เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 5



ประวัติพระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ



ในสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า สมนฺตปาสาทิกานํ ได้แก่ ผู้นำความเลื่อมใสมาแก่ชน
ทั้งปวง. คำว่า อุปเสน เป็นชื่อของพระเถระนั้น. ก็พระเถระนั้นเป็น
บุตรพราหมณ์วังคันตะ ฉะนั้น จึงเรียกกันว่า วังคันตบุตร. ก็พระเถระ
นี้มิใช่เป็นผู้นำความเลื่อมใสมาด้วยตนเองอย่างเดียวเท่านั้น แม้บริษัท
ของท่านก็เป็นผู้นำความเลื่อมใสมา ดังนั้นท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของ
ภิกษุผู้นำความเลื่อมใสมาโดยรอบ ด้วยสามารถแห่งชื่อที่ได้เพราะ
อาศัยบริษัท ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ
ต่อไปนี้
ก็พระเถระแม้นี้บังเกิดในเรือนตระกูลในนครหงสวดี ในกาล
แห่งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า เจริญวัยแล้ว ไปเฝ้าพระศาสดาฟังพระ-
ธรรมอยู่โดยนัยก่อนนั่นแล เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งใน
ตำแหน่งยอดเยี่ยมของภิกษุผู้นำความเลื่อมใสมาโดยรอบ กระทำ
กุศลธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปต่อพระศาสดา ปรารถนาตำแหน่งนั้นกระทำ
กุศลตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาท
กาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางสารีพราหมณี พวกญาติตั้งชื่อ
ให้ท่านว่า อุปเสนทารก. อุปเสนทารกเจริญวัยแล้วเรียนไตรเพท
ฟังพระธรรมในสำนักของพระทศพล ได้ศรัทธาบวชแล้ว. ท่านอุป-
สมบทได้พรรษาเดียว คิดว่าเราจะขยายอาณาจักรพระอริยะ จึงให้

กุลบุตรคนหนึ่งบรรพชาอุปสมบทในสำนักของตน. ครั้นออกพรรษา
ปวารณาแล้ว ในเวลาที่สัทธิวิหาริกมีพรรษาเดียว ตนเองสองพรรษา
ท่านคิดว่า พระทศพลทรงเห็นเราแล้วจักยินดี จึงพาสัทธิวิหาริกมา
เฝ้าพระทศพล. พระศาสดาตรัสถามท่านซึ่งถวายบังคมแล้วนั่งในที่
แห่งหนึ่งว่า เธอมีพรรษาเท่าไร ภิกษุ" "สองพรรษา พระเจ้าข้า"
"ภิกษุนี้มีพรรษาเท่าไร" "พรรษาเดียว พระเจ้าข้า ภิกษุนี้เป็น
อะไรของเธอ "เป็นสัทธิวิหาริของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า"
ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า เร็วไป โมฆบุรุษ เธอเวียนมา
เพื่อความเป็นผู้มักมาก แล้วทรงติเตียนท่านโดยอเนกปริยาย. พระ
เถระถูกตำหนิแต่สำนักพระศาสดา ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
ท่านมีใบหน้าผ่องใสเสมือนดวงจันทร์ในวันเพ็ญ คิดว่า เราจักให้
พระศาสดาประทานสาธุกาการเพราะอาศัยบริษัทนี่แหละ ดังนี้แล้ว
ไปยังที่แห่งหนึ่งในวันนั่งเอง เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานัก
บรรลุพระอรหัต.

ลำดับนั้น เพราะพระเถระออกบวชจากระกูลใหญ่ และเป็น
พระธรรมกถึกผู้ฉลาดในการกล่าวสอน ฉะนั้นจึงมีทารกของ ระกล
เป็นจำนวนมาก เลื่อมใสธรรมกถาของท่านและออกจากตระกูลมิตร
อำมาตย์และญาติผู้ใหญ่ พากันไปบรรพชายังสำนักของพระเถระ.
ท่านกล่าวว่า เราเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร แม้พวกท่านก็จงสามารถเป็น
ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร บรรพชาเถิด ดังนี้แล้วบอกธุดงค์ 13. ให้เขาเหล่านั้น
ผู้กล่าวว่า พวกกระผมจักศึกษา ขอรับ ดังนี้บรรพชา. ท่านเหล่านั้น
อธิฎฐานธุดงค์นั้น ๆ ตามกำลังของตน. แม้พระเถระ ในเวลาที่ตนมี

พรรษา 10 ศึกษาวินัยคล่องแคล่วแล้วให้สามเณรทั้งหมดอุปสมบท.
ภิกษุประมาณ 500 รูปที่อุปสมบทแล้ว ได้เป็นบริวารของท่าน
ด้วยประการฉะนี้.
สมัยนั้น พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ตรัสบอกภิกษุสงฆ์ว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตปรารถนาจะหลีกเร้น
สักครึ่งเดือน แล้วประทับอยู่พระองค์เดียว. แม้ภิกษุสงฆ์ก็ได้ทำ
กติกากันว่า รูปใดเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ต้องให้รูปนั้นแสดง
อาบัติปาจิตตีย์. คราวนั้น พระอุปเสนเถระคิดว่าจักเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า จึงพร้อมด้วยบริษัทของตนไปพระวิหารเชตวัน เข้าเฝ้า
พระศาสดาถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง. เพื่อเริ่มการ
สนทนา พระศาสดาตรัสเรียกสัทธิวิหาริกของพระเถระรูปหนึ่งว่า
ภิกษุ เธอชอบใจบังสุกุลจีวรหรือ. สัทธิวิหาริกรูปนั้นกราบทูลว่า
ข้าพระองค์ไม่ชอบใจบังสุกุลจีวรเลย พระเจ้าข้า แล้วกราบทูลแด่
พระศาสดาถึงเรื่องที่พวกตนครองบังสกุลจีวร ก็ด้วยความเคารพ
พระอุปัชฌาย์. ในฐานะนี้ พระศาสดาได้ประทานสาธุการแก่พระเถระ
ว่า สาธุ สาธุ อุปเสนะ แล้วตรัสกถาพรรณนาคุณโดยอเนกปริยาย.
ความย่อในเรื่องนี้ ดังนี้. แต่ความพิสดาร เรื่องนี้มาแล้วในพระบาลี
นั่นแล.
ในกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางหมู่พระอริยะ
ทรงตั้งพระ(อุปเสนวังคันตบุตร) เถระไว้ในตำแหน่งยอดเยี่ยมของ
เหล่าภิกษุผู้นำความเลื่อมใสมาโดยรอบ ในพระศาสนานี้แล.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 5

อรรถกถาสูตรที่ 6



ประวัติพระทัพพมัลลบุตร



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 6 (พระทัพพมัลลบุตร) ดังต่อไปนี้.
บทว่า เสนาสนปญฺญาปกานํ ความว่า ภิกษุผู้เจ้าหน้าที่จัด
เสนาสนะ. ได้ยินว่าในเวลาพระเถระจัดเสนาสนะในบรรดามหาวิหาร
ทั้ง 18 แห่ง มิได้มีบริเวณที่ยังมิได้กวาดให้เรียบร้อย เสนาสนะ
ที่มิได้ปฏิบัติบำรุง เตียงตั่งที่ยังมิได้ชำระให้สะอาด น้ำดื่ม น้ำใช้
ที่ยังมิได้ตั้งไว้ เพราะฉะนั้นท่านจึงชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุ
ผู้เป็นเจ้าหน้าที่จัดเสนาสนะ คำว่า ทัพพะ เป็นชื่อของท่าน แต่
เพราะท่านเกิดในตระกูลของเจ้ามัลละจึงชื่อว่า มัลลบุตร ในปัญหา
กรรมของท่านมีเรื่องที่จะกล่าวไปตามลำดับดังต่อไปนี้ .
จะกล่าวโดยย่อ ครั้งพระปทุมุตตระพุทธเจ้า พระเถระนี้
เกิดในครอบครัวในกรุงหงสวดี เจริญวัยแล้วไปวิหารฟังธรรม
โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุ
ไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีหน้าที่จัดเสนาสนะ กระทำ
กุศลกรรมปรารถนาตำแหน่งนั้น พระศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว
กระทำกุศลจนตลอดชีพ เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ เมื่อครั้ง
ศาสนาของพระกัสสปทศพล เสื่อมแล้ว จึงบวชแล้ว ครั้งนั้น คนอื่น
อีก 6 คน กับภิกษุนั้นรวมเป็นภิกษุ 7 รูป มีจิตเป็นอันเดียวกัน
เห็นบุคคลเหล่าอื่น ๆ นั้น ไม่กระทำความเคารพในพระศาสดา
จึงปรึกษากันว่า ในครั้งนี้เราจะทำอย่างไร กระทำบำเพ็ญสมณ-