เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 1



ประวัติพระราหุลเถระ



วรรคที่ 3 สูตรที่ 1

(เรื่องพระราหุล) พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สิกฺขากามานํ ความว่า ผู้ใคร่ หมายความว่า ผู้รักศึกษา
ซึ่งสิกขา 3. พระศาสดาทรงแสดงพระราหุลผู้เป็นโอรสของพระองค์
ว่า "ราหุโล" ได้ยินว่า พระเถระลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ตั้งแต่วันที่บวชแล้ว
กอบทรายขึ้นเต็มมือปรารถนาว่า อัศจรรย์หนอ เราจะพึงได้โอวาท
และพระอนุสาสนีมีประมาณเท่านี้จากพระทศพลและพระอุปัชฌาย์
อาจารย์ทั้งหลายในวันนี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงชื่อว่าเป็น ยอดของเหล่า
ภิกษุผู้ใคร่ต่อการศึกษา.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 1

อรรถกถาสูตรที่ 2



ประวัติพระรัฐปาลเถระ



ในสูตรที่ 2 (เรื่องพระรัฐปาละ) พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สทฺธาปพฺพชิตานํ แปลว่า ผู้บวชด้วยศรัทธา. บทว่า
รฏฺฐปาโล ได้แก่ผู้ถึงการนับว่า รัฐบาล แม้เพราะอรรถว่า เป็นผู้
สามารถรักษารัฐไว้ได้ หรือผู้เกิดในตระกูลที่สามารถสมานรัฐ
ที่แตกร้าวกันไว้ได้. จริงอยู่ ภิกษุรัฐปาละนั้น ฟังธรรมเทศนาของ
พระศาสดา ได้ศรัทธากระทำการอดข้าวถึง 4 วัน จึงให้มารดา

บิดาอนุญาตให้บวชได้ จึงบวชแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึงเป็นยอด
ของเหล่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา.
ประวัติพระราหุลเถระ และพระรัฐปาลเถระ
ก็ในปัญหากรรมของพระเถระทั้งสองรูปนี้ มีเรื่องที่จะกล่าว
ตามลำดับดังต่อไปนี้ :-
ได้ยินมาว่า ในอดีตกาล ครั้งพระปทุมุตตรพระพุทธเจ้า
พระเถระทั้ง 2 นี้ บังเกิดในครอบครัวคฤหบดีมหาศาลในกรุง-
หงสวดี ในเวลาที่ท่านยังเป็นเด็กไม่มีใครพูดถึงชื่อและโคตร แต่
พอท่านเจริญวัยแล้ว ดำรงอยู่ในฆราวาส เมื่อบิดาของแต่ละคนล่วง
ไปแล้ว ท่านทั้ง 2 จึงเรียกคนจัดการคลังรัตนะของตน ๆ มาแล้ว
เห็นทรัพย์หาประมาณมิได้ คิดว่าชนทั้งหลายมีปู่และปู่ทวดเป็นต้น
พาเอากองทรัพย์มีประมาณเท่านี้ไปกับตนไม่ได้ บัดนี้ เราควร
จะถือเอาทรัพย์นี้ไปโดยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คนทั้ง 2
นั้นจึงเริ่มให้มหาทานแก่คนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น ในสถานที่
4 แห่ง คนหนึ่งสอบถามคนที่มาแล้วมาอีกในโรงทานของตน ผู้ใด
ชอบใจสิ่งใดเป็นต้นว่า ข้าวยาคูและของเคี้ยวก็ให้สิ่งนั้นแก่ผู้นั้น
เพราะเหตุนั้นแล เขาจึงมีชื่อว่า ผู้กล่าวกะผู้ที่มาแล้ว อีกคนหนึ่ง
ไม่ถามเลย เอาภาชนะที่เขาถือมาแล้ว ๆ ใส่ให้เต็ม ๆ แล้วจึงให้
ด้วยเหตุนั้นแหละ เขาจึงมีชื่อว่า ไม่กล่าวกะผู้ที่มาแล้ว อธิบายว่า
ถามด้วยความไม่ประมาท วันหนึ่งชนทั้ง 2 นั้นออกไปนอกบ้าน
เพื่อล้างปากแต่เช้าตรู่.

