เมนู

เรากล่าวการละกามสัญญา (ความ-
หมายในกาม) และโทมนัส (ความเสียใจ)
ทั้ง 2 เสียได้ การบรรเทาถีนะ (ความ
ท้อแท้ใจ) เสียได้ การสกัดกั้น กุกกุจจะ
(ความรำคาญใจ) เสียได้ ว่าเป็นอัญญา-
วิโมกข์ (ความพ้นด้วยความรู้) อันหมดจด
ดีด้วยอุเบกขาและสติ มีความตรึกในธรรม
นำหน้า เป็นเครื่องทำลายอวิชชา ดังนี้.

จบสารีปุตตสูตรที่ 3

อรรถกถาสารีปุตตสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสารีปุตตสูตรที่ 3 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สงฺขิตฺเตน ได้แก่ ด้วยการตั้งเป็นบทมาติกาไว้. บทว่า
วิตฺถาเรน ได้แก่ การจำแนกมาติกาที่ตั้งไว้แล้วออกไป. บทว่า สงฺขิตฺตวิตฺ-
ถาเรน
ได้แก่บางครั้งก็ย่อ บางครั้งก็พิสดาร. บทว่า อญฺญาตาโร จ ทุลฺ-
ลภา
ความว่า ก็บุคคลผู้จะแทงตลอดหาได้ยาก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ กะพระสารีบุตรเถระ โดยมีพระพุทธ
ประสงค์ว่า เราตถาคตจะต่อญาณให้พระสารีบุตร. พระเถระครั้นได้สดับ
พระพุทธดำรัสนั้นแล้ว ถึงแม้จะไม่กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์
จักเข้าใจเองก็จริง แต่โดยมีประสงค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์

จงทรงวางพระทัย (แสดงธรรมเถิด) ข้าพระองค์จักแทงตลอดธรรมที่พระองค์
ทรงแสดงแล้วได้โดยร้อยนัย พันนัย ข้อนั้นขอให้เป็นภาระของข้าพระองค์เถิด
ดังนี้ เมื่อจะยังพระศาสดาให้อุตสาหะในการแสดงธรรม จึงได้ทูลคำมีอาทิว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเวลาที่พระองค์จะทรงแสดงธรรมแล้ว. ลำดับนั้น
พระศาสดาจึงทรงเริ่มเทศนา แก่พระสารีบุตรว่า ตสฺมาติห ดังนี้. บรรดา
บทเหล่านั้น บทว่า อิมสฺมิญฺจ สวิญฺญาณเก เป็นต้น มีนัยดังกล่าว
แล้วนั่นแล.
บทว่า อจฺเฉชฺชิ ตฺณหํ ได้แก่ตัดตัณหา ด้วยศาสตรา คือ มัคค-
ญาณ. บทว่า วิวฏฺฏยิ สํโยชนํ ได้แก่ถอนสัญโญชน์ทั้ง 10 อย่าง
พร้อมทั้งรากทิ้งไป. บทว่า สมฺมามานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺส
ความว่า ได้กระทำที่สุดแห่งวัฏทุกข์ โดยการตรัสรู้เพราะละมานะ 9 อย่าง
ได้ด้วยอุบายอันชอบ ด้วยข้อปฏิบัติชอบ. บทว่า อิทญฺจ ปน เมตํ
สารีปุตฺต สนฺธาย ภาสิตํ
ความว่า ดูก่อนสารีบุตร เราตถาคตกล่าวคำนั้น
ไว้หมายเอา ผลสมาบัตินี้แหละในอุทยปัญหา ในปารายนวรรค.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว
จึงปรารภคำมีอาทิว่า ปหานํ กามสญฺญานํ ดังนี้. ก็บทว่าปหานํ กามจฺฉนฺ-
ทานํ
นี้มีมาแล้วในอุทยปัญหา. แต่ในพระสูตรนี้ พระอาจารย์ผู้รจนาอังคุตตร
นิกาย ยกขึ้นตั้งไว้ว่า กามสญฺญาน ดังนี้. ในสองบทนั้น ต่างกันเพียง
พยัญชนะ ส่วนเนื้อความก็เป็นอย่างเดียวกันนั่นแหละ. บทว่า กามสญฺญานํ
ได้แก่ สัญญาที่เกิดขึ้นปรารภกาม หรือได้แก่สัญญาที่เกิดกับจิตที่สหรคตด้วย
โลภะ 8 ดวง. บทว่า โทมนสฺสาน จูภยํ ความว่า เราตถาคตกล่าวการ

