เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 12



ประวัติพระโมฆราชเถระ



ในสูตรที่ 12 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ลูขจีวรธรานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระโมฆราช เป็น
ยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน จริงอยู่ พระเถระองค์นี้ทรงผ้า
บังสกุลจีวร ที่ประกอบด้วยความปอน 3 อย่าง คือ ปอนด้วยผ้า ปอน
ด้วยด้าย ปอนด้วยเครื่องย้อม เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็น
ยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน. นปัญหากรรมของท่าน มีเรื่อง
ที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้

ก็ท่านพระโมฆราชนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ถือปฏิสนธิบังเกิดในครอบครัว กรุงหงสวดี หลังจากนั้น กำลังฟัง
ธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง
ไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน ก็ทำ
กุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านทำกุศลจนตลอด
ชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถือปฏิสนธิในเรือนอำมาตย์
ในนครกัฏฐวาหนะ ก่อนแต่พระทศพลพระนามว่ากัสสปเสด็จอุบัติขึ้น ต่อมา
เจริญวัย เฝ้าบำรุงพระเจ้ากัฏฐวาหนะ. ก็ได้ตำแหน่งอำมาตย์. สมัยนั้น
พระกัสสปทศพล เสด็จอุบัติในโลกแล้ว พระเจ้ากัฏฐวาหนะทรงสดับว่า
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก รับสั่งเรียกอำมาตย์นั้นมาตรัสว่า
พ่อเอ๋ย พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ใคร ๆ ไม่อาจท่านครปัจจันต-

ประเทศนี้ให้ว่างจากเราทั้งสองพร้อม ๆ กันได้ ก่อนอื่น ท่านจงไปยัง
มัชฌิมประเทศ รู้ว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จงพาพระทศพลนำมายัง
บุตรปัจจันตประเทศนี้ แล้วทรงส่งไปพร้อมด้วยบุรุษ 1000 คน.
อำมาตย์นั้น ไปยังยังสำนักพระศาสดาฟังธรรมกถาได้ศรัทธาแล้ว
ก็บวชในที่นั้นตามลำดับ ได้กระทำสมณธรรมอยู่ถึง 20,000 ปี. ส่วน
บุรุษที่ไปกับอำมาตย์นั้นกลับมาสำนักพระราชาหมด. พระเถระนี้
มีศีลบริบูรณ์กระทำกาละ (มรณะ) แล้วเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและ
มนุษย์พุทธันดรหนึ่ง ถือปฏิสนธิในครอบครัวพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี
ก่อนพระทศพลของเราบังเกิด บิดามารดาได้ตั้งชื่อว่า โมฆราชมาณพ
แม้พระเจ้ากัฏฐวาหนะ ก็ทรงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไปแด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ากัสสปะ พร้อมด้วยบริวารเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์
พุทธันดรหนึ่ง ถือปฏิสนธิในครอบครัวปุโรหิต กรุงสาวัตถีก่อนพระ-
พระทศพลของเราเสด็จอุบัติขึ้น บิดามารดาตั้งชื่อว่า พาวรีมาณพ. สมัยต่อมา
พาวรีมาณพเรียนไตรเพทแล้วเที่ยวสอนศิลปแก่พวกมาณพ 16,000 คน.
ครั้งนั้น พาวรีมาณพก็ได้รับตำแหน่งปุโรหิตแทน เมื่อบิดาล่วงลับไป
ในสมัยที่พระเจ้าปเสนทิโกศลประสูติ. แม้โมฆราชมาณพนี้ ก็เรียน
ศิลปะในสำนักพาวรีพราหมณ์

อยู่มาวันหนึ่ง พาวรีพราหมณ์อยู่ในที่ลับก็สำรวจดูสาระใน
ศิลปะ ก็ไม่เห็นสาระที่เป็นไปในภายหน้า คิดว่า เราจักบวชอย่างหนึ่ง
เสาะหาสาระที่เป็นไปในภายหน้า แล้วก็เข้าเฝ้าพระเจ้าโกศล (มหาโกศล)
ให้ทรงอนุญาตการบวชแก่ตน. พาวรีพราหมณ์นั้นได้รับราชานุญาติแล้ว
มีมาณพ 16,000 คนแวดล้อม ก็ออกไปเพื่อต้องการบวช. แม้พระเจ้าโกศล

