เมนู

กระทำเหตุนี้นั่นแหละให้เป็นอัตถุปบัติเหตุเกิดเรื่อง เหมือนกับ
นั่งท่ามกลางหมู่พระอริยะ. ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่ง
เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นเจ้าหน้าที่จัดเสนาสนะแล.

จบอรรถกถาสูตรที่ 6

อรรถกถาสูตรที่ 7



ประวัติพระปิลินทวัจฉเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 7 ดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า เทวานํ ปิยมนาปานํ ทรงแสดงว่า พระปิลันทวัจฉ-
เถระเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นที่รักและเป็นที่ชอบใจของเทวดา
ทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติ พระเถระนั้น
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ทรงให้มหาชนตั้งอยู่ในศีลห้า ได้ทรงกระทำ
กุศลที่มุ่งผลข้างหน้าคือ สวรรค์ โดยมากเหล่าเทวดาที่บังเกิดใน
ฉกามาวจรสวรรค์ 6 ชั้น ได้โอวาทของพระองค์นั่นแลตรวจดู
สมบัติของตนในสถานที่ที่บังเกิดแล้ว นึกอยู่ว่า เราได้สวรรค์สมบัติ
นี้เพราะอาศัยใครหนอ ก็รู้ว่า เราได้สมบัติเพราะอาศัยพระเถระ
จึงนมัสการพระเถระทั้งเวลาเช้าเวลาเย็น เพราะฉะนั้น ท่านจึงเป็น
ยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลายก็คำว่า
ปิลินท เป็นชื่อของท่าน, คำว่าวัจฉะ เป็นโคตรของท่าน รวมคำทั้ง 2

นั้นเข้าด้วยจึงเรียกว่า "ปิลินทวัจฉะ" ในปัญหากรรมของท่าน
มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้.
ได้ยินมาว่า ครั้งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระเถระนี้ เกิด
ในครอบครัวของผู้ที่มีโภคสมบัติมากในกรุงหงสวดี ฟังธรรมเทศนา
ของพระศาสดา โดยนัยมีในก่อนนั่นแล เห็นพระศาสดาทรงสถาปนา
ภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลาย
ปรารถนาตำแหน่งนั้น กระทำกุศลจนตลอดชีพ เวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ ในพุทธุปบาทกาลนี้มาบังเกิดในครอบครัวพราหมณ์
ในกรุงสาวัตถี ญาติทั้งหลายขนานนามท่านว่า ปิลินทวัจฉะ สมัย
อื่นต่อมา ท่านฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ศรัทธา บรรพชา
อุปสมบทแล้วเจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตแล้ว ท่านเมื่อพูด
กับคฤหัสถ์ก็ดี ภิกษุก็ดี ใช้โวหารว่าถ่อย ทุกคำว่า "มาซิเจ้าถ่อย,
ไปซิเจ้าถ่อย, นำไปซิเจ้าถ่อย, ถือเอาซิเจ้าถ่อย" ภิกษุทั้งหลาย
ฟังเรื่องนั้นแล้วก็นำไปทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ธรรมดาพระอริยะ ย่อมไม่กล่าวคำหยาบ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่า พระอริยะทั้งหลาย
ไม่กล่าวผรุสวาจา ข่มผู้อื่น ก็แต่ว่า ผรุสวาจานั้นพึงมีได้โดยที่เคย
ตัวในภพอื่น" ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระเจ้าข้า พระปิลินทวัจฉ-
เถระพยายามแล้วพยายามเล่าเมื่อกล่าวกับคฤหัสถ์ก็ดี กับภิกษุ
ทั้งหลายก็ดี ก็พูดว่า "เจ้าถ่อย เจ้าถ่อย" ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ในเรื่องนี้มีเหตุเป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย การกล่าวเช่นนั้น แห่งบุตรของเราประพฤติจน

เคยชินในปัจจุบันเท่านั้นก็หามิได้ แต่ในอดีตกาล บุตรของเรานี้
บังเกิดในครอบครัวแห่งพราหมณ์ผู้มักกล่าวว่า ถ่อย ถึง 500 ชาติ
ดังนั้นบุตรของเรานี้จึงกล่าวเพราะความเคยชินมิได้กล่าวด้วย
เจตนาหยาบ จริงอยู่โวหารแห่งพระอริยะทั้งหลายแม้จะหยาบ
อยู่บ้าง ก็ชื่อว่าบริสุทธิ์แท้เพราะเจตนาไม่หยาบไม่เป็นบาปแม้มี
ประมาณเล็กน้อยในเพราะการกล่าวนี้. ดังนี้แล้ว จึงตรัสคาถานี้
ในพระธรรมบทว่า

อกกฺกสํ วิญฺญาปนึ คิรํ สจฺจํ อุทีรเย
ยาย นาภิสเช กิญฺจิ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ

พึงกล่าวแต่ถ้อยคำที่ไม่หยาบ ที่เข้าใจกันได้ ที่
ควรกล่าว ที่เป็นคำจริง ซึ่งไม่กระทบใคร ๆ เรา
เรียกผู้นั้นว่า พราหมณ์.


