ชื่อว่า
เป็นปฏิปทาเนื่องด้วยคนหมู่มากเหมือนกัน. คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
หมายเอา บุญปฏิปทาแม้นั้น.
บทว่า ยสฺส วา ตสฺส วา เท่ากับ ยสฺมา วา ตสฺมา วา
แปลว่า จากตระกูลใดๆ ก็ตาม. บทว่า เอกมตฺตานํ ทเมติ ความว่า ฝึกตน
คนเดียว ด้วยสามารถแห่งการฝึกอินทรีย์ของตน. บทว่า เอกมตฺตานํ สเมติ
ความว่า สงบตนคนเดียวนั่นแหละ ด้วยการสงบราคะเป็นต้นของตน. บทว่า
ปรินิพฺพาเปติ ความว่า ปรินิพพานด้วยการดับสนิท ซึ่งราคะเป็นต้น
นั่นแหละ. บทว่า เอวมสฺสายํ ความว่า แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องการบรรพชา
นี้ ก็เท่ากับบุญปฏิปทานี้.
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของพราหมณ์ อย่างนี้แล้ว ทรงดำริว่า
พราหมณ์นี้ กล่าวถึงมหายัญที่ประกอบด้วยการฆ่าสัตว์ ว่าเป็นบุญปฏิปทาที่
เนื่องด้วยคนหมู่มาก แต่กล่าวถึงปฏิปทาที่เป็นเหตุให้เกิดบุญ มีบรรพชาเป็น
พื้นฐานว่า เป็นบุญปฏิปทาเนื่องด้วยคน ๆ เดียว พราหมณ์นี้ไม่รู้จักปฏิปทา
ที่เนื่องด้วยคน ๆ เดียวเลย ไม่รู้จักปฏิปทาที่เนื่องด้วยคนจำนวนมากด้วย
เอาเถิด เราจักแสดงปฏิปทาที่เนื่องด้วยคน ๆ เดียว ทั้งที่เนื่องด้วยคนจำนวน
มากแก่เขา ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงขยายพระธรรมเทศนาออกไปอีก จึงตรัสคำ

มีอาทิว่า เตนหิ พฺราหฺมณ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา เต
ขเมยฺย
ความว่า ท่านชอบใจอย่างไร. บทว่า อิธ ตถาคโต โลเก
อุปฺปชฺชติ
ได้ให้พิสดารแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
บทว่า เอถายํ1 มคฺโค ความว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย เราตถาคต
จักพร่ำสอน นี้เป็นทาง. บทว่า อยํ ปฏิปทา นี้ เป็นไวพจน์ของ มคฺโค
นั้น. บทว่า ยถา ปฏิปนฺโน ความว่า ดำเนินไปแล้ว โดยมรรคใด. บทว่า
อนุตฺตรํ พฺรหฺมจริโยคธํ ความว่า ธรรมอันถึงที่สุด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
คือพระนิพพาน อันเป็นที่พึ่งสูงสุดของพรหมจรรย์ กล่าวคือ อรหัตมรรค.
บทว่า อิจฺจายํ ตัดบทเป็น อิติ อยํ.
บทว่า อปฺปตฺถตรา ความว่า เป็นปฏิปทาที่ไม่ต้องการความช่วย-
เหลือหรือไม่ต้องการอุปกรณ์จำนวนมาก. บทว่า อปฺปสมารมฺภตรา ความว่า
เป็นปฏิปทาที่ไม่มีการแข่งดี กล่าวคือ การกดโดยตัดรอนกรรม (ความดี)
ของคนเป็นอันมาก.
บทว่า เสยฺยถาปิ ภวํ โคตโม ภวญฺจ อานนฺโท เอเต เม
ปุชฺชา
ความว่า พราหมณ์กล่าวคำนั้น หมายถึงความข้อนี้ว่า บุคคลเช่น
พระโคดมผู้เจริญ และพระอานนท์ผู้เจริญ เป็นผู้อันข้าพเจ้าบูชาแล้ว ได้แก่
พวกท่านนั่นแหละ คือทั้งสองคนเป็นผู้อันข้าพเจ้าบูชาและสรรเสริญ. ได้ยินว่า
พราหมณ์นั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า พระอานนทเถระต้องการให้เราเท่านั้น
ตอบปัญหานี้ แต่เมื่อเรากล่าวสรรเสริญคุณของตน ชื่อว่า ผู้จะไม่ยินดีไม่มี.
เพราะฉะนั้น พราหมณ์เมื่อไม่ประสงค์จะตอบปัญหา จึงกล่าวอย่างนี้ ให้
เพี้ยนไป ด้วยสามารถแห่งการกล่าวสรรเสริญ. บทว่า น โข ตฺยาหํ ตัด
บทเป็น น โข เต อหํ.
1. ปาฐะว่า เอตฺถายํ ฉบับพม่าเป็น เอถายํ แปลตามฉบับพม่า.