ก็ทรงส่งพระราชทรัพย์ 1000 กหาปณะไปพร้อมกับพาวรีพราหมณ์
นั้น ด้วยดำรัสสั่งว่า อาจารย์บวชอยู่ในที่ใด พวกท่านจงไปที่อยู่ของ
อาจารย์ แล้วให้ทรัพย์ในที่นั้น. พาวรีพราหมณ์ประสงค์จะสำรวจ
สถานที่อันผาพุก ก็ออกไปจากมัชฌิมประเทศ ให้สร้างสถานที่อยู่
ของตน ตรงคุ้งแม่น้ำโคธาวรี ระหว่างเขตแดนของพระเจ้าอัสสกะและ
เจ้ามัลละ. ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งเดินไปเพื่อต้องการจะดูชฎิลทั้งหลาย
1เมื่อชฎิลเหล่านั้นอนุญาตแล้ว ก็สร้างสถานที่อยู่ของตน บนที่ดินที่เป็น
ของชฎิลเหล่านั้น. เขาเห็นกิจกรรมที่พาวรีพรมหมณ์ทำแล้ว ก็ให้สร้าง
ครอบครัว 100 ครอบครัว เรือน 100 หลังอีก. คนทั้งหมดประชุมกัน
ปรึกษากันว่า 2พวกเราจะอยู่ในที่ดินอันเป็นของผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย การ
อยู่เปล่า ๆ หาใช่เหตุอันควรไม่ พวกเราจักให้พวกท่านอยู่เป็นสุข. แต่ละคน
จึงวางกหาปณะคนละกหาปณะไว้ในสถานที่อยู่ของพาวรีพราหมณ์
3กหาปณะที่พวกเขาแม้ทั้งหมดนำมาวางไว้ ก็ตกประมาณ 100,000
กหาปณะ. พาวรีพราหมณ์ถามว่า 4กหาปณะเหล่านี้พวกท่านนำมาเพื่อ
ต้องการอะไร. พวกเขาตอบว่า เพื่อต้องการให้พวกท่านอยู่กันเป็นสุข
เจ้าข้า. พาวรีพราหมณ์กล่าวว่า ถ้าเราต้องการเงินทอง ก็ไม่พึงละ

1. ปาฐะว่า เตสํ สนิติเก ภูมิฏฐาเน เตหิ อนุญฺญาเต อตฺตโน วสนฏฐานํ อกาสิ พม่าเป็น เตสํ
สนฺตเก ภูมิฏฺฐาเน เตหิ อนุญฺญาโต อตฺตโน วสนฏฐานํ อกาสิ. (แปลตามพม่า)
2. ปาฐะว่า มยํ อยฺยานํ สนฺติเก ภูมิภาเค วสนฺตา สุขํ วสิตุํ น สกฺโกม กหาปณํ สุขสํวาสํ เต
ทสฺสามาติ พม่าเป็น "มยํ อยฺยานํ สนฺตเก ภูมิภาเค วสาม, มุธา วสิตํ น การณํ, สุขวาสํ โว
ทสฺสามา" ติ (แปลตามพม่า)
3. ปาฐะว่า สพฺเพหิ อาคตกหาปณา พม่าเป็น สพฺเพหิปิ อาภตกหาปณา (แปลตามพม่า)
4. ปาฐะว่า กิมตฺกํ เอเต อาคตาติ อาหฯ สุขวา สนตฺถาย ภนฺเตติฯ พม่าเป็น ภิมตฺถํ เอเต อาภตาติ
อาห. สุขวาสทานตฺถาย ภนฺเตติ. (แปลตามพม่า)

กองทรัพย์ขนาดใหญ่ออกบวช พวกท่านรับเอากหาปณะของพวกท่าน
ไปเสีย. พวกเขาบอกว่า พวกเราจะไม่ยอมรับทรัพย์ที่พวกเราบริจาค
แล้วอีก แต่พวกเราจักนำมาทำนองนี้ทุก ๆ ปี ขอพระเป็นเจ้าจงรับ
กหาปณะเหล่านี้ไว้ให้ทานก็แล้วกัน. พราหมณ์จึงยอมรับ มอบไว้ในงบ
ให้ทานแก่ผู้กำพร้า คนเดินทางไกล วณิพกและยาจก ภาวะที่พาวรี-
พราหมณ์นั้นเป็นทายกสืบ ๆ กันมา ปรากฏไปทั่วชมพูทวีป