สมัยนั้น ดาบสผู้มีฤทธิ์มาก 2 รูป เหาะมาแต่ป่าหิมพานต์
เพื่อภิกขาจาร ลงไม่ไกลสหายทั้ง 2 นั้น ยืนในที่ข้างหนึ่งด้วยคิดว่า
"ชนทั้ง 2 นั้น เมื่อดาบสทั้ง 2 นั้น จัดแจงบริขารมีภาชนะน้ำเต้า
เป็นต้น เดินมุ่งไปภายในบ้าน จึงมาไหว้ใกล้ๆ ครั้งนั้นดาบสกล่าวกะ
ชนทั้ง 2 นั้นว่า ท่านผู้มีบุญใหญ่ ท่านมาในเวลาไร ชนทั้ง 2 นั้น
ตอบว่า มาเดี๋ยวนี้ขอรับ แล้วรับภาชนะน้ำเต้าจากมือของดาบส
ทั้ง 2 นั้น นำไปเรือนของตน ๆ ในเวลาเสร็จภัตรกิจจึงขอให้รับ
ปากว่า จะมารับภิกษาเป็นประจำ.
ในดาบสทั้งสองนั้น รูปหนึ่งเป็นคนมักร้อน จึงแหวกน้ำ
ในมหาสมุทรออกเป็น 2 ส่วนด้วยอานุภาพของตน แล้วไปยังภพ
ของปฐวินทรนาคราชนั่งพักกลางวัน. ดาบสถือเอาฤดูพอสบายแล้ว
จึงกลับมา เมื่อจะกระทำอนุโมทนาภัตรในเรือนแห่งอุปัฎฐากของ
ตน ก็กล่าวว่า ขอจงสำเร็จเหมือนดังภพปฐวินทรนาคราช. ย่อมา
วันหนึ่ง อุปัฏฐากถามดาบสนั้นว่า ท่านผู้เจริญ ท่านกระทำอนุโมทนา
ว่า จงสำเร็จเหมือนภพปฐวินทรนาคราช โปรดบอกข้อความ พวก
ข้าพเจ้าไม่ทราบความที่ท่านกล่าวนี้ว่า คำนี้ท่านหมายความว่า
อะไร, ดาบสกล่าวว่า จริงซิ กุฏุมพี เรากล่าวว่าสมบัติของท่าน
จงเป็นเหมือนสมบัติของพระยานาคชื่อว่า ปฐวินทร, ตั้งแต่นั้นมา
กุฏุมพีก็ตั้งจิตไว้ในภพของพระยานาคชื่อว่า ปฐวินทร.
ดาบสอีกรูปหนึ่งไปยังภพดาวดึงส์ กระทำการพักกลางวัน
ในเสริสกวิมานที่ว่างเปล่า ดาบสนั้นเที่ยวไปเที่ยวมาเห็นสมบัติ
ของท้าวสักกเทวราช เมื่อจะการทำอนุโมทนาแก่อุปัฏฐากของตน

ก็กล่าวว่าสมบัติของท่านจงเป็นเหมือนสักกวิมาน. ครั้งนั้น กุฎุมพี
ก็แม้นั้นก็ถามดาบสนั้นเหมือนอย่างสหายอีกคนหนึ่งถามดาบสนั้น
กุฏุมพีก็ฟังคำของดาบสนั้นจึงตั้งจิตไว้ในภพของท้าวสักกะ. ชน
ทั้งสองนั้นจึงบังเกิดในที่ที่ตนปรารถนาแล้วนั้นแล.