ได้ยินว่า แม้พระเถระก็คิดว่า พราหมณ์นี้ไม่ประสงค์จะตอบปัญหา
จึงเสความ เราจักให้พราหมณ์นี้ ตอบปัญหานี้ให้จงได้ เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงกล่าวอย่างนี้ กะพราหมณ์นั้น. บทว่า สหธมฺมิกํ แปลว่า มีเหตุ. บทว่า
สํสาเทํติ แปลว่า ขยาด. บทว่า โน วิสชฺเชติ แปลว่า จะไม่ตอบ.
บทว่า ยนฺนูนาหํ ปริโมจยํ ความว่า อย่ากระนั้นเลย เราจะ
ปลดเปลื้องคนทั้งสองให้พ้นจากความลำบากใจ. เพราะว่าพราหมณ์เมื่อไม่
ตอบปัญหาที่พระอานนท์ถาม ย่อมลำบากใจ ฝ่ายพระอานนท์ เมื่อจะให้
พราหมณ์ผู้ไม่ยอมตอบ ตอบให้ได้ ก็ลำบากใจ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระดำริว่า เราจักปลดเปลื้องคนทั้งสองนี้ จากความลำบากใจ จึงตรัส
อย่างนี้. บทว่า กานฺวชฺช ตัดบทเป็น กา นุ อชฺช. บทว่า อนฺตรากถา
อุทปาทิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ในระหว่างที่สนทนากันถึง
เรื่องอื่น มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง. พระศาสดาตรัสอย่างนี้ โดยมีพุทธประสงค์
ว่า ได้ยินว่า ครั้งนั้นในพระราชวัง มีกถาปรารภปาฏิหาริย์ 3 เกิดขึ้น เรา
จะถามความข้อนั้น.
ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า บัดนี้ เราสามารถจะพูดได้ เมื่อจะกราบ
ทูลข้อความที่เกิดขึ้นในพระราชวัง จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อยํ ขฺวชฺช โภ
โคตม
ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยํ ขวฺชฺช ตัดบทเป็น อยํ
โข อชฺช.
บทว่า สุทํ ในคำว่า ปุพฺเพ สุทํ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า
อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา ได้แก่มนุษยธรรมชั้นสูง กล่าวคือ กุศลกรรมบถ 10.
ด้วยบทว่า อิทฺธิปาฏิหาริยํ ทสฺเสสุํ พราหมณ์กล่าวหมายเอาการเหาะขึ้น
ไปบนอากาศ ที่เป็นไปแล้วในสมัยก่อนอย่างนี้ คือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อไป

ภิกษาจาร ทั้งไปทั้งกลับ จะเหาะไปโดยทางอากาศทั้งนั้น. ด้วยบทว่า เอตรหิ
ปน พหุตรา จ ภิกฺขุ
นี้ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ตามลัทธิว่า เมื่อก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ชะรอยจะคิดว่า พวกเราจักยังปัจจัย 4 ให้เกิดขึ้น จึงกระทำ
อย่างนี้ แต่บัดนี้ รู้ว่าปัจจัยเกิดขึ้นแล้ว จึงปล่อยเวลาให้ล่วงไป ด้วยโมหะ
และความประมาท.
บทว่า ปาฏิหาริยานิ ได้แก่ ปาฏิหาริย์ โดยมุ่งขจัดลัทธิที่เป็น
ปฏิปักษ์. บทว่า อิทฺธิปาฏิหาริยํ ความว่า ปาฏิหาริย์ด้วยอำนาจการ
แสดงฤทธิ์ ชื่อว่า อิทธิปาฏิหาริย์. แม้ในปาฏิหาริย์นอกนี้ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
อรรถาธิบาย วิชชา 8 ประการ มีอิทธิวิธิต่าง ๆ วิธีก็ดี นัยแห่งการเจริญ
(วิชชา 8 ประการนั้น) ก็ดี ได้ให้พิสดารในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วทีเดียว.
บทว่า นิมิตฺเตน อาทิสติ ความว่า ทำนายว่า ชื่อว่า สิ่งนี้จักมีโดยนิมิต
ที่ผ่านมาแล้ว โดยนิมิตที่ผ่านไปแล้ว หรือโดยนิมิตที่ยังคงอยู่. ในข้อนี้มีเรื่อง
ดังต่อไปนี้
เล่ากันมาว่า พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงกำแก้วมุกดา 3 ดวงไว้
แล้วตรัสถามปุโรหิตว่า ท่านอาจารย์อะไรอยู่ในมือของเรา. ปุโรหิตตรวจดู
ข้างโน้น ข้างนี้ และเวลานั้น มีตุ๊กแกตัวหนึ่ง วิ่งไปโดยตั้งใจว่าจักจับแมลงวัน
ในเวลาจับ แมลงวันหนีไปได้. เขาจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช แก้วมุกดา
พระเจ้าข้า เพราะความที่ (ถือนิมิต) แมลงวันหนีรอดไปได้. พระราชาตรัสถาม-
ต่อไปว่า ถูกละ แก้วมุกดา แต่ว่า มีกี่ดวง. ปุโรหิตตรวจดูนิมิตอีก เวลานั้น
ไก่ขันขึ้น 3 ครั้ง ในที่ไม่ไกล. พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชมี 3 ดวง
พระเจ้าข้า. บางคนทำนายนิมิตที่ผ่านมาแล้ว ดังพรรณมานี้. แม้โดยนิมิต
ที่ผ่านไปแล้ว และยังคงอยู่ ก็พึงทราบการทำนายโดยอุบายนี้.

