เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 10



ประวัติพระสาคตเถระ



ในสูตรที่ 10 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า เตโชธาตุกุสสานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระสาคตเถระ
เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ ความจริง พระเถระนี้
ใช้เดชครอบงำเดชของนาคชื่ออัมพติตถะ ได้ทำให้หายพยศ เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ
ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้
ก็พระเถระรูปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ถือปฏิสนธิในครอบครัว ในกรุงหงสวดี ต่อมา กำลังฟังพระธรรมเทศนา
ของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ใน
ตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ
จึงทำกุศลกรรมอย่างใหญ่ ปรารถนาตำแหน่งนั้น. เขาทำกุศลตลอดชีวิต
เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในครอบครัว
พราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี. บิดามารดาจึงตั้งชื่อท่านว่า สาคตมาณพ.
ต่อมา สาคตมาณพนั้น ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ศรัทธา
จึงบวชทำสมาบัติ 8 ให้บังเกิดแล้ว บรรลุความเป็นผู้ชำนาญในสมาบัติ
นั้น. ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จจาริกไป ได้เสด็จถึงที่ใกล้
กรุงโกสัมพี. สมัยนั้น คนที่มาที่ไปมากด้วยกันเป็นศัตรูของนายเรือ
เก่าที่ท่าน้ำ ตีนายเรือนั้นตาย นายเรือนั้น ตั้งความปรารถนาด้วยทั้งจิต
ที่ขุ่นแค้น บังเกิดเป็นนาคราชมีอานุภาพมากที่ท่าเรือนั้นนั่นแหละ
เพราะมีจิตขุ่นแค้น เขาจึงทำให้ฝนตกในเวลาที่มิใช่หน้าฝน ไม่ให้ฝนตก

ในเวลาหน้าฝน. ข้าวกล้า ก็ไม่สมบูรณ์. ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้น ทำการ
เส้นสังเวยทุกปี เพื่อให้นาคราชนั้นสงบ สร้างเรือนหลังหนึ่งให้นาคราช
นั้นอยู่. แม้พระศาสดาก็เสด็จข้ามทางท่านั้น มีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ได้
เสด็จไป ทรงมีพระประสงค์จะประทับอยู่คืนหนึ่ง ณ ที่นั้น. ครั้งนั้น
พระเถระนี้ทราบว่า เขาว่ามีนาคราชดุอยู่ที่นั้น จึงคิดว่า ควรจะทรมาน
นาคราชนี้ให้หายพยศแล้วจัดแจงที่ประทับอยู่สำหรับพระศาสดา
ดังนี้แล้ว เข้าไปยังที่อยู่ของนาคนั่งขัดสมาธิ. นาคโกรธว่า สมณะโล้นนี้
ชื่อไร จึงบังอาจเข้าไปนั่งยังที่อยู่ของเรา แล้วจึงบังหวนควันขึ้น. พระเถระ
ก็ทำบังหวนควันยิ่งกว่า. พระยานาคทำไฟลุกโพลง. พระเถระก็ทำไฟ
ลุกโพลงยิ่งกว่า ครอบงำเดชของนาคนั้น. นาคคิดว่าภิกษุรูปนี้ใหญ่จริง
หนอ จึงหมอบกราบลงแทบเท้าพระเถระกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพระเจ้า
ขอถึงท่านเป็นสรณะ. พระเถระบอกว่า กิจด้วยสรณะสำหรับเราไม่มี
ดอก ท่านจงถึงพระทศพลเป็นสรณะเถิด.1 นาคนั้นรับคำว่า ดีละ แล้ว
เป็นผู้ถึงสรณะ.
*(นาคนั้นได้ถึงพระทศพล ผู้มีพระเศียรคือสัพพัญญุตญาณอัน
ประเสริฐ ผู้มีพระเกล้างามคือนิพพานารมณ์อันประเสริฐ ผู้มีพระนลาต
คือจตุตถญาณอันประเสริฐ ผู้มีรัศมีพระอุณณาโลมคือ สมาปัตติญาณ
ดั่งวชิระอันประเสริฐ ผู้มีพระโขนงทั้งคู่อันประเสริฐเกินความงาม

