เมนู

4. ปริพาชกสูตร



ว่าด้วยธรรมคุณ



[494] ครั้งนั้นแล พราหมณ์ปริพาชกคนหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พระองค์ย่อมตรัสว่า ธรรมอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ธรรมอันผู้ได้บรรลุจะ
พึงเห็นเอง ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ธรรม
จึงเป็นคุณชาติ อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียก
ให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้กำหนัด ถูก
ราคะครอบงำ มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่น
ทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละราคะ
ได้แล้วย่อมไม่คิด แม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองเลย ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะ
เบียดเบียนคนอื่น ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่าย
ย่อมไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต. ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้กำหนัด
ถูกราคะครอบงำ มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมพระพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อม
ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ เมื่อละราคะได้เด็ดขาด
แล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อม
ไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้กำหนัด ถูกราคะครอบงำ
มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง เมื่อละราคะได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตน
ก็ร้ชัดตามความเป็นจริง แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง ดูก่อนพราหมณ์ แม้ด้วย

เหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล ธรรมย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง...
ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลที่โกรธ ฯลฯ ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้หลง
ถูกโมหะครอบงำ มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่น
ทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละโมหะได้
เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองเลย ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะ
เบียดเบียนคนอื่น ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่าย
ย่อมไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้หลง ถูก
โมหะครอบงำ มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมพระพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อม
พระพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ เมื่อละโมหะได้เด็ดขาด
แล้ว ย่อมไม่พระพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อม
ไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้หลง ถูกโมหะครอบงำ
มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็
ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง เมื่อละโมหะได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตน
ก็รู้ชัดตามความเป็นจริง แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง ดูก่อนพราหมณ์ แม้ด้วยเหตุ
ดังกล่าวมาฉะนี้แล ธรรมย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่
ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน.
พราหมณ์ปริพาชกนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็น
อุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบปริพาชกสูตรที่ 4

อรรถกถาปริพาชกสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในปริพาชกสูตรที่ 4 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า พฺราหฺมณปริพฺพาชโก ได้แก่ ปริพาชกผู้เป็นพราหมณ์
โดยกำเนิด ไม่ใช่กษัตริย์เป็นต้น โดยกำเนิด. บทว่า อตฺตตฺถมปิ ความว่า
ประโยชน์ของตน ทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ ที่เจือด้วยโลกิยะและโลกุตระ.
จบอรรถกถาปริพาชกสูตรที่ 4

5. นิพพุตสูตร*



ว่าด้วยพระนิพพาน



[495] ครั้งนั้น พราหมณ์ชื่อชานุสโสณี เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้า
ฯลฯ พราหมณ์ชานุสโสณีนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้วกราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ที่ว่าพระนิพานเป็นสนฺทิฏฺฐิกํ
สนฺทิฏฺฐิกํ
ด้วยเหตุเท่าไร พระนิพพานจึงเป็นสนฺทิฏฺฐิกํ อกาลิกํ
เอหิปสฺสิกํ โอปนยิกํ ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺพํ วิญฺญูหิ.

พราหมณ์ คนที่เกิดราคะ โทสะ โมหะแล้ว ย่อมคิดเพื่อทำตัว
ให้ลำบากบ้าง ฯลฯ ย่อมรู้สึกทุกข์โทมนัสในใจบ้าง ครั้นละราคะ โทสะ
โมหะเสียได้แล้ว เขาย่อมไม่คิดเพื่อทำตนให้ลำบาก ฯลฯ ไม่รู้สึกทุกข์
โทมนัสในใจเลย อย่างนี้แล พราหมณ์ พระนิพพานเป็นสนฺทิฏฺฐิกํ...
พราหมณ์ เมื่อบุคคลได้รสความสิ้นราคะ โทสะ โมหะไม่มีเหลือ
นั่นแล พระนิพพานจึงเป็นสนฺทิฏฺฐกํ...
* ความพิสดาร เหมือนข้อ 494