บทว่า เอวมฺปิ เต มโน ความว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้คือ
อาศัยโสมนัส อาศัยโทมนัส หรือประกอบด้วยกามวิตกเป็นต้น. คำที่ 2
(อิตฺถมฺปิ เต มโน) เป็นไวพจน์ของคำว่า เอวมฺปิ เต มโน นั้นนั่นเอง
บทว่า อิติปิ เต จิตฺตํ ความว่า จิตของท่านเป็นไปด้วยประการนี้ อธิบายว่า
ท่านกำลังคิดถึงความข้อนี้ และข้อนี้อยู่ จิตเป็นไปแล้ว. บทว่า พหุญฺเจปิ
อาทิสติ
ความว่า หากเขาจะพยากรณ์แม้มากไซร้. บทว่า ตเถว ตํ โหติ
ความว่า(เรื่องต่างๆ) จะเป็นเหมือนที่ทำนายไว้นั่นแหละ. บทว่า อมนุสฺสานํ
ได้แก่ อมนุษย์มียักษ์และปีศาจเป็นต้น. บทว่า เทวตานํ ได้แก่เทวดาทั้งหลาย
มีเทวดาชั้นจาตุมมหาราชเป็นต้น. บทว่า สทฺทํ สุตฺวา ความว่า ได้ยินเสียง
ของเขาผู้กำลังกล่าวอยู่จึงทำนาย เพราะรู้จิตของผู้อื่น. บทว่า วิตกฺกวิจารสทฺทํ
ความว่า เสียงของคนที่หลับและประมาทเป็นต้น ละเมอถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย
สามารถแห่งวิตก และวิจาร. บทว่า สุตฺวา ได้แก่ได้ยินเสียงนั้น. อธิบายว่า
ทำนายเสียงที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจอารมณ์เธอกำลังตรึกนั้น ว่าใจของท่านเป็น
อย่างนี้.ในข้อนั้น มีเรื่องดังต่อไปนี้
เล่ากัน ว่า ชายผู้หนึ่ง คิดว่า เราจะไปแก้คดี ออกจากบ้านไปสู่นคร
นับแต่ที่ ๆ ออกเดินทางไป ก็ครุ่นคิดอยู่ว่า ในศาล เราจักทำสิ่งนี้ จักพูดคำนี้
แด่พระราชา ราชมหาอมาตย์ ได้เป็นเสมือนว่า ไปสู่ราชสกุลแล้ว เหมือนกับ
ได้ยืนต่อพระพักตร์ของพระราชาแล้ว และเหมือนกับกำลังให้การอยู่กับผู้-
พิพากษา. บุรุษผู้หนึ่งได้ยินเสียงนั้นของเขาที่เปล่งออกไป ด้วยสามารถแห่ง
วิตกและวิจาร จึงถามว่า ท่านจะไปด้วยเรื่องอะไร. เขาตอบว่า จะไปแก้คดี.
บุรุษนั้นจึงพูดว่า ไปเถิด ท่านจะมีชัยชนะ. เขาไปแก้คดีแล้ว ประสบชัยชนะ.
แม้พระเถระชาวโปลิยคาม อีกรูปหนึ่ง ได้เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน.
ขณะนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งส่งใจไปที่อื่นจึงไม่เห็นท่านผู้เดินออกไป. ท่านยืนอยู่