1. ปาฐะว่า โส สาธูติ สรณํ คโตฯ โส อคจฺฉิ ตํ สรณํ ฯเปฯ สพฺพญฺญุตํปิ สํคโต ฯ หุตฺวา อิโต
ปฏฺฐาย น กิญฺจ วิเหเฐมิ เทวํปิ สมฺมา วสฺสาเปมีติฯ พม่าเป็น โส สาธูติ สรณคโต หุตฺวา ตโต
ปฏฺฐาย น กญฺจิ วิเหเฐติ, เทวมฺปิ สมฺมา วสฺสาเปติ, แปลตามพม่า
* ที่วงเล็บไว้ฉบับพม่าสีหลไม่มี

แห่งนีลกสิณ ผู้มีคู่พระจักษุคือ ทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ และสมันตจักษุ
อันประเสริฐ ผู้มีคู่พระโสต คือทิพยโสตญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระ-
นาสิกโด่งคือ โคตรภูญาณอันประเสริฐ ผู้มีคู่พระปราง (แก้ม) คือ
มรรคผลญาณและวิมุตติผลญาณอันประเสริฐ ผู้มีคู่พระโอษฐ์ คือ
โลกิยญาณและโลกุตตรญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระทนต์งาม คือสัตตตึส-
โพธิปักขิยญาณอันประเสริฐ. ผู้มีพระเขี้ยว 4 คือ จตุมรรคญาณอัน
ประเสริฐ ผู้มีพระชิวหาคือ จตุสัจจญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระหณุ
(คาง) คืออัปปฏิหตญาณ (พระญาณที่ไม่มีอะไรขัดขวาง) อันประเสริฐ.
ผู้มีพระศอคือญาณเครื่องบรรลุวิโมกข์อันยอดเยี่ยมอันประเสริฐ ผู้มี
พระพาหา (แขน) คือจตุเวสารัชชญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระองคุลี
(นิ้ว) กลมงามคือ ทสานุสสติญาณอันประเสริฐ ผู้มีแผ่นพระอุระ (อก)

เต็มคือสัตตโพชฌงค์ ผู้มีคู่พระถัน (นม) คือ อาสยานุสยญาณอัน
ประเสริฐ ผู้มีพระวรกายท่อนกลางคือ ทศพลญาณอันประเสริฐ ผู้มี
พระชงม์ (แข้ง) คือ ปัญจินทรีย์และปัญจพละอันประเสริฐ ผู้มีคู่พระอูรุ
(ขา) คือทสกุศลกัมมปถอันประเสริฐ ผู้มีสังฆาฏิ คือศีลสมาธิปัญญา
อันประเสริฐ ผู้มีบังสุกุลจีวรเครื่องปกปิดพระวรกาย คือหิริโอตตัปปะ
อันประเสริฐ. ผู้มีพระอันตรวาสก (สะบง) คืออัฏฐังคิกมรรคญาณอัน
ประเสริฐ. ผู้มีประคตเอวคือจตุสิปัฏฐานอันประเสริฐ เป็นสรณะ
พระพุทธเจ้าท่านให้แจ่มแจ้งแล้วดังกล่าวมานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงบรรลุแม้พระสัพพัญญุตญาณแล้ว) ตั้งแต่นั้น นาคก็ไม่เบียดเบียน
ใคร ๆ ทำฟ้าฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สมบูรณ์
พูนผล.

