เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 4



ประวัติพระวังคีสเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 4 (เรื่องพระวังคีสะ) ดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ปฏิภาณวนฺตานํ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า
พระวังคีสะเถระเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปฏิภาณสมบูรณ์ ได้
ยินว่า พระเถระนี้เมื่อเข้าไปเฝ้าพระทศพลตั้งแต่คลองแห่งจักษุ
ก็กล่าวสรรเสริญคุณพระศาสดาอุปมากับพระจันทร์ อุปมากับ
พระอาทิตย์ กับอากาศ กับมหาสมุทร กับพระยาช้าง กับพระยา
มฤคสีหะ หลายร้อยหลายพันบท จึงเข้าเฝ้า เพราะฉะนั้น ท่านจึง
เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปฏิภาณ. ในปัญหากรรมของท่าน มี
เรื่องที่จะกล่าวความตามลำดับดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระเถระ
แม้รูปนี้ ถือปฏิสนธิในครอบครัวที่มีโภคสมบัติมาก ในกรุงหงสวดี
ไปวิหารฟังธรรมโดยนัยก่อนนั่นแล เห็นพระศาสดาทรงสถาปนา
ภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปฏิภาณ จึง
กระทำกุศลกรรมแด่พระศาสดา กระทำความปรารถนาว่า ใน
อนาคตกาล แม้ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปฏิภาณ
เป็นผู้อันพระศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว กระทำกุศลจนตลอดชีพ
เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็มาบังเกิด
ในครอบครัวพราหมณ์ กรุงสาวัตถี ญาติทั้งหลายขนานนามว่า

วังคีสมาณพ. ท่านเจริญวัยแล้วเรียนไตรเพท ทำให้อาจารย์ชอบใจ
แล้ว ศึกษามนต์ชื่อว่า ฉวสีสมนต์ มนต์รู้ศีรษะคน เอาเล็บเคาะหัว
ศพแล้วก็รู้ว่า สัตว์นี้บังเกิดในกำเนิดชื่อโน้น ๆ พราหมณ์ทั้งหลาย
ทราบว่ามนต์นี้เป็นทางสำหรับเราเลี้ยงชีพ จึงให้วังคีสมาณพนั่ง
ในรถที่ปกปิดแล้วไปยังคามนิคม และราชธานีทั้งหลาย หยุดที่ประตู
เมือง หรือประตูนิคม ทราบว่ามหาชนมาชุมกันแล้วแล้วก็พูดว่า
ผู้ใดเห็นวังคีสะผู้นั้นจะได้ทรัพย์ หรือได้ยศ หรือได้ไปสวรรค์ ดังนี้
ชนเป็นอันมากฟังถ้อยคำของพราหมณ์เหล่านั้นแล้วให้สินจ้าง
ต้องการจะดู พระราชาและอำมาตย์ของพระราชาไปยังสำนักของ
พราหมณ์เหล่านั้นถามว่า คุณวิเศษ คือการรู้ของอาจารย์เป็น
อย่างไร ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือ ชื่อว่าบัณฑิตอื่นที่จะเหมือนกับ
อาจารย์ของพวกเราไม่มีในชมพูทวีปทั้งสิ้น ให้บุคคลนำศีรษะของ
คนแม้ตายไปแล้ว 3 ปี เอาเล็บเคาะก็รู้ว่า สัตว์นี้ไปเกิดในที่โน้น
ฝ่ายวังคีสะเพื่อจะตัดความสงสัยของมหาชนจึงให้นำชนเหล่านั้น
มาแล้วให้บอกคติของตน ๆ อาศัยเหตุนั้นได้ทรัพย์จากมือของมหาชน
ร้อยหนึ่งบ้าง พันหนึ่งบ้าง.
พวกพราหมณ์พาวังคีสะมาณพเที่ยวไปตามชอบใจแล้วก็
มาถึงกรุงสาวัตถีอีก วังคีสะอยู่ในที่ไม่ไกลเชตวันมหาวิหาร คิดว่า
คนทั้งหลายพูดกันว่า พระสมณะโคดมเป็นบัณฑิต ก็แต่ว่าเราไม่
ควรจะเทียวไปกระทำ ตามดำของพราหมณ์เหล่านี้อย่างเดียวทุก
เวลา เราควรไปสำนักของบัณฑิตทั้งหลายบ้าง วังคีสมาณพนั้น
กล่าวกะพราหมณ์ทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงไปเถิด เราจะไม่ไป
เฝ้าพระสมณะโคดมกับใครเป็นอันมาก พราหมณ์เหล่านั้นบอกว่า

