เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 2



ประวัติพระอุรุเวลกัสสปเถระ



ในสูตรที่ 2 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า มหาปริสานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระอุรุเวลกัสสป
เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีบริวารมาก จริงอยู่ พระเถระอื่น ๆ
บางกาล ก็มีปริวารมาก บางกาลก็มีปริวารน้อย ส่วนพระเถระนี้กับ
น้องชายทั้งสอง มีปริวารประจำ เป็นสมณะถึงหนึ่งพันรูป บรรดาภิกษุ
ชฎิลสามรูปนั้น เมื่อแต่ละรูปให้บรรพชาครั้งละรูป ก็จะเป็นสมณะ
สองพันรูป เมื่อให้บรรพชาครั้งละสองรูป ก็จะเป็นสมณะสามพันรูป
เพราะฉะนั้น ท่านอุรุเวลกัสสป จึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มี
บริวารมาก. ก็คำว่ากัสสป เป็นโคตรของท่าน. ปรากฏชื่อว่า อุรุเวล-
กัสสป เพราะท่านบวชในอุรุเวลาเสนานิคม. ในปัญหากรรมของท่าน
มีเรื่องจะกล่าวตามลำดับ ดังนี้.
ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ แม้ท่านอุรุเวลกัสสปนี้
ก็ถือปฏิสนธิในเรือนสกุล ณ กรุงหงสวดี เจริญวัยแล้ว ฟังธรรมกถา
ของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีบริษัทมาก คิดว่าแม้เราก็ควร
จะเป็นเช่นภิกษุรูปนี้ในอนาคตกาล จึงถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข 7 วัน ให้ครองไตรจีวร ถวายบังคมพระศาสดา
แล้วได้กระทำความปรารถนา ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่า
ภิกษุสาวกผู้มีบริษัท พระศาสดาทรงเห็นไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์

ว่า เขาจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีบริษัทมาก ในศาสนาของ
พระโคดมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล แล้วเสด็จกลับไป กุลบุตรแม้นั้น
กระทำกัลยาณกรรมตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ใน
ที่สุดกัปที่ 92 ก็บังเกิดเป็นกนิษฐภาดาต่างมารดา ของพระพุทธเจ้า
พระนามว่า ปุสสะ พระราชบิดา พระนามว่ามหินทรราชา. ท่านยังมี
พี่น้องอื่น ๆ อีกสององค์. พี่น้องทั้งสามองค์นั้นได้ตำแหน่งองค์ละแผนก
อย่างนี้ ทรงปราบปรามชนบทชายแดนที่ก่อกบฏ โดยนัยที่กล่าวแล้วใน
หนหลัง ทรงได้พรจากสำนักพระราชบิดา ทรงรับพรว่า พวกข้า
พระองค์จักบำรุงพระทศพลตลอดไตรมาส ครั้งนั้น พี่น้องทั้งสาม
พระองค์ทรงดำริว่า พวกเราบำรุงพระทศพลกระทำให้เหมาะ จึงควร
จึงแต่งตั้งอมาตย์ผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นผู้หารายได้ แต่งตั้งอมาตย์
ผู้หนึ่งเป็นผู้รับจ่าย แต่งตั้งอมาตย์ผู้หนึ่งในตำแหน่งเป็นผู้เลี้ยงภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข สมาทานศีลสิบสำหรับพระองค์ รักษาสิกขาบท
ทั้งหลายตลอดไตรมาส อมาตย์ทั้งสามคนนั้น บังเกิดเป็นพิมพิสาระ
วิสาขะและรัฐปาละ ในพุทธุปบาทกาลนี้ โดยนัยที่กล่าวมาแล้วใน
หนหลัง ส่วนพระราชกุมารเหล่านั้น เมื่อพระทศพลอยู่จำพรรษาแล้ว
ทรงบูชาด้วยปัจจัย ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง กระทำกัลยาณกรรม
ตลอดชีวิต บังเกิดในสกุลพราหมณ์ ก่อนพระทศพลของเราทรงอุบัติ
มีนามว่า กัสสป ทั้งสามคนตามโคตรของตน คนทั้งสามนั้นเจริญวัย
แล้วเรียนไตรเพท คนใหญ่ มีบริวารมาณพ 500 คน คนกลาง 300 คน
คนเล็ก 200 คน. ทั้งสามพี่น้อง ตรวจดูสาระในคัมภีร์ (ไตรเพท) เห็น
แต่ประโยชน์ส่วนปัจจุบันเท่านั้น ไม่เห็นประโยชน์ส่วนภายภาคหน้า
พี่ชายคนใหญ่ ไปยังตำบลอุรุเวลาบวชเป็นฤษีพร้อมกับบริวารของตน