อยู่ย่อมาวันหนึ่ง พระเถระเข้าไปบิณฑบาตกรุงราชคฤห์
พบผู้ชายผู้หนึ่งถือดีปลีมาเต็มถาด กำลังเข้าไปในกรุง จึงถามว่า
เจ้าถ่อย ในภาชนะของแกมีอะไร ชายผู้นั้น คิดว่า สมณะรูปนี้
กล่าวคำหยาบกับเราแต่เช้าเทียว เราก็ควรกล่าวคำเหมาะแก่
สมณะรูปนี้เหมือนกัน จึงตอบว่า ในภาชนะของข้ามีขี้หนูซิท่าน.
พระเถระพูดว่า เจ้าถ่อย มันจักต้องเป็นอย่างว่านั้น. เมื่อพระเถระ
คล้อยหลังไป ดีปลีกกลายเป็นขี้หนูไปหมด เขาคิดว่า ดีปลีเหล่านี้
ปรากฏเสมือนขี้หนู จะเป็นจริงหรือไม่หนอ ลองเอามือบี้ดู ทีนั้น
เขาก็รู้ว่าเป็นขี้หนูจริง ๆ ก็เกิดความเสียใจอย่างยิ่ง. เขาคิดว่า

เป็นเฉพาะดีปลีเหล่านี้เท่านั้นหรือ หรือในเกวียนก็เป็นอย่างนี้ด้วย
จึงเดินไปตรวจดู ก็พบว่าดีปลีทั้งหมดก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เอา
มือกุมอกแล้วคิดว่า นี้ไม่ใช่การกระทำของคนอื่น ต้องเป็นการ
กระทำของภิกษุที่เราพบตอนเช้านั่นเอง พระเถระจักรู้มายากล
อย่างหนึ่งเป็นแน่ จำเราจะตามหาสถานที่ ๆ ภิกษุนั้นเดินไป จึง
จักรู้เหตุ ดังนี้แล้วจึงเดินไปตามทางที่พระเถระเดินไป ลำดับนั้น
บุรุษผู้หนึ่งพบชายผู้นั้นกำลังเดินเครียด จึงถามว่า พ่อมหาจำเริญ
เดินเครียดจริง ท่านกำลังเดินไปทำธุระอะไร. เขาจึงบอกเรื่องนั้น
แก่บุรุษผู้นั้น. บุรุษผู้นั้นฟังเรื่องราวของเขาแล้ว ก็พูดอย่างนี้ว่า
พ่อมหาจำเริญ อย่าคิดเลย จักเป็นด้วยท่านพระปิลินทวัจฉะ พระ-
ผู้เป็นเจ้าของข้าเอง ท่านจงถือดีปลีนั้นเต็มภาชนะ ไปยืนข้างหน้า
พระเถระ แม้เวลาที่พระเถระกล่าวว่า นั่นอะไรล่ะ เจ้าถ่อย ก็จง
กล่าวว่าดีปลีท่านขอรับ. พระเถระจักกล่าวว่า จักเป็นอย่างนั้น
เจ้าถ่อย. มันก็จะกลายเป็นดีปลีไปหมด ชายผู้นั้นก็ได้กระทำอย่างนั้น
แต่ต่อมาภายหลัง พระศาสดา ทรงทำเรื่องที่พระเถระเป็นที่รัก
ที่พอใจของเหล่าเทวดาเป็นเหตุ จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ใน
ตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้เป็นที่รักที่พอใจของ
เทวดาแล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 7

อรรถกถาสูตรที่ 8



ประวัติพระพาหิยทารุจิริยะ



ในสูตรที่ 8 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

ด้วยบทว่า ขิปฺปาภิญฺญานํ ท่านแสดงว่า พระทารุจิริยเถระ
เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว จริงอยู่ พระเถระนี้ บรรลุ
พระอรหัตเมื่อจบพระธรรมเทศนาอย่างย่อ ไม่มีกิจที่จะต้องบริกรรม
มรรคผลทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุ
สาวกผู้ตรัสรู้เร็ว. คนทั้งหลายตั้งชื่อท่านว่าพาหิยะ เพราะท่าน
เกิดในพาหิยรัฐ. ต่อมาภายหลังท่านนุ่งผ้าทำด้วยไม้ เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่าทารุจิริยะ ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องเล่าตามลำดับ
ดังนี้ :-

แท้จริง แม้ท่านพาหิยทารุจิริยะนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนาม
ว่า ปทุมุตตระ เกิดในเรือนสกุลในกรุงหงสวดี กำลังฟังธรรมของ
พระทศพล เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว จึงกระทำกุศล
ให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น กระทำกุศลกรรมจนตลอด
ชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเหล่าเทวดาและมนุษย์ เวลาศาสนาของพระ-
กัสสปทศพลเสื่อมลง ก็กระทำสมณธรรมร่วมกับเหล่าภิกษุ ที่กล่าว
ไว้แต่หนหลัง เป็นผู้มีศีลบริบูรณ์ สิ้นชีพแล้วก็บังเกิดในเทวโลก