ผู้ที่เกิดในภพของปฐวินทรนาคราช ก็มีชื่อว่า ปฐวินทรนาค-
ราชา
พระราชานั้นในขณะที่ตนเกิดแล้ว เห็นอัตภาพของตนมีความ
ร้อนใจว่า ดาบสผู้เข้าสู่สกุลสรรเสริญคุณแห่งฐานะของเราไม่น่า
พอใจหนอ ที่นี้เป็นที่ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง ดาบสนั้นไม่รู้ที่อื่น ๆ แน่แท้
ในขณะนั้นนั่นแล เหล่านาคผู้ฟ้อนรำแต่งตัวแล้วได้ประคองเครื่อง
ดนตรีในทุกทิศแก่พระยานาคนั้น ในขณะนั้นนั่นแหละพระยานาค
นั้นก็ละอัตภาพนั้นกลายเพศเป็นมาณพน้อย ท้าวมหาราชทั้ง 4
เข้าเฝ้าท้าวสักกะทุกกึ่งเดือน เพราะฉะนั้นแม้พระยานาคนั้นก็ต้อง
ไปเฝ้าท้าวสักกะพร้อมกับพระยานาคชื่อวิรูปักษ์ด้วย ท้าวสักกะ
เห็นพระยานาคนั้นมาแต่ไกลก็จำได้ ทีนั้นท้าวสักกะจึงถามพระยา-
นาคนั้นในเวลายืนอยู่ในที่ใกล้ว่า สหาย ท่านไปเกิดที่ไหน พระยานาค
กล่าวว่า ท่านมหาราช อย่างถามเลย ข้าพเจ้าไปเกิดในที่ที่ต้อง
เลื้อยไปด้วยท้อง ส่วนท่านได้มิตรที่ดีแล้ว ท่านสักกะตรัสว่า สหาย
ท่านอย่าวิตกเลยว่าเกิดในที่ไม่สมควร พระทศพลพระนามว่า
ปทุมุตตระทรงบังเกิดในโลกแล้ว ท่านจงพระทำกุศลกรรมแด่
พระองค์นั้นแล้วปรารถนาฐานะนี้เถิด เราทั้ง 2 จักอยู่ร่วมกัน
เป็นสุข. พระยานาคนั้นกล่าวว่า เทวะ ข้าพเจ้า การทำอย่างนั้น

ไปนิมนต์พระปทุมุตตระทศพล จัดแจงเครื่องสักการะสัมมานะ
ตลอดคืนยันรุ่ง กับนาคบริษัทในภพนาคของตน
วันรุ่งขึ้น เมื่อรุ่งอรุณ พระศาสดาตรัสเรียกพระสุมนเถระ
ผู้อุปัฏฐากของพระองค์ว่า สุมนะ วันนี้ตถาคตจักไปภิกษาจาร ณ
ที่ไกล ภิกษุปถุชนจงอย่ามา, จงมาแต่พระผู้บรรลุปฏิสัมภิทาผู้ทรง
พระไตรปิฎก ผู้มีอภิญญ 6 เท่านั้น พระเถระสดับพระดำรัสของ
พระศาสดาแล้ว แจ้งแก่ภิกษุทั้งปวง ภิกษุประมาณแสนหนึ่งเหาะ
ไปพร้อมกับพระศาสดา พระยานาคปฐวินทรกับนาคบริษัทมารับ
เสด็จพระทศพลแลดูพระภิกษุสงฆ์ที่ล้อมพระศาสดาซึ่งกำลังเหยียบ
คลื่นซึ่งมีสีดังแก้วมณีบนยอดคลื่น แลเห็นพระศาสดาอยู่เบื้องต้น
พระสงฆ์นวกะจนถึงสามเณรชื่ออุปเรวตะผู้เป็นโอรสของพระตถาคต
อยู่ท้าย จึงเกิดปีติปราโมทย์ว่า พุทธานุภาพเห็นปานนี้ ของพระสาวก
ที่เหลือไม่น่าอัศจรรย์ แต่พระพุทธานุภาพแห่งทารกเล็กนี้ช่างน่า
อัศจรรย์เหลือเกินดังนี้.
ครั้งนั้น เมื่อพระทศพลประทับนั่งที่ภพของพระยานาคนั้น
แล้ว เมื่อภิกษุนอกนี้นั่งจำเดิมแต่ที่สุดจนมาถึงอาสนะของสามเณร
อุปเรวตะในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดา พระยานาคเมื่อ
ถวายข้าวยาคูก็ดี เมื่อถวายของเคี้ยวก็ดี พระดูพระทศพลทีหนึ่ง
ดูสามเณรอุปเรวตะทีหนึ่ง นับว่ามหาปุริสลักษณะ 32 ประการ
ในสรีระของสามเณรนั้นย่อมปรากฏเสมือนพระพุทธเจ้า เป็นอะไร
กันหนอ ดังนี้จึงถามภิกษุรูปหนึ่งผู้นั่งไม่ไกลว่า ท่านเจ้าข้า สามเณร
รูปนี้เป็นอะไรกับพระทศพล ภิกษุนั้นตอบว่า เป็นโอรสมหาบพิธ.

