เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 11



ประวัติพระราธเถระ



ในสูตรที่ 11 พึงทราบวินัจฉัยดังต่อไปนี้.
ปฎิภาเณยฺยกานํ ได้แก่1 ผู้ให้ปฏิภาณเกิดขึ้นได้อันนับเป็น
เหตุให้ท่านแสดงซ้ำซึ่งพระธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ทันที
ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้
ก็พระเถระรูปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิด
ในเรือนสกุล ในเมืองหงสวดี ภายหลัง กำลังฟังพระธรรมเทศนาของ
พระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้มีปฏิภาณ จึงทำ
กุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านปรนนิบัติพระตถาคต
จนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ครั้งพุทธุปบาทกาลนี้
ก็ถือปฏิสนธิในสกุลพราหมณ์ กรุงราชคฤห์ บิดามารดาจึงขนานนาม
ว่าราธมาณพ เวลาแก่เฒ่า เขาคิดว่าเราเป็นผู้ที่บุตรภริยาของตน
ไม่ต้องการจักบวชให้เวลาล่วงไปเสีย จึงไปพระวิหารขอบรรพชา
กะพระเถระทั้งหลาย. พระเถระบางพวกไม่ประสงค์ให้บวช ด้วยเห็นว่า
เป็นคนแก่ เป็นพราหมณ์แก่เฒ่า. ต่อมาวันหนึ่ง พราหมณ์ไปสำนักของ
พระศาสดา ทำการปฏิสัณฐารแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง พระ-
ศาสดาทรงเห็นอุปนิสสยสมบัติความถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัย ทรงมี

1. บางแห่งเป็น ปฏิภานกภิกฺขูนํ แปลว่า ภิกษุผู้มีปฏิภาน

พระประสงค์จะยกเรื่องขึ้นจึงตรัสถามว่า พราหมณ์บุตรภริยา ยัง
ปรนนิบัติอยู่หรือ กราบทูลว่า ท่านพระโคดม ปรนนิบัติแต่ที่ไหนเล่า
พวกบุตรภริยาให้ข้าพระองค์ออกไปจากบ้าน ด้วยเขาคิดว่าข้าพระองค์
แก่แล้ว ตรัสถามว่า ท่านบวชเสียไม่ควรหรือพราหมณ์ กราบทูลว่า
ท่านพระโคดม ใครเล่าจะให้ข้าพระองค์บวช ใคร ๆ เขาไม่ต้องการ
ข้าพระองค์ดอก เพราะเป็นคนแก่แล้ว พระศาสดาได้ประทานสัญญา
นัดหมายแก่ท่านพระสารีบุตรเถระ พระเถระรับพระพุทธดำรัสด้วย
เศียรเกล้า ให้ราธพราหมณ์บวช ท่านคิดว่า พระศาสดาทรงให้
พราหมณ์ผู้นี้บวชด้วยความเอื้อเฟื้อ ไม่สมควรดูแลพราหมณ์ผู้นี้ด้วย
ความไม่เอื้อเฟื้อ จึงพาพระราธเถระไปที่อยู่ใกล้บ้าน ณ ที่นั้น ท่านมี
ลาภที่ค่อนข้างหาได้ยาก เพราะยังบวชใหม่ พระเถระจึงให้ที่อยู่ที่ถึง
แก่ตนแม้เป็นที่ดีเลิศ ให้บิณฑบาตอันประณีตที่ถึงแก่ตน แก่พระ-
ราธเถระนั้น เที่ยวไปบิณฑบาตเอง ท่านพระราธเถระได้เสนาสนะอัน
สบาย และโภชนะอันสบาย รับกรรมฐานในสำนักท่านพระสารีบุตร-
เถระ ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเถระ
ก็พาท่านไปเฝ้าพระทศพล พระศาสดาก็ทรงทราบ จึงตรัสถามว่า
สารีบุตร นิสสิตที่เรามอบหมายแก่เธอไปเป็นเช่นไร ไม่อยากสึกหรือ
ท่านพระสารีบุตรเถระทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมดาภิกษุ
ผู้อภิรมย์ยินดียิ่งในพระศาสนา พึงเป็นเช่นนี้พระเจ้าข้า ครั้งนั้นเกิด
พูดกันกลางสงฆ์ว่า ท่านพระสารีบุตรเถระเป็นผู้กตัญญูกตเวที พระ-
ศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นแล้วทรงเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความที่สารีบุตรเป็นผู้กตัญญูกตเวทีในชาตินี้
ยังไม่อัศจรรย์ ในชาติก่อนเธอแม้บังเกิดในปฏิสนธิของอเหตุกสัตว์

ก็ได้เป็นผู้กตัญญูกตเวทีแล้วเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ในกาลไหนพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ช่างไม้ประมาณ 500 คน
เข้าไปป่าใหญ่เชิงเขา ตัดทัพพสัมภาระได้แล้วผูกแพใหญ่ล่องลงแม่น้ำ
มีพระยาช้างเชือกหนึ่ง นัยว่า เอางวงจับกิ่งไม้ในที่ไม่เรียบร้อยแห่ง
หนึ่ง ไม่อาจจะธารกิ่งไม้หักได้ ก็เอาเท้าเหยียบลงตรงตอแหลม เท้า
ถูกตอแทง เกิดทุกขเวทนา ไม่สามารถออกไปเดินได้ ก็นอนลงที่นั้น
นั่นแหละ ล่วงไป 2-3 วัน พระยาช้างนั้นแลเห็นพวกช่างไม้ เดินมา
ใกล้ตัว ก็คิดว่า เราอาศัยช่างไม้เหล่านี้คงจักรอดชีวิตแน่ จึงได้เดิน
ไปตามรอยช่างไม้เหล่านั้น พวกเขาเหลียวกลับมาเห็นช้าง ก็กลัวจึงหนี
ไป พระยาช้างนั้นรู้ว่าเขาหนีก็หยุด ติดตามไปอีกเมื่อเวลาเขาหยุด
หัวหน้าช่างไม้คิดว่า ช้างเชือกนี้ เมื่อเราหยุดก็ตาม เมื่อเราหนีก็หยุด
คงจักต้องมีเหตุในที่นั้นแน่ ทุกตนจึงพากันปีนขึ้นต้นไม้ นั่งคอยช้างมา
พระยาช้างนั้นเดินมาใกล้ช่างไม้เหล่านั้น ก็นอนกลิ้งแสดงเท้าของตน
เวลานั้น ช่างไม้ก็เกิดความเข้าใจ โดยกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ช้างนั่น
มาเพราะเจ็บป่วย ไม่ใช่มาเพราะเหตุอย่างอื่น จึงพากันเข้าไปใกล้
พระยาช้างนั้น เห็นตอตำเข้าไปในเท้า ก็รู้ว่า เพราะเหตุนี้เอง มันจึงมา
จึงเอามีดที่คม ขวั้นที่ปลายตอแล้วเอาเชือกผูกให้แน่น ช่วยกันดึงออก
มาได้ บีบปากแผลของมันนำเอาหนองและเลือดออก ล้างด้วยน้ำฝาด
ใส่ยาที่ตนรู้จัก ไม่นานนัก ก็ทำให้มันสบาย พระยาช้างหายป่วยแล้ว
คิดว่า ช่างไม้เหล่านี้มีอุปการะแก่เรามาก เราอาศัยช่างไม้เหล่านี้
จึงรอดชีวิต เราควรจะกตัญญูกตเวทีต่อพวกเขา จึงกลับไปที่อยู่ของตน
แล้วนำเอาลูกช้างตระกูลคันธะมา พวกช่างไม้เห็นลูกช้าง ก็ปลื้มใจ

อย่างยิ่งว่า ช้างของเราพาลูกมา 1พระยาช้างคิดว่า เมื่อเรายืนอยู่
ทำไมหนอ ลูกช้างนี้จึงยังมา มันคงจักไม่รู้เหตุที่เรามา จึงผละออกไป
จากที่ ๆ ยืน ลูกช้างก็ยังคงเดินตามต้อย ๆ ไปข้างหลังพ่อ พระยาช้าง
รู้ว่าลูกตามมา จึงส่งเสียงสัญญาให้กลับไป ลูกช้างได้ยินเสียงพ่อ ก็
กลับไปหาพวกช่างไม้ พวกช่างไม้รู้ว่า ช้างนี่คงจักมาเพื่อให้ลูกช้าง
เชือกนี้แก่เรา จึงกล่าวว่า เราไม่มีกิจที่จะให้เจ้าทำในสำนักเราดอก
จงไปหาพ่อของเจ้าเถิด แล้วก็ส่งลูกช้างกลับไป พระยาช้าง ก็ส่งลูก
ซึ่งมาหาตนถึง 3 ครั้งไปอยู่ใกล้พวกช่างไม้อีก ตั้งแต่นั้นมา พวก
ช่างไม้ก็ช่วยกันบำรุงเลี้ยงลูกช้างไว้ในสำนักของตน เวลากิน ต่างให้
ก้อนข้าวคนละก้อน เพียงพอแก่ความต้องการของลูกช้างนั้น. ครั้งนั้น2
ลูกช้างนั้นก็ขนทัพสัมภาระที่พวกช่างไม้ตัดไว้ในป่า มาทำเป็นกองไว้
ที่ลาน ลูกช้างก็กระทำอุปการะแม้อย่างอื่น โดยทำนองนี้นี่แล
พระศาสดาทรงชักเหตุนี่มาแสดงแม้ในชาติก่อน พระ.สารี-
บุตร ก็เป็นผู้กตัญญูกตเวที ครั้งนั้น พระสารีบุตรเถระ ได้เป็นช้างใหญ่.
ภิกษุผู้หย่อนความเพียรที่มาในอัตถุปปัตติ (เหตุเกิดเรื่อง) ได้เป็นลูกช้าง
แต่ถึงคัมภีร์สังยุตตนิกาย ควรกล่าวราธสังยุตทั้งสิ้น และคาถาใน
พระธรรมบทว่า

1. ปาฐะว่า หตฺถินาโค จินฺเตสิ มยิ ติฏฺฐนฺเต กึนุโข อยํ อาคโตติ มม อาคตการณํ ชานิสฺสตีติ
ฐิตฏฺฐษนโต อปกฺกมิ. พม่าเป็น หตฺถินาโค จินฺเตสิ สยิ ติฏฐนฺเต "กึนุโข อาคโต" ติ มม
อาคตการณํ ชานิสฺสนฺตี" ติ ฐิตฏฐานโต ปกฺกามิ. (แปลตามพม่า)

2. ปาฐะว่า อถ โส วฑฺฒกีหิ อตฺตโน คณณโกฏียกํ ทพฺ พสมฺภารํ...พม่าเป็น โส วฑฺฒกีหิ
อพฺโตคณเณ โกฏฏิตํ ทพฺเพสมฺภารํ (แปลตามพม่า)

นิธีนํว ปวตฺตารํ ยํ ปสาเส วชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
ตาทิสํ เสยฺโย โหติ น ปาปิโย.
พึงเห็นบัณฑิตผู้ กล่าวสอน ชี้โทษ
พูดข่มไว้ มีปัญญากว้างขวาง เหมือนชี้บอก
ขุมทรัพย์ให้ พึงคบบัณฑิตเช่นนั้น เมื่อคบบัณฑิต
เช่นนั้น ก็มีแต่ดี ไม่เสียเลย ดังนี้

ชื่อว่า ธรรมเทศนาของพระเถระ แต่ต่อมา พระศาสดากำลังทรง
สถาปนาพระเถระทั้งหลายไว้ในตำแหน่งทั้งหลายตามลำดับ จึงทรง
สถาปนาท่านพระราธเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่า
ภิกษุสาวกผู้ประกอบด้วยปฏิภาณ แล.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 11

อรรถกถาสูตรที่ 12



ประวัติพระโมฆราชเถระ



ในสูตรที่ 12 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ลูขจีวรธรานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระโมฆราช เป็น
ยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน จริงอยู่ พระเถระองค์นี้ทรงผ้า
บังสกุลจีวร ที่ประกอบด้วยความปอน 3 อย่าง คือ ปอนด้วยผ้า ปอน
ด้วยด้าย ปอนด้วยเครื่องย้อม เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็น
ยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน. นปัญหากรรมของท่าน มีเรื่อง
ที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้

ก็ท่านพระโมฆราชนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ถือปฏิสนธิบังเกิดในครอบครัว กรุงหงสวดี หลังจากนั้น กำลังฟัง
ธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง
ไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน ก็ทำ
กุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านทำกุศลจนตลอด
ชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถือปฏิสนธิในเรือนอำมาตย์
ในนครกัฏฐวาหนะ ก่อนแต่พระทศพลพระนามว่ากัสสปเสด็จอุบัติขึ้น ต่อมา
เจริญวัย เฝ้าบำรุงพระเจ้ากัฏฐวาหนะ. ก็ได้ตำแหน่งอำมาตย์. สมัยนั้น
พระกัสสปทศพล เสด็จอุบัติในโลกแล้ว พระเจ้ากัฏฐวาหนะทรงสดับว่า
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก รับสั่งเรียกอำมาตย์นั้นมาตรัสว่า
พ่อเอ๋ย พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ใคร ๆ ไม่อาจท่านครปัจจันต-