ครั้งนั้น พราหมณี (ภริยา) ของพราหมณ์ผู้เกิดมาในวงศ์ของ
ชูชกพราหมณ์ ในหมู่บ้านทุนนวิตถะ ในแคว้นกลิงคะ ลุกขึ้นเตือนพราหมณ์
(สามี) ว่า เขาว่าพาวรีกำลังให้ทาน ท่านจงไปนำเงินทองมาจากที่นั้น.
พราหมณ์นั้นถูกพราหมณีเตือนก็ไม่อาจทนอยู่ได้ เมื่อจะไปยังสำนักพาวรี
ก็ไปเมื่อพาวรีให้ทานวันวานแล้วเข้าบรรณศาลากำลังนอนนึกถึงทาน
และครั้งเข้าไปถึงก็พูดว่า ท่านพราหมณ์โปรดให้ทานแก่ข้าเถิด ท่าน
พราหมณ์โปรดให้ทานแก่ข้าเถิด. พาวรีพราหมณ์กล่าวว่าท่านพราหมณ์
ท่านมาไม่ถูกเวลา เราให้ทานแก่พวกยาจกที่มาถึงไปแล้ว บัดนี้ไม่มี
กหาปณะดอก. พราหมณ์พูดว่า ท่านพราหมณ์ ข้าไม่ต้องการกหาปณะ
มากมายเลย เมื่อท่านให้ทานถึงเท่านี้ ข้าก็ไม่อาจงดเว้นกหาปณะได้
500 กหาปณะก็ไม่มี ถึงเวลาให้ทานแล้ว ท่านจึงจักได้อีก. พราหมณ์
ท่านพราหมณ์ 500 กหาปณะก็ไม่มีถึงเวลาแล้ว จึงจักได้อีก พราหมณ์
พูดว่า ก็เวลาท่านให้ทาน ข้าจักมาได้อย่างไร แล้วจึงก่อทรายเป็น
สถูปใกล้ประตูบรรณศาลา โรยดอกไม้สีแดงไปรอบ ๆ ทำปากขมุบ
ขมิบเหมือนบ่นมนต์แล้วพูดว่า ศีรษะจงแตก 7 เสี่ยง. พาวรีพราหมณ์
คิดว่า พราหมณ์ผู้นี้มีเดชมาก ถือการประพฤติตปะเป็นจรณกพราหมณ์

พูดว่า ท้าย 7 วัน ศีรษะของเราจงแตก 7 เสี่ยง 500 กหาปณะที่เรา
จะพึงให้แก่พราหมณ์นี้ก็ไม่มี พราหมณ์ผู้นี้จักฆ่าเราถ่ายเดียว
เมื่อพาวรีพราหมณ์นั้น นอนเต็มแปร้ด้วยความเหี่ยวแห้งอย่างนั้น
ในตอนราตรี มารดาของพาวรีพราหมณ์ในอัตตภาพติดต่อกันมา บังเกิด
เป็นเทวดา. นางเห็นบุตรเต็มแปร้ด้วยความเหี่ยวแห้งใจ จึงมากล่าวว่า
ลูกเอ๋ย ตาพราหมณ์นั่นก็ไม่รู้ว่าศีรษะจะแตกหรือไม่แตก เจ้าไม่รู้
หรือว่าพระพุทธะทั้งหลายอุบัติขึ้นแล้วในโลก ถ้าเจ้ายังมีความสงสัย
ก็จงไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถาม พระศาสดาจักตรัสบอกเหตุนั้นแก่
เจ้าก็ได้นะ. พาวรีพราหมณ์ ตั้งแต่ได้ยินเสียงเทวดากล่าว ก็โล่งใจ
รุ่งขึ้น พอได้อรุณก็เรียกศิษย์ทุกคนมาแล้ว กล่าวว่า พ่อเอ๋ย เขาว่า
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ถึงพวกท่านก็จงรีบไป รู้ว่าเป็น
พระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่ แล้วจงกลับมาบอกเรา เราก็จักไปเฝ้าพระ-
ศาสดา ก็แต่ว่าอันตรายแห่งชีวิตรู้กันยาก เพราะเราแก่เฒ่าแล้ว พวก
ท่านไปเฝ้าพระศาสดา จงทูลถามปัญหาโดยทำนองอย่างนี้ อย่างนี้กะ
พระองค์ จึงแต่งปัญหาชื่อสมองแตกให้ไป ต่อนั้น พาวรีพราหมณ์
คิดว่าพวกมาณพเหล่านี้ทุกคน เป็นบัณฑิต ฟังธรรมกถาของพระ-
ศาสดาแล้ว เมื่อกิจของตนถึงที่สุดแล้ว จะพึงกลับมาหาเราหรือไม่หนอ
ทีนี้ จึงให้สัญญาแก่อชิตมาณพ หลานชายของตนว่าเจ้าควรกลับมา
ถ่ายเดียว มาบอกคุณที่ตนได้แก่เรา ลำดับนั้น เหล่าชฎิล 16,000
ยกอชิตมาณพเป็นหัวหน้า จึงออกจาริกไปพร้อมกับอันเตวาสิกหัวหน้า
16 คน ด้วยหมายใจว่า จักทูลถามปัญหากะพระศาสดา ในที่ ๆ ไป ๆ
ถูกถามว่า พระผู้เป็นเจ้าจะไปไหน ก็ตอบว่า พวกเราจะไปเฝ้าพระ-
ทศพลถามปัญหา เมื่อจะชักตั้งแต่ปลายมาตลอดบริษัทก็เดินทางได้