พระองค์จึงดำริว่า ภิกษุรูปนี้ใหญ่หนอ จึงได้ความเป็นโอรสของ
พระตถาคตผู้สง่างามเห็นปานนี้ แม้สรีระของท่านก็ปรากฏเสมือน
พระสรีระของพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว แม้ตัวเราก็ควรเป็น
อย่างนี้ในอนาคตกาล จึงถวายมหาทาน 7 วัน แล้วกระทำความ
ปรารถนาว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์พึงเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่งในอนาคตเหมือนอุปเรวตะสามเณรนี้ ด้วยอานุภาพ
แห่งกุศลกรรมนี้ พระศาสดาทรงเห็นว่า หาอันตรายมิได้ จึงทรง
พยากรณ์ว่า ในอนาคตมหาบพิตรจักเป็นโอรสแห่งพระพุทธเจ้า
พระนามว่าโคตมะ ดังนี้แล้วเสด็จกลับไป.

ส่วนปฐวินทรนาคราช เมื่อถึงกึ่งเดือนอีกครั้งหนึ่งก็ไปเฝ้า
ท้าวสักกะกับพระยานาคชื่อวิรูปักษ์ คราวนั้นท้าวสักกะตรัสถาม
พระยานาคนั้นผู้มายืนอยู่ในที่ใกล้ว่า สหาย ท่านปรารถนาเทวโลก
นี้แล้วหรือ ร. ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาดอกเพื่อน ส. ท่านเห็นโทษอะไร
เล่า ? ร. โทษไม่มีมหาราช, แต่ข้าพเจ้าเห็นสามเณรอุปเรวตะโอรส
ของพระทศพล ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เห็นสามเณรนั้นก็มิได้น้อมจิตไป
ในที่อื่น ข้าพเจ้านั้นกระทำความปรารถนาว่าในอนาคตกาล ขอ
ข้าพเจ้าพึงเป็นโอรสเห็นปานนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ข้า
แต่มหาราช แม้พระองค์ก็จงการทำความปรารถนาอย่างหนึ่งเถิด
เราทั้ง 2 จักไม่พรากกันในที่ ๆ เกิดแล้ว ท้าวสักกะรับคำของ
พระยานานั้นแล้วเห็นภิกษุผู้มีอานุภาพมากรูปหนึ่ง จึงนึกว่า
กุลบุตรนี้ออกบวชจากสกุลไหนหนอดังนี้ ทราบว่ากุลบุตรผู้นี้เป็น
บุตรของสกุลผู้สามารถสมานรัฐที่แตกแยกกันแล้ว กระทำการอด

อาหารถึง 14 วัน ให้มารดาบิดาอนุญาตให้บรรพชาแล้วบวช
แล้ว ก็แลครั้นทราบแล้วจึงเป็นเหมือนไม่ทราบ ทูลถามพระทศพล
แล้วกระทำมหาสักการะ 7 วัน กระทำความปรารถนาว่า พระเจ้าข้า
ด้วยผลแห่งกัลยาณกรรมนี้ ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุ
ผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
เหมือนอย่างกุลบุตรผู้นี้ในศาสนาของพระองค์เถิด. พระศาสดา
ทรงเห็นความปรารถนาหาอันตรายมิได้ จึงพยากรณ์ว่า มหาบพิตร
พระองค์จักเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนาของ
พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ ในอนาคตแล้วเสด็จกลับไป ฝ่าย
ท้าวสักกะก็เสด็จกลับไปยังเทพบุรีของพระองค์ตามเดิม.