ที่ประตูบ้านแล้วกลับออกไปมองดู เห็นเด็กหญิงนั้นแล้ว ได้เดินตรึกไป และ
เมื่อเดินไปก็ได้กล่าวว่า แม่หนูทำอะไรอยู่หรือ จึงไม่เห็นเรา. ชายคนหนึ่ง
ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินแล้ว ก็พูดขึ้นว่า ท่านผู้เจริญ นิมนต์ท่านไปบ้าน
โปลิยคามเถิด.
บทว่า มโนสงฺขารา ปณิหิตา ความว่า จิตสังขารที่ตั้งไว้ดีแล้ว.
บทว่า วิตกฺเกสฺสติ ความว่า รู้ชัดว่า จักตรึก คือจักยังจิตให้เป็นไป.
ก็เมื่อเธอรู้ชัดอยู่ ชื่อว่า ย่อมรู้ชัด โดยนิมิตผ่านมานั่นแหละ. ย่อมรู้โดยนิมิต
อันเป็นส่วนเบื้องต้น. ย่อมรู้โดยยกจิตขึ้นภายในสมาบัติ.
ในเวลาบริกรรมกสิณเหล่านั้นแหละ ภิกษุรู้ว่า พระโยคาวจรนี้
ปรารภการเจริญกสิณโดยอาการใด จักยังปฐมฌาน ฯลฯ จตุตถฌาน หรือ
สมาบัติ 8 ให้เกิดขึ้นโดยอาการนั้น ชื่อว่า รู้โดยนิมิตผ่านมา.
เมื่อปรารภสมถวิปัสสนาแล้ว ภิกษุรู้อยู่ คือรู้ว่า พระโยคาวจรนี้
ปรารภวิปัสสนาแล้ว โดยอาการใด จักยังโสดาปัตติมรรคฯลฯ หรืออรหัตมรรค
ให้เกิดขึ้น โดยอาการนั้น ชื่อว่า รู้นิมิตโดยส่วนเบื้องต้น.
ภิกษุรู้ว่า มโนสังขารของพระโยคาวจรนี้ ตั้งไว้ดีแล้ว เธอจะตรึก-
วิตกชื่อนี้ ในลำดับแห่งจิตชื่อนี้ โดยอาการใด สมาธิของพระโยคาวจรนี้
ผู้ออกจากสมาบัตินี้แล้ว ที่เป็นหานภาคิยะ (เป็นส่วนแห่งการละ) ที่เป็น
ฐิติภาคิยะ (เป็นส่วนแห่งความดำรงอยู่) ที่เป็นวิเสสภาคิยะ (เป็นส่วนแห่ง
คุณธรรมพิเศษ) หรือเป็นนิพเพธภาคิยะ (เป็นส่วนแห่งการแทงตลอด) จักมี
หรือการทำให้แจ้งด้วยอภิญญา จักเกิดขึ้นแก่เธอ โดยอาการนั้น ชื่อว่า
รู้โดยตรวจดูจิตในภายในสมาบัติ.