วังคีสะท่านอย่าชอบใจเฝ้าพระสมณะโคดมเลย เพราะคนใดเห็น
พระสมณะนั้น พระสมณะนั้นก็จะกลับใจบุคคลนั้นด้วยมายากล
วังคีสะไม่เชื่อถือถ้อยคำของพราหมณ์เหล่านั้น ไปเฝ้าพระศาสดา
การทำปฏิสัณฐานด้วยคำอันไพเราะ นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.
ครั้งนั้นพระศาสดาถามเธอว่า วังคีสะ เธอรู้ศิลปอะไร
วังคีสะทูลตอบว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์รู้ฉวสีสมนต์ พระศาสดา
ตรัสถามว่า มนต์นั้นทำอะไร วังคีสะทูลว่า ร่ายมนต์นั้นแล้วเอาเล็บ
เคาะศีรษะของตนแม้ตายไปแล้วถึง 3 ปี ก็รู้ที่เขาเกิดพระเจ้าข้า
พระศาสดาทรงแสดงศีรษะของคนที่เกิดในนรกศีรษะหนึ่งแก่
วังคีสะนั้น ของคนเกิดในมนุษย์ศีรษะหนึ่ง ของคนเกิดในเทวโลก
ศีรษะหนึ่ง แสดงศีรษะของผู้ปรินิพพานแล้วศีรษะหนึ่ง วังคีสะนั้น
เคาะศีรษะแรกกราบทูลว่าท่านพระโคดม สัตว์นี้ไปสู่นรก พระ-
ศาสดาตรัสตอบว่า สาธุ สาธุ ท่านเห็นดีแล้ว แล้วตรัสถามว่า
สัตว์นี้ไปไหน วังคีสะ ไปสู่มนุษยโลก ท่านพระโคดม สัตว์นี้ละไปไหน
วังคีสะทูลว่า สัตว์นี้ไปเทวโลก พระเจ้าคะ เขากราบทูลถึงสถานที่ไป
ของคนทั้ง 3 พวก ด้วยประการฉะนี้ แต่เมื่อเอาเล็บเคาะศีรษะ ของ
ผู้ปรินิพพาน ก็ไม่เห็นทั้งปลายทั้งต้น. ทีนั้นพระศาสดาจึงตรัสถาม
วังคีสะนั้นว่า ท่านไม่อาจเห็นหรือวังคสะ วังคีสะมาณพทูลว่า เห็นซิ
ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ของสอบสวนดูก่อน แล้วพลิกกลับไปกลับมา
วังคีสะจักรู้คติของพระขีณาสพด้วยมนต์ของลัทธิภายนอกได้อย่างไร
เมื่อเป็นเช่นนั้น เหงื่อก็ผุดออกจากหน้าผากของเขา เขาละอายแล้วยืนนิ่ง
ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสกะเขาว่า ลำบากหรือวังคีสะ วังคีสะมูลว่า
พระเจ้าข้า ท่านโคดมข้าพระองค์ไม่รู้ที่ไปของสัตว์นี้ ถ้าพระองค์ทราบ

ขอจงตรัสบอกเถิด พระศาสดาตรัสว่า วังคีสะ เรารู้แม้ศีรษะนี้ แม้ยิ่ง
กว่านี้ก็รู้ ดังนี้แล้วได้ภาษิตพระคาถา 2 คาถา นี้ในพระธรรมบทว่า
จุตึ โย เวทิ สตฺตานํ อุปปตฺตึ จ สพฺพโส
อสตฺตึ สุคตํ พุทฺธํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ
ยสฺส คตึ น ชานนฺติ เทวา คนฺธพฺพมานุสา
ขีณาสวํ อรหนฺตํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณนฺติ.
ผู้ใดรู้จุติและอุปบัติ ของสัตว์ทั้งหลายโดยประ
การทั้งปวง เราเรียกผู้นั้น ผู้ไม่ข้องอยู่แล้ว ไปดี
แล้ว รู้แล้วว่าเป็นพราหมณ์.


เทพคนธรรพ์และมนุษย์ ไม่ทราบคติของผู้ใด
เราเรียกผู้นั้น ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ผู้เป็นพระ-
อรหันต์ ว่าเป็นพราหมณ์ ดังนี้.

แต่นั้น วังคีสะทูลว่า ท่านโคดม ผู้แลกวิชากับวิชาไม่มีความ
เสื่อม ข้าพระองค์จักถวายมนต์ที่ข้าพระองค์รู้แด่พระองค์ พระองค์
ได้โปรดตรัสบอกมนต์นั้นแก่ข้าพระองค์ พระศาสดาตรัสว่า วังคีสะ
เราจะไม่แลกมนต์ด้วยมนต์ เราจะให้อย่างเดียวเท่านั้น วังคีสะทูลว่า
ดีละท่านโคดม ขอจงโปรดประทานแก่ข้าพระองค์เถิด แล้วแสดง
ความนอบน้อมนั่งกระทำประณมมือแล้ว พระศาสดาตรัสว่า วังคีสะ
เมื่อสมัยท่านเรียนมนต์อันมีค่ามาก หรือมนต์อะไร ๆ ไม่ต้องมีการ
อยู่อบรมหรือ วังคีสะ ไม่มีดอกท่านโคดม พระศาสดาตรัสว่า
ท่านจะสำคัญว่า มนต์ของเราไม่มีการอบรมหรือ ขึ้นชื่อว่า พราหมณ์

ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ไม่อิ่มด้วยมนต์ เพราะฉะนั้นวังคีสะนั้นจึงกราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดมข้าพระองค์ก็จักกระทำข้อ
กำหนัดที่พระองค์ตรัสไว้ พระศาสดาตรัสว่า วังคีสะ เราเมื่อจะ
ให้มนต์นี้ ย่อมให้แก่ผู้ที่มีเพศเสมอกันกับเรา วังคีสะกล่าวกะ
พราหมณ์ทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าควรกระทำกิจอย่างใด อย่างหนึ่ง
แล้วไปเรียนมนต์นี้ วังคีสะกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าบวช
แล้ว ก็อย่าคิดเลย ข้าพเจ้าเรียนมนต์แล้วจักเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั่วชมพู-
ทวีป เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้ท่านทั้งหลายก็จักมีความเจริญด้วย จึง
บวชในสำนักพระศาสดาเพื่อเรียนมนต์.
พระศาสดาตรัสว่า ท่านจงอยู่อบรมเพื่อเรียนมนต์ก่อน
แล้วตรัสบอกอาการ 32 สัตว์ผู้มีปัญญาเมื่อสาธยายอาการ 32
อยู่ก็เริ่มตั้งความสิ้นไปและความเสื่อมไปในอาการ 32 นั้น เจริญ
วิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต เมื่อท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว พวก
พราหมณ์ทั้งหลายในสำนักของท่านด้วยคิดว่า วังคีสะจะเป็นอย่างไร
หนอเราจักไปเยือนเธอถามว่า ท่านวังคีสะ ท่านเรียนศิลปะในสำนัก
ของพระสมณโคดมแล้วหรือ ว. เออเราเรียนแล้ว พ. ถ้าอย่างนั้น
มาเถอะ เราจะไปกัน ว. ท่านจงไปกันเถอะ กิจที่จะไปกับท่าน
เราทำเสร็จแล้ว พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวว่า พวกเราบอกท่าน
ไว้ก่อนแล้วเทียวว่า พระสมณะโคดม จะทำคนผู้ที่มาหาตนให้กลับ
ใจด้วยมายากล บัดนี้ตัวท่านอยู่ในอำนาจของพระสมณะโคดมแล้ว
พวกเราจักทำอะไรในสำนักของท่าน ต่างพากันหลีกไปแล้วตาม
ทางที่มานั้นแหละ ฝ่ายพระวังคีสะเถระไปเฝ้าพระทศพลเวลาใด ๆ
ก็ไปกระทำความสดุดีอย่างหนึ่งในเวลานั้น ๆ ด้วยเหตุนั้นพระ-

ศาสดาประทับนั่ง ณ ท่ามกลางพระสงฆ์ทรงสถาปนาท่านไว้ใน
ตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปฏิภาณ.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 4

อรรถกถาสูตรที่ 5



ประวัติพระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ



ในสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า สมนฺตปาสาทิกานํ ได้แก่ ผู้นำความเลื่อมใสมาแก่ชน
ทั้งปวง. คำว่า อุปเสน เป็นชื่อของพระเถระนั้น. ก็พระเถระนั้นเป็น
บุตรพราหมณ์วังคันตะ ฉะนั้น จึงเรียกกันว่า วังคันตบุตร. ก็พระเถระ
นี้มิใช่เป็นผู้นำความเลื่อมใสมาด้วยตนเองอย่างเดียวเท่านั้น แม้บริษัท
ของท่านก็เป็นผู้นำความเลื่อมใสมา ดังนั้นท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของ
ภิกษุผู้นำความเลื่อมใสมาโดยรอบ ด้วยสามารถแห่งชื่อที่ได้เพราะ
อาศัยบริษัท ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ
ต่อไปนี้
ก็พระเถระแม้นี้บังเกิดในเรือนตระกูลในนครหงสวดี ในกาล
แห่งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า เจริญวัยแล้ว ไปเฝ้าพระศาสดาฟังพระ-
ธรรมอยู่โดยนัยก่อนนั่นแล เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งใน
ตำแหน่งยอดเยี่ยมของภิกษุผู้นำความเลื่อมใสมาโดยรอบ กระทำ
กุศลธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปต่อพระศาสดา ปรารถนาตำแหน่งนั้นกระทำ
กุศลตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาท
กาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางสารีพราหมณี พวกญาติตั้งชื่อ
ให้ท่านว่า อุปเสนทารก. อุปเสนทารกเจริญวัยแล้วเรียนไตรเพท
ฟังพระธรรมในสำนักของพระทศพล ได้ศรัทธาบวชแล้ว. ท่านอุป-
สมบทได้พรรษาเดียว คิดว่าเราจะขยายอาณาจักรพระอริยะ จึงให้