ชนทั้งสองนั้นจุติที่ที่ตนเกิดแล้วเวียนว่ายอยู่ในเทวดา
และมนุษย์ล่วงไปหลายพันกัป ในที่สุดกัปที่ 92 แต่กัปนี้ พระพุทธเจ้า
พระนามว่า ผุสสะ ทรงอุบัติขึ้นในโลก พระพุทธบิดาของพระองค์
เป็นพระราชาพระนามว่า มหินทะ มีน้องชายต่างมารดากัน 3 องค์
พระราชาทรงยึดถือว่า พระพุทธเจ้าเป็นของเราเท่านั้น พระธรรม
เป็นของเรา พระสงฆ์เป็นของเรา ทุก ๆ วันทรงให้พระทศพล
เสวยโภชนะด้วยพระองค์เองเป็นประจำ
ต่อมาภายหลัง วันหนึ่งเมื่อชายแดนของพระองค์กำเริบ
พระองค์ตรัสเรียกโอรสมาสั่งว่า ลูกเอ๋ย ชายแดนกำเริบ พวก
เจ้าหรือเราควรไป ถ้าเราไปเจ้าจะต้องปรนนิบัติพระทศพลโดย
ท่านองนี้ พระราชโอรสทั้ง 3 นั้น ทูลเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าแต่
พระชนก พระองค์ไม่จำต้องเสด็จไป พวกข้าพระองค์จักช่วยกัน

ปราบโจรดังนี้ จึงถวายบังคมพระชนกแล้วเสด็จไปยังปัจจันตชนบท
ปราบโจรแล้วมีชัยชนะแก่ข้าศึกแล้วเสด็จกลับ พระราชกุมาร
เหล่านั้นปรึกษากับเหล่าผู้ใกล้ชิดในระหว่างทางว่า พ่อเอ๋ยในเวลา
ที่เรามาเฝ้าพระชนกจักประทานพร เราจะรับพรอะไร พวกข้าบาท
มูลิกาทูลว่า พระลูกเจ้า เมื่อพระชนกของพระองค์ล่วงลับไป ไม่มี
อะไรที่ชื่อว่าได้ยาก แต่พระองค์โปรดรับพรคือการปรนนิบัติ
พระผุสสพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระเชฏฐภาดาของพระองค์เถิด พระราช-
กุมารเหล่านั้นกล่าวว่า พวกท่านพูดดีจึงพร้อมใจกันทุก ๆ องค์
ไปเฝ้าพระชนก ในกาลนั้น พระชนกทรงเลื่อมใสพระราชกุมาร
เหล่านั้น แล้วทรงประทานพร พระราชกุมารเหล่านั้นทูลขอพรว่า
พวกข้าพระองค์จักปรนนิบัติพระตถาคตตลอดไตรมาส พระราชา
ตรัสว่า พรนี้เราให้ไม่ได้ จงขอพรอย่างอื่นเถิด พระราชกุมาร
กราบทูลว่า ข้าแต่พระชนก พวกเข้าพระองค์ก็ไม่ต้องการพรอย่างอื่น
ถ้าหากพระองค์ประสงค์จะพระราชทาน ขอจงพระราชทานพรนั้น
นั่นแหละแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระราชาเมื่อพระราชโอรส
เหล่านั้นทูลขออยู่บ่อย ๆ ทรงดำริว่า เราไม่ให้ไม่ได้ เพราะเราได้
ปฏิญญาไว้แล้วจึงตรัสว่า พ่อเอ๋ย เราให้พรแก่พวกเจ้า ก็แต่ว่า
ธรรมดาพระพุทธเจ้าเป็นผู้อันใคร ๆ เข้าเฝ้าได้ยาก เป็นผู้มีปกติ
เที่ยวไปพระองค์เดียวดุจสีหะ พวกเจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทปรนนิบัติ
พระทศพลเถิด.