หลายร้อยโยชน์
พระศาสดาทรงดำริว่า ในวันที่มาณพเหล่านั้น ๆ มา โอกาสจัก
ไม่มีแก่ผู้อื่น ที่นี่จึงเป็นที่ไม่ควรสำหรับบริษัทนี้ จึงเสด็จไปประทับนั่ง
ณ หลังแผ่นหิน ที่ปาสาณเจดีย์ แม้อชิตมาณพนั้นกับบริษัทก็ขึ้น
หลังแผ่นหินนั้น เห็นสมบัติแห่งพระสรีระของพระศาสดา ก็คิดว่า
บุรุษผู้นี้คงจักเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีหลังคาอันเปิดแล้วในโลกนี้
จึงไปเอาใจถามปัญหาที่อาจารย์ส่งมอบแก่ตนมา. วันนั้น บริษัท
ที่มาถึงนั้น ประมาณ 12 โยชน์ ในระหว่างศิษย์ 16 คนนั้น
โมฆราชมาณพ ถือตัวว่าเป็นบัณฑิตกว่าทุกคน เขาจึงดำริว่า อชิต-
มาณพนี้เป็นหัวหน้าของศิษย์ทุกคน ไม่ควรถามปัญหาก่อน เขาละอาย
ต่ออชิตมาณพนั้น จึงไม่ถามก่อน. เมื่ออชิตมาณพนั้นถามปัญหาแล้ว
จึงถามปัญหากะพระศาสดาเป็นคนที่สอง. พระศาสดาทรงดำริว่า
โมฆราชมาณพเป็นคนถือตัว ทั้งญาณของเขาก็ยังไม่แก่เต็มที่ ควรจะนำ
ความถือตัวของเขาออกไป จึงตรัสว่า โมฆราชเธอจงพักไว้ คนอื่น ๆ
ถามปัญหาก่อน. โมฆราชมาณพนั้นได้ความรุกรานจากสำนักพระ-
ศาสดา คิดว่า เราเที่ยวไปตลอดกาลเท่านี้ด้วยเข้าใจว่า ไม่มีคนที่จะ
เป็นบัณฑิตเกินกว่าเรา ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ทรงทราบ
ความในใจ ย่อมไม่ตรัส พระศาสดาคงจักทรงเห็นโทษในการถาม
ของเรา จึงนิ่งเสีย. โมฆราชมาณพนั้น เมื่อมาณพคนที่ 8. ถาม
ปัญหาไปตามลำดับ ก็อดกลั้นไว้ไม่ได้ ลุกขึ้นอีกเป็นคนที่ 9
พระศาสดาก็ทรงรุกรานเขาอีก. โมฆราชมาณพนั้น ก็ต้อง
นิ่ง คิดว่า บัดนี้ เราไม่อาจจะเป็นนวกะ ผู้ใหม่ในสงฆ์ได้แล้ว จึงทูลถาม
ปัญหาเป็นคนที่ 15. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบว่า ญาณของท่าน

แก่เต็มที่แล้ว จึงทรงตอบปัญหา. จบเทศนา ท่านก็บรรลุพระอรหัต
พร้อมกับชฎิล 1000 คน บริวารของตน. โดยทำนองนี้นี่แล ชฏิล
15,000 คนที่เหลือก็บรรลุพระอรหัต แม้ทั้งหมด ก็ได้เป็นเอหิภิกขุ
ทรงบาตรจีวรสำเร็จมาแต่ฤทธิ์. แต่ชนที่เหลือท่านไม่กล่าวถึง. ท่าน
พระโมฆราชเถระนี้ ก็ทรงจีวรประกอบด้วยความปอน 3 อย่างมา
ตั้งแต่นั้น. ก็เรื่องตั้งขึ้นในปารายนวรรคอย่างนี้. แต่ภายหลังพระ-
ศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวัน กำลังทรงสถาปนาพระเถระทั้งหลาย
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะตามลำดับ เมื่อจะทรงสถาปนาท่านพระ-
โมฆราชเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก
ผู้ทรงจีวรปอน จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆราชเป็นยอดของ
เหล่าภิกษุสาวกของเราผู้ทรงจีวรปอน.

จบ อรรถกถาวรรคที่ 4

จบอรรถกถาเถรบาลีมีประมาณ 41 สูตร
จบประวัติพระภิกษุสาวกเอตทัคคะ (รวม 41 ท่าน)