เมนู

3. พราหมณสูตร



ว่าด้วยธรรมคุณ



[493] ครั้งนั้น พราหมณ์ผู้หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นเข้าไปถึงแล้วชื่นชมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ พราหมณ์นั้นนั่ง ณ ที่
ควรส่วนหนึ่งแล้ว กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ที่ว่า พระธรรมเป็นสนฺทิฏฺฐิโก สนฺทิฏฺฐิโก ด้วยเหตุเท่าไร พระธรรมจึงเป็น
สนฺทิฏฺฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหิ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า พราหมณ์ คนที่เกิดราคะแล้ว อัน
ราคะครอบงำแล้ว มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อทำตนให้ลำบาก
บ้าง เพื่อทำคนอื่นให้ลำบากบ้าง เพื่อทำให้ลำบากด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายบ้าง
ย่อมรู้สึกทุกข์โทมนัสในใจบ้าง ครั้นละราคะเสียได้แล้ว เขาก็ไม่คิดเพื่อทำตน
ให้ลำบาก ฯลฯ ไม่รู้สึกทุกข์โทมนัสในใจ อย่างนี้แล พราหมณ์ พระธรรม
เป็นสนฺทิฏฺฐิริโก...
คนที่เกิดโทสะแล้ว อันโทสะครอบงำแล้ว มีจิตอันโทสะกลุ้มรุม
แล้ว ...คนที่เกิดโมหะแล้ว อันโมหะครอบงำแล้ว มีจิตอันโมหะกลุ้มรุม
แล้ว ย่อมคิดเพื่อทำตนให้ลำบากบ้าง ฯลฯ ย่อมรู้สึกทุกข์โทมนัสในใจบ้าง
ครั้นละโทสะ...โมหะเสียได้แล้ว เขาก็ไม่คิดเพื่อทำตนให้ลำบาก ฯลฯ ไม่
รู้สึกทุกข์โทมนัสในใจ แม้อย่างนี้ พราหมณ์ พระธรรมเป็นสนฺทิฏฺฐิโก...
พราหมณ์นั้นกราบทูล (สรรเสริญพระธรรมเทศนาและแสดงตนเป็น
อุบาสก) ว่า ดีจริง ๆ พระโคดมผู้เจริญ พระโคคมผู้เจริญบอกพระธรรม
หลายปริยาย เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปกปิด บอกทางแก่คนหลง

ส่องตะเกียงในที่มืดเพื่อให้คนตาดีเห็นรูปต่าง ๆ ฉะนั้น ข้าพระเจ้าถึงพระ-
โคดมผู้เจริญและพระธรรมพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญทรงจำ
ข้าพระเจ้าไว้ว่า เป็นอุบาสกถึงสรณะแล้ว ตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้ไป.
จบพราหมณสูตรที่ 3

อรรถกถาพราหมณสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในพราหมณสูตรที่ 3 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า สมฺโมทนียํ ได้แก่ ให้เกิดการบันเทิงใจ. บทว่า สาราณียํ
ได้แก่ ที่สมควรให้ระลึกถึงกัน. บทว่า วีติสาเรตฺวา แปลว่า ครั้น (ให้
ระลึกถึงกัน ) เรียบร้อยแล้ว. บทว่า กิตฺตาวตา แปลว่า โดยเหตุกี่อย่าง.
บทว่า สนฺทิฏฺฐิโก ธมฺโม โหติ ความว่า เป็นธรรมที่จะพึง
เห็นได้ด้วยตนเอง. บทว่า อกาลิโก ความว่า ไม่ให้ผลในกาลอื่น ด้วย
บทว่า เอหิปสฺสิโก นี้ พราหมณ์ทูลถามถึงอาคมนียปฏิปทาว่า พระธรรม
อันผู้ปฏิบัติสามารถ เพื่อจะชี้ได้อย่างนี้ว่า เอหิ ปสฺส (ท่านจงมาดูเถิด) ดังนี้
บทว่า โอปนยิโก ความว่า พึงน้อมจิตของตนเข้าไปหา. บทว่า ปจฺจตฺตํ
เวทิตพฺโพ
ความว่า พึงทราบได้ด้วยตนเองนั่นแหละ. บทว่า วิญฺญูหิ
ได้แก่ บัณฑิตทั้งหลาย. บทว่า ปริยาทินฺนจิตโต ได้แก่ เป็นผู้มีจิตอัน
ราคะถือเอาแล้ว จับแล้ว และลูบคลำแล้ว. บทว่า เจเตติ แปลว่า คิด.
คำที่เหลือในพระสูตรง่ายทั้งนั้นแล. แต่ในพระสูตรนี้ พราหมณ์ทูลถามถึง
โลกุตรมรรค แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสโลกุตรมรรคนั้นเหมือนกัน ด้วยว่า
โลกุตรมรรคนั้น ชื่อว่า สันทิฏฐิกะ. เพราะจะต้องเห็นด้วยตนเอง ฉะนี้แล
จบอรรถกถาพราหมณสูตรที่ 3