พระราชกุมารเหล่านั้นดำริว่า เมื่อพวกเราจะปรนนิบัติ
พระตถาคต ก็ควรจะปรนนิบัติให้สมควร จึงพร้อมใจกันสมาทานศีล

10 เป็นผู้ไม่มีกลิ่นคาว ตั้งบุรุษไว้ 3 คนให้ดูแลโรงทานสำหรับ
พระศาสดา บรรดาบุรุษ คนนั้น คนหนึ่งเป็นผู้จัดแจงการเงิน
และข้าวปลาอาหาร. คนหนึ่งมีหน้าที่ตวงข้าว คนหนึ่งมีหน้าที่จัดทาน.
ในบุรุษ 3 คนนั้น คนจัดแจงการเงินและข้าวมาเถิดเป็นพระเจ้า
พิมพิสารมหาราชในปัจจุบัน คนตวงข้าวมาเกิดเป็นวิสาขอุบาสก,
คนจัดทานมาเกิดเป็นรัฐปาลเถระแล. กุลบุตรนั้นบำเพ็ญกุศลในภพ
นั้นตลอดชีพแล้วบังเกิดในเทวโลก. ส่วนพระยานาคนี้เกิดเป็น
พระเชฏฐโอรสของพระเจ้ากิกิ ครั้งพระที่พลพระนามว่ากัสสป
ชื่อว่าราหุลเถระ พระญาติทั้งหลายขนานนามพระองค์ว่า ปฐวินทร-
กุมาร พระองค์มีภคินี 7 พระองค์ พระภคินีเหล่านั้นสร้างบริเวณ
ถวายพระทศพลถึง 7 แห่ง พระปฐวินทรกุมารทรงได้ตำแหน่ง
อุปราช พระองค์ตรัสกะภคินีเหล่านั้นว่า ในบรรดาบริเวณที่พระนาง
ได้สร้างไว้นั้น ขอจงประทานให้หม่อมฉันแห่งหนึ่ง พระภคินีเหล่านั้น
ทูลว่า พระพี่เจ้า พระองค์ดำรงอยู่ในฐานะเป็นอุปราช พระองค์
พึงประทานแก่หม่อมฉันต่างหาก พระองค์โปรดสร้างบริเวณอื่นเถิด
พระราชกุมารนั้นได้สดับคำของพระภคินีเหล่านั้นแล้ว จึงให้สร้าง
วิหารถึง 500 แห่ง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บริเวณ 500 แห่ง
ก็มี พระราชกุมารนั้นทรงบำเพ็ญกุศลตลอดชีพในอัตภาพนั้นไป
บังเกิดในเทวโลก ในพุทธุบาทกาลนี้ ปฐวินทรกุมารถือปฏิสนธิ
ในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหษีแห่งพระโพธิสัตว์ของเรา สหาย
ของท่านบังเกิดในเรือนแห่งรัฐปาลเศรษฐี ในถุลลโกฏฐิตนิคม
แคว้นกุรุ.
ครั้งนั้น พระทศพลของเราทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว

ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐแล้วเสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์
โดยลำดับ ทรงให้ราหุลกุมารบรรพชาแล้ว. วิธีบรรพชาราหุลกุมาร
นั้น มาแล้วในพระบาลี. ก็พระศาสดาได้ตรัสราหุโลวาทสูตร เป็น
โอวาทเนือง ๆ แก่พระราหุลนั้นผู้บรรพชาแล้วอย่างนี้ แม้พระ-
ราหุลลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอามือกอบทรายขึ้นกล่าวว่า วันนี้เราพึง
ได้โอวาทมีประมาณเท่านี้จากพระทศพล และอุปัชฌาย์อาจารย์
ทั้งหลาย เกิดการสนทนากันในท่ามกลางสงฆ์ว่า ราหุลสามเณร
ทนต่อพระโอวาทหนอ เป็นโอรสที่คู่ควรแก่พระชนก" พระศาสดา
ทรงจิตวาระแห่งภิกษุทั้งหลาย ทรงพระดำริว่า เมื่อเราไปแล้ว
ธรรมเทศนาอย่างหนึ่งจักขยาย และคุณของราหุลจักปรากฏ จึง
เสด็จไปประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ในธรรมสภา ตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากัน
ด้วยเรื่องอะไรหนอ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
เจ้า พวกข้าพระองค์สนทนากันถึงความที่ราหุลสามเณรเป็น
ผู้อดทนต่อโอวาทพระเจ้าข้า พระศาสดาทรงดำรงอยู่ในฐานะ
นี้เพื่อทรงแสดงถึงคุณของราหุลสามเณร จึงทรงนำมิคชาดก
มาตรัสว่า.-
"มิคนฺคิปลฺลตฺถมเนกมายํ
อฏฺฐกฺขรํ อฑฺฒรตฺตาวปายึ
เอเกน โสเตน ฉมาสฺสสนฺโต
ฉทิ กลาหีติ โภ ภาคิเนยฺโย" ติ
ฉันยังเนื้อหลานชายผู้มี 8 กีบ นอนโดยอาการ
3 ท่า มีมารยาหลายอย่าง ดื่มกินน้ำในเวลา

เที่ยงคืน ให้เล่าเรียนมายาของเนื้อดีแล้ว ดูก่อน
น้องหญิง เนื้อหลานชายกลั้นลมหายใจไว้ได้ โดย
ช่องโสตข้างหนึ่ง แนบติดอยู่กับพื้น จะทำกลลวง
นายพรานด้วยอุบาย 6 ประการ.


ต่อมา ในเวลาที่สามเณรมีอายุ 7 พรรษา ทรงแสดง
อัมพลัฏฐิยราหุโลวาทแก่ราหุลสามเณรนั้นว่า ราหุลอย่ากล่าว
สัมปชานมุสา แม้เพื่อจะเล่นโดยความเป็นเด็กเลย ดังนี้เป็นต้น
ในเวลาที่สามเณรมีอายุ 18 พรรษา ตรัสมหาราหุโลวาทสูตร
โดยนัยว่า "ราหุล รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง" ดังนี้เป็นต้น แก่ราหุล
ผู้เข้าไปบิณฑบาตตามหลังของพระตถาคต มองดูรูปสมบัติของ
พระศาสดาและของตน ตรึกวิตกที่เนื่องด้วยครอบครัว ส่วนราหุโลวาท
ในสังยุตก็ดี ราหุโลวาทในอังคุตตรนิกายก็ดี เป็นอาจารย์แห่ง
วิปัสสนาของพระเถระทั้งนั้น.

ภายหลังพระศาสดาทรงทราบว่าญาณของท่านแก่กล้า
ในเวลาที่ราหุลเป็นภิกษุยังไม่มีพรรษาประทับนั่งที่อันธวันตรัส
จุลลราหุโลวาทสูตรแล้ว เวลาจบเทศนา พระราหุลเถระบรรลุ
พระอรหัตพร้อมกับเทวดาแสนพันโกฏิ เทวดาที่เป็นพระโสดาบัน
พระสกทาคามีและพระอนาคามีนับไม่ถ้วน. ย่อมาภายหลังพระ-
ศาสดาทรงประทับนั่งท่ามกลางพระอริยสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระ
ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ใคร่ต่อการศึกษาในศาสนานี้.