ละอกุศลเจตสิกแม้ทั้งสอง คือ กามสัญญาเหล่านี้ 1 โทมนัสสเจตสิก 1 คือ
อรหัตผล กล่าวคือการละด้วยปฏิปัสสัทธิ (วิมุตติ) ว่าเป็นอัญญาวิโมกข์.
ส่วนในนิทเทส พระองค์ตรัสไว้ว่า (เราตถาคตกล่าว) การละ ความ
สงบ การสละคืน ความสงบระงับ อกุศลเจตสิกทั้งสองอย่าง คือ กามฉันทะ
และโทมนัส ว่าเป็นอมตมหานิพพาน. คำนั้นพระองค์ตรัสไว้ด้วยสามารถแห่ง
การยกเอาผล. ด้วยว่า ความสงบระงับ กล่าวคือ อาการที่กิเลสสิ้นไป เรียกว่า
ปหานะบ้าง มรรคที่สละคืนกิเลสอยู่ ก็เรียกว่าปหานะบ้าง ผลกล่าวคือ
ความสงบระงับกิเลสได้ ก็เรียกว่าปหานะบ้าง. กิเลสทั้งหลายอันพระโยคาวจร
ละได้ เพราะมาถึงพระนิพพานใด พระนิพพานนั้นชื่อว่า อมตนิพพาน.
เพราะฉะนั้น บทเหล่านี้ จึงมาแล้วในนิทเทสนั้น.
เพราะพระพุทธพจน์ว่า อญฺญาวิโมกฺขํ ปพฺรูมิ จึงเป็นอันทรง
พระประสงค์เอาเฉพาะพระอรหัตผล. และเพราะพระพุทธพจน์ว่า ถีนสฺส
จ ปนูทนํ
เป็นอันพระองค์ทรงประสงค์เอาเฉพาะพระอรหัตผล เพราะถีนะ
(นิวรณ์) เกิดขึ้น ในตอนท้ายของการบรรเทา. เพราะพระพุทธพจน์ว่า
กุกฺกุจฺจานํ นิวารณํ เป็นอันทรงประสงค์เอาผลเท่านั้น เพราะผลเกิดขึ้น
ในลำดับแห่งมรรคที่เป็นเหตุห้ามกุกกุจจนิวรณ์. บทว่า อุเปกฺขาสติสํสุทฺธํ
ความว่า หมดจดดีด้วยอุเบกขา และสติที่เกิดขึ้นในผลที่เป็นไปในฌาณที่ 4.
สัมมาสังกัปปะ ท่านเรียกว่า ธัมมตักกะ ในบทว่า ธมฺมตกฺกปุเรชวํ.
สัมมาสังกัปปะ นั้น ชื่อว่า ธัมมตักกปุเรชวะ เพราะมีมาแต่ต้น
คือมีมาก่อน ได้แก่ถึงก่อนแห่งอัญญาวิโมกข์. เราตถาคตกล่าว ซึ่งอัญญา
วิโมกข์นั้นที่มีความตรึกในธรรมนำหน้า.

วิโมกข์ที่เกิดขึ้นในที่สุดแห่งอัญญินทรีย์ ชื่อว่า อัญญาวิโมกข์
หรือวิโมกข์ที่เกิดขึ้นแก่พระอรหัตผล ชื่อว่า อัญญาวิโมกข์ อธิบายว่า
ได้แก่ ปัญญาวิมุตติ.1 บทว่า อวิชฺชาย ปเภทนํ ความว่า เป็นเครื่อง
ทำลายอวิชชา เพราะเกิดขึ้นในที่สุดแห่งการทำลายอวิชชา อีกอย่างหนึ่ง
อรหัตผลนั่นแหละ ที่ได้นามอย่างนี้ เพราะปรารภพระนิพพาน ที่สงบแล้ว
เกิดขึ้น. พระอรหัตผลนั้น แหละพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศ
แล้วด้วยบททั้งหลายเหล่านี้ แม้ทั้งหมด มีบทว่า ปหานํ เป็นต้น ด้วย-
ประการดังพรรณนามาฉะนี้.
จบอรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ 3
1. ปาฐะว่า อญฺญาย วา วิโมกฺขํ อญฺญาวิมุตฺตนฺติ อตฺโถ ฉบับพม่าเป็น อญฺญาย วา วิโมกฺขํ
ปญฺญาวิมุตฺตนฺติ อตฺโถ แปลตามฉบับพม่า

4. นิทานสูตร



ว่าด้วยเหตุเกิดของกรรม



[473] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมต้นเหตุ 3 นี้ เพื่อความเกิดขึ้น
พร้อมมูลแห่งกรรม ต้นเหตุ 3 คืออะไร คือ โลภะ ... โทสะ ... โมหะ ...
เป็นต้นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม
กรรมที่บุคคลทำเพราะโลภะ ... โทสะ ... โมหะ เกิดแต่โลภะ ....
โทสะ ... โมหะ ... มีโลภะ ... โทสะ ... โมหะเป็นต้นเหตุ มีโลภะ ... โทสะ ...
โมหะเป็นแดนเกิดอันใด กรรมอันนั้นย่อมให้ผลในที่ ๆ อัตภาพของบุคคล
นั้นเกิด กรรมนั้นให้ผลในอัตภาพใด บุคคลนั้นย่อมได้เสวยผลของกรรมนั้น
ในอัตภาพนั้น เป็นทิฏฐิธรรม (คืออัตภาพปัจจุบัน) บ้าง เป็นอุปปัชชะ
(คืออัตภาพหน้า) บ้าง เป็นอปรปริยาย (คืออัตภาพต่อ ๆ ไป) บ้าง เปรียบ
เหมือนพืชทั้งหลายอันไม่ขาด ไม่เน่า ไม่เฉา ให้แก่นได้ มีรากฝังอยู่ดี
บุคคลปลูกไว้ในแผ่นดินที่ทำไว้ดีแล้ว ในไร่นาที่ดี ฝนเล่าก็หลั่งดี เมื่อเป็น
เช่นนี้ พืชเหล่านั้น ก็พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฉันใด กรรมที่
บุคคลทำเพราะโลภะ ... โทสะ ... โมหะ ฯลฯ เป็นอปรปริยาย (คืออัตภาพ
ต่อ ๆ ไป) บ้าง ฉันนั้นเหมือนกัน นี้แล ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ 3 เพื่อ
ความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ 3 นี้ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่ง
กรรม ต้นเหตุ 3 คืออะไร คือ อโลภะ ... อโทสะ ... อโมหะ ... เป็น
ต้นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม.