เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 8



ประวัติพระพาหิยทารุจิริยะ



ในสูตรที่ 8 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

ด้วยบทว่า ขิปฺปาภิญฺญานํ ท่านแสดงว่า พระทารุจิริยเถระ
เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว จริงอยู่ พระเถระนี้ บรรลุ
พระอรหัตเมื่อจบพระธรรมเทศนาอย่างย่อ ไม่มีกิจที่จะต้องบริกรรม
มรรคผลทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุ
สาวกผู้ตรัสรู้เร็ว. คนทั้งหลายตั้งชื่อท่านว่าพาหิยะ เพราะท่าน
เกิดในพาหิยรัฐ. ต่อมาภายหลังท่านนุ่งผ้าทำด้วยไม้ เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่าทารุจิริยะ ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องเล่าตามลำดับ
ดังนี้ :-

แท้จริง แม้ท่านพาหิยทารุจิริยะนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนาม
ว่า ปทุมุตตระ เกิดในเรือนสกุลในกรุงหงสวดี กำลังฟังธรรมของ
พระทศพล เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว จึงกระทำกุศล
ให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น กระทำกุศลกรรมจนตลอด
ชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเหล่าเทวดาและมนุษย์ เวลาศาสนาของพระ-
กัสสปทศพลเสื่อมลง ก็กระทำสมณธรรมร่วมกับเหล่าภิกษุ ที่กล่าว
ไว้แต่หนหลัง เป็นผู้มีศีลบริบูรณ์ สิ้นชีพแล้วก็บังเกิดในเทวโลก

ท่านอยู่ในเทวโลก สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธกาลนี้ ก็บังเกิด
ในเรือนสกุลในพาหิยรัฐ เจริญวัยก็ครองเรือน ดำริว่าจะทำการ
ค้าขาย จึงขึ้นเรือที่จะพาไปสุวรรณภูมิ ไม่ทันไปถึงถิ่นที่ปรารถนา
เรือก็อัปปางลงกลางสมุทร. มหาชน (ผู้โดยสาร) ก็กลายเป็นเหยื่อ
ของเต่าและปลา ส่วนพาหิยผู้นี้เกาะขอนไม้ขอนหนึ่งไว้ 7 วัน
จึงขึ้นท่าเรือชื่อสุปปารกะได้รู้ว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ คิดว่า
จะเข้าไปหามนุษย์โดยแบบไม่มีผ้าติดตัว (เปลือย) ไม่สมควร จึง
ยึดเอาสาหร่ายที่หนองน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลเอามาพันตัว ถือ
เอาภาชนะใบหนึ่ง ซึ่งตกอยู่แถว ๆ เทวสถาน เขาไปขอภิกษา
(อาหาร) ผู้คนทั้งหลายเห็นเขาแล้วพากันคิดว่า ถ้าในโลกนี้ ยังมี
พระอรหันต์อยู่จริง พึงมีด้วยวิธีอย่างนี้ พระผู้เป็นเจ้าไม่รับผ้า
เพราะถืออย่างอุตกฤษฐ์หรือหนอ หรือจะรับผ้าที่เขาให้ ดังนี้จึง
ทดลองให้ผ้าทั้งหลาย จากทิศต่าง ๆ เขาคิดว่า ถ้าไม่มาโดยแบบนี้
คนเหล่านี้ก็ไม่พึงเลื่อมใสเรา จำเราจะพูดอย่างใดอย่างหนึ่งหลอกลวง
คนเหล่านี้ ทำอุบายเลี้ยงชีพก็สมควร จึงไม่ยอมรับผ้าทั้งหลาย
พวกผู้คนก็เลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป. แม้เขาจะกินอาหารก็ต้องไปเทว-
สถานที่ไม่ไกล มหาชนก็เดินไปกับเขา บำรุงเทวสถานให้ทาน.
เขาคิดว่า คนเหล่านี้เลื่อมใสเพียงการนุ่งสาหร่ายของเรา กระทำ
สักการะอย่างนี้ เราจะเป็นผู้ทำอุตกฤษฐ์ขึ้นไป ก็ควรแก่คนเหล่านี้
ดังนี้แล้ว ก็ถือแผ่นกระดานไม้ที่เบา ๆ ถากเสีย คลุมเปลือกไม้
ทำเป็นผ้านุ่งห่มเลียงชีวิตอยู่.
ครั้งนั้น บรรดาชน 7 คนที่ทำสมณธรรมครั้งพระพุทธเจ้า
พระนามว่ากัสสป ชนคนหนึ่งเป็นภิกษุบังเกิดในพรหมโลกชั้น

สุทธาวาส สำรวจดูสมบัติพรหมของตน ระลึกถึงสถานที่ชน 7 คน
มา ก็เห็นสถานที่ชน 7 คนขึ้นเขากระทำสมณธรรม ระลึกถึง
สถานที่ชน 6 คนไปบังเกิด ก็รู้ว่าคนหนึ่งปรินิพพานแล้ว อีก 5 คน
ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ยังระลึกถึงชนทั้ง 5 คน เป็นครั้ง
คราว เมื่อระลึกว่า ในเวลานี้เขาอยู่กันที่ไหนหนอ ก็เห็นทารุจิริยะ
อาศัยท่าเรือสุปปารกะเลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวง คิดว่า ฉิบหาย
แล้วหนอ ทารุจิริยะนี้โง่ กระทำสมณธรรมมาแต่กาลก่อน ไม่ยอม
ฉันบิณฑบาตที่แม้พระอรหันต์นำมา เพราะเป็นผู้ถือกติกาอุตกฤษฐ์
ยิ่งนัก มาบัดนี้ ไม่เป็นอรหันต์ก็ปฏิญญาว่าเป็นอรหันต์เที่ยวลวงโลก
เพราะเห็นแก่ท้อง ทั้งไม่รู้ว่าพระทศพลบังเกิดแล้ว จำเราจะไป
ทำเขาให้สลดใจแล้วให้เขารู้ว่าพระทศพลบังเกิดแล้ว ในทันใด
นั่นเอง ก็ออกจากพรหมโลก ไปปรากฏตัวต่อหน้าทารุจิริยะ ต่อ
จากเวลาเที่ยงคืน ทีท่าเรือสุปปารกะ. เขาเห็นโอภาสสว่างในที่อยู่
ของตน จึงออกมาข้างนอก เห็นองค์มหาพรหมประคองอัญชลี
ประนมมือถามว่า ท่านเป็นใคร. มหาพรหมตอบว่า เราเป็นสหาย
เก่าของท่าน บรรลุอนาคามิผลบังเกิดในพรหมโลก. แต่ผู้เจริญ
ที่สุดหมดหัวหน้าของพวกเราบรรลุพระอรหัตปรินิพพานแล้ว
พวกท่าน 5 คน บังเกิดในเทวโลก เรานั้นเห็นท่านเลี้ยงชีพด้วย
การหลอกลวงเขาในที่นี้ จึงมาเพื่อทรมาน แล้วจึงกล่าวเหตุนี้ว่า
พาหิยะ ท่านยังไม่เป็นอรหันต์ ยังไม่ปฏิบัติถึงอรหัตตมรรค ท่าน
ก็ไม่มีปฏิปทา ที่จะเป็นอรหันต์ หรือปฏิบัติถึงอรหัตตมรรค. ลำดับ
นั้น มหาพรหมบอกเขาว่า พระศาสดาอุบัติแล้ว และประทับอยู่ ณ

กรุงสาวัตถี ท่านจงไปยังสำนักพระศาสดา แล้วส่งเขาไป ตนเอง
ก็กลับพรหมโลก.
แม้ทารุจิริยะ ถูกมหาพรหมทำให้สลดใจแล้ว ก็คิดจักแสวงหา
ทางพ้น จึงเดินทาง 120 โยชน์โดยพักคืนเดียว ประจวบพระศาสดา
เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ ละแวกบ้าน หมอบลงแทบมหายุคลบาท
พระศาสดา ทูลอ้อนวอนถึง 3 ครั้งว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงธรรมโปรดข้าพระบาทเถิด พระเจ้าข้า ขอพระสุคตทรง
แสดงธรรมโปรดข้าพระบาทเถิด พระเจ้าข้า. พระศาสดาทรง
ทราบว่า ญาณของพาหิยะแก่กล้าแล้ว ด้วยเหตุเท่านี้ จึงทรงสอน
ด้วยพระโอวาทนี้ว่า เพราะเหตุนี้แล พาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้
ว่ารูปที่เห็นแล้ว จักเป็นเพียงเห็นแล้ว ดังนี้เป็นต้น. เมื่อจบเทศนา
แม้พาหิยะนั้น ทั้งที่อยู่ระหว่างถนนส่งญาณไปตามกระแสเทศนา
ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย พาหิยะนั้น ถึง
ที่สุดกิจของตนแล้ว ทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้า แสวง
หาบาตรจีวร เพราะยังมีบาตรจีวรไม่ครบ กำลังดึงชิ้นผ้าทั้งหลาย
จากกองขยะ ลำดับนั้น อมนุษย์ผู้มีเวรกันมาแต่ก่อน เข้าสิงร่าง
ของแม่โคลูกอ่อนตัวหนึ่ง ทำท่านให้เสียชีวิต พระศาสดาเสด็จออก
จากกรุงสาวัตถี ทอดพระเนตรเห็นพาหิยะล้มอยู่ที่กองขยะระหว่าง
ทาง ตรัสบอกเหล่าภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงช่วย
กันยกร่างพาหิยะ แล้วให้นำไปทำฌาปนกิจ โปรดให้สร้างเจดีย์
ไว้ ณ ทางใหญ่ 4 แพร่ง จากนั้น เกิดพูดกันกลางสงฆ์ว่า พระ-
ตถาคต รับสั่งให้ภิกษุสงฆ์ทำฌาปนกิจร่างของพาหิยะ เก็บธาตุ
มาแล้ว โปรดให้สร้างเจดีย์ไว้ พาหิยะนั้นกระทำให้แจ้งมรรค

อะไรหนอ เขาเป็นสามเณรหรือหนอ ภิกษุทั้งหลายเกิดจิตคิดกัน
ดังนี้. พระศาสดาทรงปรารภถ้อยคำนั้น ให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ
เกิดเรื่อง แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยะเป็นบัณฑิต
ทรงขยายพระธรรมเทศนาไว้ แล้วทรงประกาศว่า พาหิยะนั้น
ปรินิพพานแล้ว. เรื่องที่พูดกันนั้น เกิดขึ้นกลางสงฆ์อีกว่า พระ-
ศาสดามิได้ทรงแสดงธรรมมากเลย ตรัสว่า พาหิยะบรรลุพระ-
อรหัต นี่เรื่องอะไรกัน. พระศาสดาตรัสว่า ธรรมน้อยหรือมาก
ไม่ใช่เหตุ ธรรมนั้นก็เหมือนยาแก้คนที่ดื่มยาพิษ แล้วตรัสคาถา
ในพระธรรมบทว่า

สหสฺสมปิ เจ คาถา อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ

ถ้าคาถา ถึงพันคาถา ที่ประกอบด้วยบท
อันไม่เป็นประโยชน์ ก็ประเสริฐสู้คาถาบทเดียว
ไม่ได้ ที่ฟังแล้วสงบระงับ.


จบเทศนา สัตว์แปดหมื่นสี่พัน ก็พากันดื่มน้ำอมฤต. ก็แต่ว่า เรื่อง
ของพระพาหิยะนี้ ไม่จำต้องกล่าวไว้พิสดาร เพราะมาในพระสูตร
แล้ว. แต่ต่อมาภายหลังพระศาสดาประทับนั่งกลางสงฆ์ ทรง
สถาปนาท่านพาหิยเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ. เป็นยอดของ
ภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็วแล.


จบ อรรถกถาสูตรที่ 8

อรรถกถาสูตรที่ 9



ประวัติพระกุมารกัสสปเถระ



ในสูตรที่ 9 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า จิตฺตกถิกานํ ได้แก่ผู้กล่าวธรรมได้วิจิตร. จริงอยู่
พระเถระเมื่อจะกล่าวธรรมแก่คนคนเดียวก็ดี สองคนก็ดี ก็ประดับ
ด้วยอุปมาและเหตุเป็นอันมากให้เขารู้ จึงกล่าวว่า เพราะเหตุนั้น
พระเถระจึงเป็นยอดของภิกษุสาวกผู้กล่าวธรรมได้วิจิตร ปัญหา
กรรมของท่านมีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้.
แท้จริง ท่านพระกุมารกัสสปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า
ปทุมุตตระ ถือปฏิสนธิในเรือนสกุล ในกรุงหงสวดี เจริญวัย กำลัง
ฟังธรรมกถาของพระทศพล เห็นพระศาสดา ทรงสถาปนาภิกษุ
รูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้
กล่าวธรรมได้วิจิตร จึงกระทำกุศลกรรมให้ยิ่งยอดขึ้นไป ปรารถนา
ตำแหน่งนั้นเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ครั้งศาสนาของ
พระกัสสปพุทธเจ้าเสื่อมลง เป็นภิกษุรูปหนึ่งระหว่างภิกษุ 7 รูป
กระทำสมณธรรมบนยอดเขา มีศีลไม่เสื่อม จุติจากภพนั้นแล้ว
บังเกิดในเทวโลก เสวยสมบัติอยู่พุทธันดรหนึ่ง ครั้งพระศาสดา
ของพวกเรา ก็เกิดในครรภ์ของหญิงสาวแห่งสกุลคนหนึ่ง ในกรุง-
ราชคฤห์ ก็หญิงสาวแห่งสกุลนั้น อ้อนวอนบิดามารดาก่อนแต่ไม่ได้
บรรพชา ครั้นไปอยู่เรือนแห่งสกุล (มีสามี) ก็ตั้งครรภ์ แต่ตัวเอง
ไม่รู้ จึงบอกกล่าวสามี (ขอบรรพชา) สามีอนุญาตแล้ว ก็บรรพชา