เมนู

ปราสาทฤดูร้อน



ปราสาทฤดูร้อนมี 5 ชั้น. ก็ชั้น (แต่ละชั้น) ในปราสาทนี้ (ยก)
สูง ไม่คับแคบเพื่อให้รับไอความเย็น. ประตูและหน้าต่างปิดไม่สนิทนัก
มีช่อง และติดตาข่าย. ในงานจิตรกรรม เขาได้เขียนเป็นดอกอุบล ดอกปทุม
และดอกบุณฑริกไว้. ก็เครื่องลาดพื้นในปราสาทนี้ทำจากผ้าเปลือกไม้ ผ้าม่าน
เพดาน ผ้านุ่ง ผ้าห่ม และผ้าโพกศีรษะ (ก็ทำจากเปลือกไม้) เหมือนกัน.
และตรงที่ใกล้หน้าต่างในปราสาทนี้ พวกช่างไม้ก็ตั้งตุ่มไว้9 ตุ่ม ใส่น้ำจนเต็ม
แล้ว เอาดอกบัวเขียวเป็นต้นคลุมไว้. เขาทำน้ำตกไว้ตามที่เหล่านั้น เป็นเหตุให้
สายน้ำไหลออกมาเหมือนเมื่อฝนตก ภายปราสาทเขาวางรางไม้ที่มีโคลนใส่อยู่
เต็มไว้ในที่นั้น ๆ แล้วปลูกบัวเบญจวรรณไว้. บนยอดปราสาทก็ผูกเชือก
หนังกระบือแห้งไว้ ใช้เครื่องยนต์ยกก้อนหินขึ้นสูงจนกระทั่งถึงหลังคาแล้ว
เป็นเหตุให้สายน้ำไหลออกเหมือนเมื่อคราวฝนตก เสียงน้ำไหลจะเป็นเหมือน
เสียงฟ้าร้อง ก็ประตูและหน้าต่างในปราสาทหลังนี้ปิดไว้ในเวลากลางวันแล้ว
เปิดในเวลากลางคืน.

ปราสาทฤดูฝน



ปราสาทฤดูฝนมี 7 ชั้น. ก็ชั้น (แต่ละชั้น) ในปราสาทหลังนี้ไม่สูง
เกินไปและไม่ต่ำเกินไป เพื่อต้องการให้ได้รับอากาศทั้ง 2 ฤดู (เย็นและร้อน)
ประตูกับหน้าต่างลางบานก็ปิดสนิทดี ลางบานก็ห่าง. แม้จิตรกรรมในปราสาท
นั้น ในที่ลางแห่งก็ทำเป็นกองไฟลุกโชน ในที่ลางแห่งก็ทำเป็นสระธรรมชาติ.
ก็ผ้ามีผ้าลาดพื้นเป็นต้นในปราสาทหลังนี้ ก็ปนกันทั้งสองชนิด คือ ทั้งผ้า
กัมพลและผ้าเปลือกไม้. ประตูกับหน้าต่างลางบานก็เปิดตอนกลางคืนแล้วปิด
ตอนกลางวัน ลางบานก็เปิดตอนกลางวัน แล้วปิดตอนกลางคืน. ปราสาททั้ง
3 หลัง ส่วนสูงมีขนาดเท่ากัน. แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องชั้น.

พระโพธิสัตว์แสดงศิลปะ



เมื่อสร้างปราสาทสำเร็จลงอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงดำริว่า โอรส
ของเราเจริญวัยแล้ว เราจักให้ยกเศวตฉัตรขึ้นเพื่อเขา แล้วคอยดูสิริราชสมบัติ.
พระองค์จึงทรงส่งพระราชสาส์น ไปถึงเจ้าศากยะทั้งหลายว่า โอรสของหม่อม
ฉันเจริญวัยแล้ว หม่อมฉันจักสถาปนาเขาไว้ในราชสมบัติ ขอเจ้าศากยะทั้งปวง
จงส่งเจ้าหญิงผู้เจริญวัยในวังของตน ๆ ไปยังราชมณเฑียรนี้เถิด.
เจ้าศากยะเหล่านั้นได้สดับพระราชสาส์นแล้ว ต่างทรงดำริว่า พระ-
กุมารสมบูรณ์ด้วยพระรูปน่าทัศนาเท่านั้น (แต่ว่า) ไม่ทรงรู้ศิลปะอะไร ๆ เลย
จักไม่สามารถเลี้ยงดูพระวรชายาได้หรอก พวกเราจักไม่ยอมยกลูกสาวให้.
พระราชาทรงสดับข่าวนั้น แล้วได้เสด็จไปยังสำนักพระราชโอรส
แล้วตรัสบอก. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระบิดา หม่อมฉันควรจะ
แสดงศิลปะอะไร
พระราชาตรัสว่า ลูกควรยกสหัสสถามธนู (ธนูที่หนักต้องใช้แรงคน
1,000) ขึ้นนะลูก. ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์จงทรงให้นำมา. พระราชารับสั่ง
ให้นำธนูมาให้พระราชโอรส. ธนูนั้นใช้คน 1,000 คนยกขึ้น ใช้คน 1,000
คนยกลง. พระมหาบุรุษให้นำธนูมาแล้ว ประทับนั่งบนบัลลังก์ ทรงเกี่ยว
สายไว้ที่พระปาทังคุฏฐะ (นิ้วโป้งพระบาท) แล้วดึงมา ทรงเอาพระปาทังคุฎฐะ
(นิ้วโป้งพระบาท) นั่นเองนำธนูมาแล้ว จับคันธนูด้วยพระหัตถ์ซ้าย ทรง
เหนี่ยวสายมาด้วยพระหัตถ์ขวา ทั่วทั้งพระนครถึงอาการตกตะลึง. และเมื่อมีใคร
ถามว่า เสียงอะไร ? เจ้าศากยะทั้งหลายก็ตอบกันว่า ฟ้าฝนคำราม. ทีนั้น
คนอีกพวกหนึ่งก็ตอบว่า พวกท่านไม่รู้หรือ ไม่ใช่ฟ้าฝนคำรามหรอก นั่นเป็น