บรรดาบทเหล่านั้น ปุถุชนผู้ได้เจโตปริยญาณ ย่อมรู้จิตของปุถุชน
ด้วยกัน แต่ไม่รู้จิตของพระอริยเจ้า. ถึงในพระอริยเจ้าทั้งหลาย พระอริยบุคคล
ชั้นต่ำ ย่อมไม่รู้จิตของพระอริยบุคคลชั้นสูง แต่พระอริยบุคคลชั้นสูง รู้จิต
ของพระอริยบุคคลชั้นต่ำ. อนึ่ง บรรดาพระอริยเจ้าเหล่านี้ พระโสดาบัน
เข้าโสดาปัตติผลสมาบัติ พระสกทาคามี...พระอนาคามี... พระอรหันต์
เข้าอรหัตผลสมาบัติ. พระอริยบุคคลชั้นสูง จะไม่เข้าสมาบัติชั้นต่ำ. เพราะว่า
สมาบัติชั้นต่ำๆของพระอริยบุคคลชั้นต่ำเหล่านั้น จะเป็นไปในพระอริยบุคคล
ชั้นต่ำเหล่านั้น. บทว่า ตเถว ตํ โหติ ความว่า คำทำนายนั้น ย่อมเป็น
อย่างนั้นนั่นแหละโดยส่วนเดียว เพราะคำพยากรณ์ที่ท่านรู้ด้วยสามารถแห่ง
เจโตปริยญาณ ชื่อว่า จะเป็นอื่นไปไม่มี (คือไม่ผิดพลาด).
บทว่า เอวํ วิตกฺเกถ ความว่า เธอทั้งหลายจงตรึก ให้เนกขัมม-
วิตกเป็นต้นเป็นไปอย่างนี้. บทว่า มา เอวํ วิตกฺกยิตฺถ ความว่า เธอ
ทั้งหลายอย่าตรึกให้กามวิตกเป็นต้นเป็นไปอย่างนี้. บทว่า เอวํ มนสิกโรถ
ความว่า เธอทั้งหลาย มนสิการถึงอนิจสัญญานั่นแหละ หรือสัญญาอย่างอื่น
ในบรรดาทุกขสัญญาเป็นต้นอย่างนี้. บทว่า มา เอวํ ความว่า เธอทั้งหลาย
อย่าใส่ใจ โดยนัยเป็นต้นว่า เที่ยง ดังนี้. บทว่า อิทํ ความว่า เธอทั้งหลาย
จงละความกำหนัดในเบญจกามคุณนี้. บทว่า อิทํ ปน อุปสมฺปชฺช ความว่า
(แต่) ท่านทั้งหลายจงเข้าถึง คือบรรลุโลกุตรธรรม แยกประเภทเป็นมรรค
4 ผล 4 นี้นั่นแหละ ได้แก่ให้สำเร็จแล้วอยู่.
บทว่า มายาสหธมฺมรูปํ วิย ขายติ ความว่า ย่อมปรากฏเป็น
เหมือนรูปที่เกิดจากเหตุอันเสมอด้วยมายา. จริงอยู่ นักแสดงกล ย่อมแสดงกล
ได้หลายแบบอย่างนี้คือ หยิบน้ำมา ทำให้เป็นน้ำมันก็ได้ หยิบน้ำมันมาทำให้
เป็นน้ำก็ได้ ถึงปาฏิหาริย์นี้ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ดังนี้.

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้ปาฏิหาริย์นี้
ปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนเล่นกล หมายเอาความที่ปาฏิหาริย์คล้ายกับวิชชา-
จินดามณีมนต์. เพราะผู้ที่รู้วิชชาจินดามณีมนต์นี้ เห็นคนกำลังเดินมานั่นแหละ
ย่อมรู้ว่า คนผู้นี้เดินตรึกเรื่องนี้มา อนึ่ง ย่อมรู้ว่า คนผู้นี้ยืนตรึกเรื่องชื่อนี้
นั่งตรึกเรื่องชื่อนี้ นอนตรึกเรื่องชื่อนี้ ดังนี้.
บทว่า อภิกฺกนฺตตรํ ได้แก่ดีกว่า. บทว่า ปณีตตรํ ได้แก่สูงกว่า.
ในบทว่า ภวญฺหิ โคตโม อวิตกฺกํ อวิจารํ นี้ พราหมณ์มิได้ถือเอา
อาเทสนาปาฏิหาริย์ที่เหลือว่า เป็นลัทธิภายนอก (พระพุทธศาสนา) ก็แล
พราหมณ์นั้น เมื่อจะกล่าวสรรเสริญพระตถาคต จึงกล่าวข้อความนี้ทั้งหมด.
บทว่า อทฺธา โข ตฺยาหํ ความว่า วาจานี้ ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว
โดยส่วนเดียวแท้. บทว่า อาสชฺช อุปนิยฺย วาจา ภาสิตา ความว่า
วาจาที่ท่านกล่าวพาดพิงถึงเรา ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว. บทว่า อปิจ ตฺยาหํ
พฺยากริสฺสามิ
ความว่า อีกทั้งเราแหละจักพยากรณ์แก่ท่าน. บทที่เหลือมี
เนื้อความตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสังคารวรสูตรที่ 10
จบพราหมณวรรควรรณนาที่ 1

รวมพระสูตรที่มีในพราหมวรรคนี้ คือ


1. ปฐมชนสูตร 2. ทุติยชนสูตร 3. พราหมณสูตร 4. ปริพาชกสูตร
5. นิพพุตสูตร 6. ปโลภสูตร 7. ชัปปสูตร 8. ติกัณณสูตร 9. ชา-
นุสโสณีสูตร 10. สังคารวสูตร และอรรถกถา.