พวกชาวกรุงโกสัมพี ฟังข่าวว่า เขาว่าพระผู้เป็นเจ้าสาคตะ
ทรมานอัมพติตถนาคได้แล้ว ต่างคอยการเสด็จมาข้องพระศาสดา
จัดแจงสักการะเป็นอันมาก ถวายพระทศพล ชาวเมืองเหล่านั้น ครั้น
ถวายสักการะอย่างมากแด่พระทศพลแล้ว ก็ตกแต่งน้ำใสสีขาว
(ประเภทสุรา ?) ไว้ในเรือนทุกหลัง ตามคำแนะนำของเหล่าภิกษุ
ฉัพพัคคีย์ (ภิกษุ 6 รูป) วันรุ่งขึ้น เมื่อพระสาคตเถระเที่ยวบิณฑบาต
ก็พากันถวายน้ำนั้น บ้านละหน่อย ๆ พระเถระถูกผู้คนทั้งหลาย
ขะยั้นขะยอ เพราะยังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ก็ดื่มทุกเรือนหลังละ
หน่อย ๆ เดินไปไม่ไกลนักก็สิ้นสติล้มลงที่กองขยะ เพราะไม่มีอาหาร
รองท้อง. พระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว เสด็จออกไปเห็นท่านพระสาคตะ-
เถระนั้น ก็โปรดให้พาตัวไปพระวิหาร ทรงดำหนิแล้วทรงบัญญัติ
สิกขาบท. วันรุ่งขึ้น ท่านได้สติ ฟังเขาเล่าถึงเหตุที่ตนทำแล้ว ก็แสดง
โทษที่ล่วงเกิน ขอให้พระทศพลงดโทษแล้ว เกิดความสสดใจ เจริญ
วิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต. เรื่องปรากฏในพระวินัย ดังกล่าวมานี้.
พึงทราบเรื่องพิสดารตามนัยที่มาแล้วในวินัยนั้นนั่นแล ภายหลัง พระ-
ศาสดาประทับนั่งในพระเชตวันมหาวิหาร กำลังทรงสถาปนาพระเถระ
ทั้งหลายไว้ในตำแหน่งทั้งหลายตามลำดับ จึงทรงสถาปนาท่านพระ-
สาคตเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้
ฉลาดเข้าเตโชธาตุแล.
จบ อรรถกถาพระสูตรที่ 10

อรรถกถาสูตรที่ 11



ประวัติพระราธเถระ



ในสูตรที่ 11 พึงทราบวินัจฉัยดังต่อไปนี้.
ปฎิภาเณยฺยกานํ ได้แก่1 ผู้ให้ปฏิภาณเกิดขึ้นได้อันนับเป็น
เหตุให้ท่านแสดงซ้ำซึ่งพระธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ทันที
ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้
ก็พระเถระรูปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิด
ในเรือนสกุล ในเมืองหงสวดี ภายหลัง กำลังฟังพระธรรมเทศนาของ
พระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้มีปฏิภาณ จึงทำ
กุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านปรนนิบัติพระตถาคต
จนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ครั้งพุทธุปบาทกาลนี้
ก็ถือปฏิสนธิในสกุลพราหมณ์ กรุงราชคฤห์ บิดามารดาจึงขนานนาม
ว่าราธมาณพ เวลาแก่เฒ่า เขาคิดว่าเราเป็นผู้ที่บุตรภริยาของตน
ไม่ต้องการจักบวชให้เวลาล่วงไปเสีย จึงไปพระวิหารขอบรรพชา
กะพระเถระทั้งหลาย. พระเถระบางพวกไม่ประสงค์ให้บวช ด้วยเห็นว่า
เป็นคนแก่ เป็นพราหมณ์แก่เฒ่า. ต่อมาวันหนึ่ง พราหมณ์ไปสำนักของ
พระศาสดา ทำการปฏิสัณฐารแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง พระ-
ศาสดาทรงเห็นอุปนิสสยสมบัติความถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัย ทรงมี

1. บางแห่งเป็น ปฏิภานกภิกฺขูนํ แปลว่า ภิกษุผู้มีปฏิภาน