เมนู

อรรถกถาอธิปไตยสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในอธิปไตยสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้:-

อธิบายอธิปไตย 3



อธิปไตยที่เกิดจากเหตุที่สำคัญที่สุด ชื่อว่า อธิปไตย. ในบทว่า
อตฺตาธิปเตยฺยํ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ คุณชาตที่เกิดโดยทำ
ตนให้เป็นใหญ่ ชื่อว่า อัตตาธิปไตย. คุณชาติที่เกิดโดยทำชาวโลกให้เป็น
ใหญ่ ชื่อว่า โลกาธิปไตย. คุณชาติที่เกิดโดยทำโลกุตรธรรม 9 ให้เป็นใหญ่
ชื่อว่า ธัมมาธิปไตย.
บทว่า อิติภโว ในคำว่า น อิติภวาภวเหตุ หมายถึงภายใน
อนาคตอย่างนี้ (เราตถาคตออกบวชเป็นอนาคาริก) ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งภพ
ในอนาคตนั้น ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งปัจจุบันภพนั้น. บทว่า โอติณฺโณ คือ
แทรกซ้อน. ก็ชาติแทรกซ้อนอยู่ข้างในของบุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่า ถูกชาติ
ครอบงำ. แม้ในชราเป็นต้น ก็มีนัย นี้แล. บทว่า เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส
ได้แก่ กองวัฏทุกข์ทั้งหมด. บทว่า อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถ ความว่า
การทำที่สุด คือ การทำทาง รอบด้านให้ขาดตอน พึงปรากฏ. ทำ
โอหาย แปลว่า ละ. บทว่า ปาปิฏฺฐตเร แปลว่า ต่ำช้ากว่า.
บทว่า อารทฺธํ ความว่า (ความเพียร) ที่ประคองไว้แล้ว คือให้
บริบูรณ์แล้ว และชื่อว่า ไม่ย่อหย่อน เพราะเริ่มแล้ว. บทว่า อุปฏฺฐิตา
ความว่า สติ ชื่อว่า ตั้งมั่นและไม่หลงลืม เพราะตั้งมั่นด้วยอำนาจสติปัฏฐาน 4.
บทว่า ปสฺสทฺโธ กาโย ความว่า นามกายและกรชกายสงบ คือ

มีความกระวนกระวายระงับแล้ว และเพราะระงับแล้ว จึงชื่อว่า ไม่กระสับ
กระส่าย. บทว่า สมาหิตํ จิตฺตํ ความว่า จิตที่ตั้งมั่นโดยชอบ คือ ตั้งไว้
ด้วยดีในอารมณ์ (และ) เพราะตั้งไว้โดยชอบนั่นเอง จึงชื่อว่า มีอารมณ์
เดียวเป็นเลิศ.
บทว่า อธิปตึ กริตฺวา ได้แก่ ทำธรรมให้เป็นใหญ่ (สำคัญ).
บทว่า สุทฺธมตฺตานํ ปริหรติ ได้แก่ ปริหาร ความว่า ปฏิบัติ คือ
คุ้มครองคนให้บริสุทธิ์ คือ ให้หมดมลทิน. และภิกษุนี้ชื่อว่า บริหารตน
ให้บริสุทธิ์โดยอ้อมจนกระทั่งถึงอรหัตมรรค. ส่วนท่านผู้บรรลุผลแล้ว ชื่อว่า
บริหารตนให้บริสุทธิ์โดยตรง. บททั้งหลายมีบทว่า สฺวากฺขาโต เป็นต้น
ได้อธิบายไว้พิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.
บทว่า ชานํ ปสฺสํ วิหรนฺติ ความว่า เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
รู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งธรรมนั้นอยู่. ก็ในบทว่า อิมานิ โข ภกฺขเว ตีณิ อธิปเตยฺยานิ
นี้มีความว่า อธิปไตย 3 อย่างเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้คละกัน
ทั้งโลกิยะและโลกุตระ.
บทว่า ปกุพฺพโต ความว่า การทำอยู่. บทว่า อตฺตา เต ปุริส
ชานาติ สจฺจํ วา ยทิ วา มุสา
ความว่า เธอทำสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นจะมี
สภาพเป็นจริง หรือมีสภาพไม่จริงก็ตาม ตัวของเธอเองย่อมรู้สิ่งนั้น นักศึกษา
พึงทราบตามเหตุ. ชื่อว่า สถานที่ปิดบังสำหรับผู้ทำบาปกรรมไม่มีในโลก.
บทว่า กลฺยาณํ แปลว่า ดี. บทว่า อติมญฺญสิ คือ เธอสำคัญล่วงเลย
(ลืมตัว). บทว่า อถ นํ ปริคุยฺหสิ ความว่า เธอพยายามอยู่ว่า เราจะ
ปิดบังไว้โดยประการที่แม้ตัวของเราก็ไม่รู้.

บทว่า อตฺตาธิปโก ได้แก่ มีตนเป็นอธิบดี คือ มีตนเป็นใหญ่.
บทว่า โลกาธิโป ได้แก่มีโลกเป็นใหญ่. บทว่า นิปโก แปลว่า มีปัญญา.
บทว่า ฌายี แปลว่า เพ่งอยู่. บทว่า ธมฺมาธิโป ได้แก่มีธรรมเป็นใหญ่.
บทว่า สจฺจปรกฺกโม ได้แก่ มีความบากบั่นอย่างมั่นคง คือ มีความ
บากบั่นอย่างแท้จริง. บทว่า ปสยฺห มารํ แปลว่า ข่มมาร. บทว่า
อภิยฺย อนฺตกํ นี้เป็นไวพจน์ของบทว่า ปสยฺห มารํ นั้นนั่นเอง.
บทว่า โย จ ผุสี ชาติกฺขยํ ปธานวา ความว่า บุคคลใดมี
ปกติเพ่ง มีความเพียรครอบงำมาร แล้วสัมผัสอรหัตผลอันเป็นสภาวะที่สิ้นไป
แห่งชาติ. บทว่า โส ตาทิโส ได้แก่ บุคคลนั้น ชนิดนั้น คือ ดำรงอยู่
โดยอาการอย่างนั้น. บทว่า โลกวิทู คือ ทำโลก 3 ให้เป็นอันรู้แจ้ง คือ
ให้ปรากฏอยู่แล้ว. บทว่า สุเมโธ แปลว่า ผู้มีปัญญาดี. บทว่า สพฺเพสุ
ธมฺเมสุ อตมฺมโย มุนิ
ความว่า มุนี คือ พระขีณาสพ ชื่อว่า อตัมมยะ
เพราะไม่มีตัมมยะ กล่าวคือตัณหาในธรรมที่เป็นไปในภูมิ 3 ทั้งหมด. มีคำ
อธิบายว่า ท่านไม่เสื่อม ไม่สูญไป ในกาลไหน ๆ ในที่ไหน ๆ.
จบอรรถกถาอธิปไตยสูตรที่ 10
จบเทวทูตวรรควรรณนาที่ 4

รวมพระสูตรที่มีในเทวทูตวรรคนี้ คือ


1. พรหมสูตร 2. อานันทสูตร 3. สารีปุตตสูตร 4. นิพพานสูตร
5. หัตถกสูตร 6. ทูตสูตร 7. ปฐมราชสูตร 8. ทุติยราชสูตร 9. สุ-
ขุมาลสูตร 10. อธิปไตยสูตร และอรรถกถา.