ชื่อว่าอุรุเวลกัสสป. คนกลางไปบวชที่คุ้งมหาคงคานที ชื่อว่านทีกัสสป.
คนเล็กไปบวชที่คยาสีสประเทศ ชื่อว่าคยากัสสป.
เมื่อกัสสปพี่น้องบวชเป็นฤษีอยู่ ณ ทีนั้น ล่วงวันไปเป็นอันมาก
พระโพธิสัตว์ของเรา เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงได้พระสัพพัญ-
ญุตญาณ ประกาศพระธรรมจักรตามลำดับ ทรงสถาปนาพระปัญจ-
วัคคียเถระไว้ในพระอรหัต ทรงแนะนำสหาย 55 คน มียศกุลบุตร
เป็นหัวหน้า ทรงส่งพระอรหันต์ 60 องค์ให้จาริกไปเพื่อประโยชน์แก่
ชนเป็นอันมาก ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจง
จาริกไปดังนี้เป็นต้น ทรงแนะนำพวกภัททวัคคีย์ แล้วทรงเห็นเหตุแห่ง
อุรุเวลกัสสป ก็ทรงทราบว่าเมื่อเราไป สามพี่น้องพร้อมบริวารจัก
บรรลุพระอรหัต ลำพังพระองค์เดียวไม่มีเพื่อน เสด็จถึงที่อยู่ของอุรุ-
เวลกัสสป ทรงขอเรือนไฟเพื่อประทับอยู่ ทรงแนะนำอุรุเวลกัสสป
พร้อมด้วยบริวาร ตั้งต้นแต่ทรงทรมานงู ซึ่งอยู่ในเรือนไฟนั้น ด้วย
ปาฏิหาริย์ทั้งหลาย เป็นจำนวนถึง 3500 อย่างแล้วทรงให้บวช น้องชาย
อีกสองคนรู้ว่าพี่ชายบวช ก็มาบวชพร้อมด้วยบริวาร เหล่าชฎิลทั้งหมด
เป็นเอหิภิกขุ ทรงบาตรและจีวรสำเร็จมาแต่ฤทธิ. พระศาสดาทรงพา
สมณะ 1000 รูปนั้นไปยังคยาสีสประเทศ ประทับนั่งบนหลังแผ่นหิน
ทรงตรวจดูว่า คนเหล่านี้บวชบำเรอไฟ ควรจะแสดงภพทั้งสาม ให้เป็น
เสมือนเรือนไฟไหม้แก่คนเหล่านี้ จึงทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร. จบ
เทศนา ก็บรรลุพระอรหัตหมดทุกรูป. พระศาสดามีภิกษุชฎิลเหล่านั้น
แวดล้อม ทรงทราบถึงปฏิญญาที่ถวายไว้แด่พระเจ้าพิมพิสารตามลำดับ
เสด็จถึงพระราชอุทยานลัฏฐิวัน กรุงราชคฤหถ์ พระราชาทรงทราบว่า
พระทศพลเสด็จมาถึงแล้ว ก็พร้อมด้วยพราหมณ์และคฤหบดีสิบสองนหุต

เสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคับแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควร
ข้างหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูบริษัททั้งหมด ทรงเห็นมหาชนทำ
ความนอบน้อมอุรุเวลกัสสป ทรงพระดำริว่าคนเหล่านี้ไม่รู้ว่าเราหรือ
กัสสปเป็นใหญ่ ขึ้นชื่อว่าเหล่าชนที่มีวิตก ไม่อาจรับเทศนาได้ จึงได้
ประทานสัญญา(ณ) แก่พระเถระว่า กัสสป เธอจงตัดความวิตกของ
เหล่าอุปัฏฐากของเธอเสีย. พระเถระรับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว
ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เหาะขึ้น
สู่อากาศประมาณชั่วต้นตาล แสดงฤทธิต่าง ๆ ประกาศว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นศาสดาของข้าพระองค์
ข้าพระองค์เป็นสาวก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก แล้วลงมาถวาย
บังคมพระยุคลบาทพระทศพล โดยอุบายนั้น ครั้งที่ 7 เหาะขึ้นสู่อากาศ
7 ชั่วต้นตาลแล้วถวายบังคมพระยุคลบาทของพระทศพล นั่ง ณ ที่
สมควรข้างหนึ่ง. เวลานั้นมหาชนหมดวิตกในพระศาสดาว่า ท่านผู้นี้
เป็นมหาสมณะในโลก. ลำดับนั้นพระศาสดาจึงทรงแสดงธรรมโปรด.
จบเทศนา พระราชาพร้อมด้วยพราหมณ์และคฤหบดีสิบเอ็ดนหุต ดำรง
อยู่ในพระโสดาปัตติผล นหุตหนึ่งประกาศตนเป็นอุบาสก. ภิกษุจำนวน
พันรูป บริวารของอุรุเวลกัสสปเหล่านั้น คิดด้วยความคุ้นเคยของตนว่า
กิจบรรพชิตของพวกเราถึงที่สุดแล้ว พวกเราจักไปภายนอกทำอะไร.
จึงเที่ยวห้อมล้อมท่านพระอุรุเวลกัสสปอย่างเดียว บรรดาภิกษุชฎิล
ทั้งสามนั้น เมื่อภิกษุชฎิลแต่ละองค์รับนิสสิตก์ได้ครั้งละองค์ ก็เป็น
สองพัน เมื่อรับได้ครั้งละสององค์ ก็เป็นสามพัน. ตั้งแต่นั้นมานิสสิตก์
ของภิกษุชฎิลเหล่านั้นมีเท่าใด จะกล่าวถึงนิสสิตก์เท่านั้น ก็ควรแล.

ในข้อนั้น มีวัตถุนิทาน ดังนี้. แต่ต่อมา พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวันวิหาร ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอด
ของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีบริษัทมาก
ดังนี้แล.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 2

อรรถกถาสูตรที่ 3



H1>ประวัติพระกาฬุทายีเถระ

ในสูตรที่ 3 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า กุลปฺปสทกานํ ได้แก่ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส. แท้จริง พระ-
เถระนี้ ทำราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ผู้ยังไม่พบพระ-
พุทธเจ้าเท่านั้นให้เลื่อมใส เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเป็นยอดของภิกษุ
สาวกผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าว
ตามลำดับ ดังนี้.
ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระเถระนี้บังเกิดใน
เรือนสกุล ณ กรุงหงสวดี กำลังฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็น
พระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอด
ของภิกษุสาวกผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส จึงการทำกุศลกรรมให้ยิ่งยวดขึ้น
ไปแล้ว ปรารถนาตำแหน่งนั้น ท่านการทำกุศลตลอดชีวิต เวียนว่าย
อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถือปฏิสนธิในเรือนของอมาตย์ ณ กรุง-
กบิลพัสดุ ในวันที่พระโพธิสัตว์ของเราทรงถือปฏิสนธิในครรภ์ของ
พระมารดา ในวันเกิดก็เกิดพร้อมกับพระโพธิสัตว์แล ในวันนั้น ญาติ
ทั้งหลายก็ให้นอนบนเครื่องรองรับคือผ้าแล้วนำไปถวายตัวเพื่อรับใช้
พระโพธิสัตว์.
ต้นโพธิพฤกษ์ พระมารดาของพระราหุล ขุมทรัพย์ทั้ง 4 ช้าง
ทรง ม้ากัณฐกะ นายฉันนะ อมาตย์กาฬุทายี รวมเป็น 7 นี้ ชื่อว่า
สัตตสหชาต เพราะเกิดวันเดียวกับพระโพธิสัตว์.