ก็เมื่อพระศาสดาทรงเสด็จออกจาริกไปในกุรุรัฐ ทรงบรรลุ
ถึงถุลลโกฏฐิตนิคมโดยลำดับ กุลบุตรชื่อรัฐปาลฟังพระธรรมเทศนา
ของพระศาสดา ได้ศรัทธาให้มารดาบิดาอนุญาตแล้ว เข้าเฝ้า
พระทศพล บวชแล้วในสำนักของพระเถระรูปหนึ่ง ตามพระบัญชา
ของพระศาสดาตั้งแต่วันที่ท่านบวชแล้ว เศรษฐีคหบดีเห็นภิกษุ
ทั้งหลายไปยังที่ประตูนิเวศน์ของตนย่อมด่าบริภาษาว่า มีงานอะไร
ของท่านในเรือนนี้ (เรา) มีบุตรน้อยคนเดียวเท่านั้น พวกท่านก็
มานำเขาไปเสีย บัดนี้จะทำอะไรอีกล่ะ. พระศาสดาประทับอยู่ที่
ถุลลโกฏฐิคามกึ่งเดือนแล้วเสด็จมายังกรุงสาวัตถีอีก. ครั้งนั้น
พระรัฐปาลกระทำกิจในโยนิโสมนสิการ เจริญวิปัสสนาบรรลุ
พระอรหัตแล้ว ท่านทูลขออนุญาตพระศาสดาแล้วไปยังถุลลโกฏฐิต-
นิคมเพื่อเยี่ยมบิดามารดา เที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกใน
นิคมนั้น ได้ขนมกุมมาสบูดที่ค้างคืนในนิเวศน์ของบิดา เกิดอสุภ-
สัญญาในเหล่าหญิงที่แต่งตัวแล้วจึงยืนขึ้นแสดงธรรม เหาะไปแล้ว
ประดุจศรเพลิงที่พ้นแล้วจากแล่ง ไปยังมิคาจิรอุทยานของพระเจ้า
โกรพย ลงนั่งแผ่นศิลาอันเป็นมงคล แสดงธรรมอันประดับแล้ว
ด้วยความเลื่อมใส 4 ประการแด่พระราชาผู้เสด็จมาเยี่ยม จาริก
ไปโดยลำดับกลับมาเฝ้าพระศาสดาอีก. เรื่องนี้ตั้งขึ้นแล้วด้วย
อาการอย่างนี้. ต่อมาภายหลังพระศาสดาประทับนั่งท่ามกลาง
พระอริยสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่า
กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนานี้แล.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 2

อรรถกถาสูตรที่ 3



ประวัติพระโกณฑธานเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 3 (เรื่องพระโกณฑธานะ) ดังต่อ
ไปนี้.
ด้วยบทว่า ปฐมสลากํ คณฺหนฺตานํ พระศาสดาทรงแสดงว่า
พระโกณฑธานเถระ. เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จับสลากได้ก่อน
ภิกษุอื่นทั้งหมด
ได้ยินมาว่า พระเถระนั้นเมื่อพระตถาคตเสด็จไปอุคคนคร
ในวันที่นางมหาสุภัททานิมนต์ เมื่อภิกษุบอกกล่าวว่า วันนี้พระ-
ศาสดาจักเสด็จภิกขาจารไกล ภิกษุปุถุชนอย่าจับสลาก พระขีณาสพ
500 รูปจงจับ, ก็บันลือสีหนาทจับสลากได้ที่ 1 ทีเดียว เมื่อพระ-
ตถาคตเสด็จไปเมืองสาเกตในวันที่นางจุลลสุภัททานิมนต์ ก็จับ
สลากได้เป็นที่ 1 เหมือนกัน ในระหว่างภิกษุ 500 รูป, แม้ใน
คราวเสด็จไปยังชนบทสุนาปรันตปะก็เหมือนกัน ด้วยเหตุเหล่านี้
พระเถระจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จับสลากได้ที่ 1 อนึ่ง
คำว่ากุณฑธาน เป็นชื่อขอท่าน ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่อง
ที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้ :-
ได้ยินว่า ครั้งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระเถระนี้บังเกิดใน
เรือนของครอบครัวกรุงหงสวดี ไปวิหารฟังธรรมโดยนัยดังกล่าว
แล้วนั่นแหละ เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง