เมนู

กล่าวแล้วแก่โยมบ้าง โดยทำนองที่ได้กล่าวแด่พระพุทธเจ้า พระเถระ
รับคำของโยมแล้ว. นางทราบว่าพระเถระรับคำแล้ว จึงให้ทำมณฑป
ใกล้ประตู นิมนต์ให้กล่าวธรรมแก่ตนโดยทำนองที่กล่าวแก่พระทศพล
แล้ว. เรื่องตั้งขึ้นแล้วในที่นี้. ต่อมาพระศาสดาประทับนั่ง ณ ท่ามกลาง
หมู่พระอริยะ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่า
ภิกษุผู้มีวาจาไพเราะแล้ว.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 8

อรรถกถาสูตรที่ 9



ประวัติพระสีวลีเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ลาภีนํ ยทิทํ สีวลี ทรงแสดงว่า เว้นพระตถาคต
พระสีวลีเถระเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีลาภ ในปัญหากรรมของท่าน
มีเรื่องที่จะกล่าวโดยลำดับดังต่อไปนี้
แม้พระเถระนี้ ในอดีตครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ไปพระวิหาร ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท โดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นเทียว
เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของ
เหล่าภิกษุมีลาภ คิดว่า แม้เราก็ควรเป็นผู้มีอย่างนั้นเป็นรูปในอนาคต

จึงนิมนต์พระทศพลถวายมหาทาน 7 วัน กระทำความปรารถนาว่า
ด้วยการกระทำกุศลนี้ แม้ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอย่างอื่น
แต่ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีลาภเหมือนอย่างภิกษุ
ที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ในศาสนาของพระ-
พุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล พระศาสดาทรงเห็นว่าไม่มี
อันตรายสำหรับเธอ จึงทรงพยากรณ์ว่า ความปรารถนาของท่านนี้จัก
สำเร็จในสำนักของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะในอนาคตแล้ว
เสด็จกลับไป กุลบุตรนั้น การทำกุศลตลอดชีพแล้วเวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ครั้งพระวิปัสสีพุทธเจ้า กุลบุตรนั้น
บำเพ็ญกุศลจนตลอดชีพ ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ครั้งพระวิปัสสีพุทธเจ้ามาถือปฏิสนธิในบ้านตำบลหนึ่ง ไม่ไกล
กรุงพันธุมดี สมัยนั้น ชาวเมืองพันธุมดี สั่งสนทนากับพระราชา
ถวายทานแด่พระทศพล วันหนึ่ง คนเหล่านั้น ร่วมกันเป็นอันเดียว
ทั้งหมดถวายทาน คิดว่า ในมุขคือทานของพวกเรา ไม่มีอะไรบ้าง
หนอ ดังนี้ ไม่ได้เห็นน้ำผึ้งแลเนยแข็งแล้ว คนเหล่านั้นจึงวางบุรุษ
ไว้ดักในทางจากชนบทเข้าไปเมืองด้วยตั้งใจว่าจักนำของ 2 อย่าง
นั้นจากข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้างมา ในครั้งนั้น กุลบุตรนี้ ถือเอา
กระบอกเนยแข็งมาจากบ้านของตนคิดว่า จักนำมาหน่อหนึ่งเท่านั้น
เมื่อไปถึงพระนครก็มองหาที่ที่สบายด้วยตั้งใจว่าจะล้างปาก ล้าง
มือและเท้าแล้วจึงเข้าไป เห็นรวงผึ้งที่ไม่มีตัวเท่ากับงอนไถ คิดว่า
สิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยบุญของเรา จึงถือเอาแล้วเข้าไปสู่นคร บุรุษที่
ชาวเมืองวางดักไว้ เห็นกุลบุตรนั้น จึงถามว่า พ่อมหาจำเริญ ท่าน
นำน้ำผึ้งมาให้ใคร เขาตอบว่า ไม่ได้นำมาให้ใครดอกนายท่าน

ก็น้ำผึ้งที่ท่านนำมานี้ขายให้แก่เราเถอะ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถือ
เอากหาปณะนี้ไปแล้วจงให้น้ำผึ้งและเนยแข็งนั้นเถอะ กุลบุตรนั้น
คิดว่า ของนี้ใช่ว่ามีราคามากและบุรุษนี้จะให้มากก็คราวเดียว
เท่านั้น ควรจะลองดู บุรุษนั้น กล่าวว่า เราไม่ให้ด้วยกหาปณะเดียว
แล้วกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงรับเอา 2 กหาปณะแล้วจงให้
กุลบุตรนั้นตอบว่า 2 กหาปณะก็ให้ไม่ให้ บุรุษนั้นจึงเพิ่มโดย
อุบายนี้และเรื่อย ๆ จนถึงพันกหาปณะ กุลบุตรนั้นจึงคิดว่า เรา
ไม่ควรจะลวงเขา ช่างก่อนเถิด เราจ่าจะถามกิจที่จะพึงทำของบุรุษ
นี้ ทีนั้น เขาจึงกล่าวกะบุรุษนั้นว่า ของนี้ไม่มีค่ามาก แต่ท่านให้มาก
ท่านจะเอาสิ่งนี้ไปด้วยกิจกรรมอะไร บุรุษนั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ
ชาวเมืองในเมืองนี้ขัดแย้งกับพระราชาถวายทานแด่พระวิปัสสี-
ทศพล เมื่อไม่เห็นของ 2 สิ่งนี้ในบุญคือทาน จึงพากันแสวงหา
ถ้าไม่ได้สิ่งนี้ชาวเมืองก็จักพ่ายแพ้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าให้พันหนึ่ง
แล้วจงรับเอา เขากล่าวว่า ของสิ่งนี้ ควรให้แก่ชาวเมืองเท่านั้น
หรือควรให้แก่ชนเหล่าอื่น ท่านจะให้ของที่ท่านนำมานี้แก่คนใด
คนหนึ่งหรือ
กุ. ก็มีใครให้ทรัพย์พันหนึ่งในวันเดียวในทานของชาวเมือง
ล่ะ.
บุ. ไม่มีดอกสหาย
กุ. ก็ท่านรู้ว่าของ 2 สิ่งนี้มีค่าพันหนึ่งหรือ.
บุ. จ้ะฉันรู้
กุ. ถ้าอย่างนั้น ท่านจงไปบอกแก่ชาวเมืองเถิดว่า บุรุษ

คนหนึ่งไม่ให้ของ 2 สิ่งนี้ด้วยราคา (แต่) ประสงค์จะให้ด้วยมือ
ของตนเอง พวกท่านอย่าวิตกเพราะเหตุแห่งของ 2 สิ่งนี้เลย.
บุ. ก็ท่านจงเป็นกายสักขีประจักษ์พยานแห่งความเป็น
หัวหน้ามุขคือทานของเราเถิด.
บุรุษนั้น เอามาสกที่ตนเก็บไว้เพื่อใช้สอยที่บ้านซื้อของ
เผ็ดร้อน 5 อย่าง บดจนละเอียด กรองคั้นเอาน้ำส้มจากนมส้ม
แล้วคั้นรวงผึ้งลงในนั้น ปรุงกับผงเครื่องเผ็ดร้อน 5 อย่างแล้ว
ใส่ไว้ในใบบัวใบหนึ่ง จัดห่อนั้นแล้วถือมานั่ง ณ ที่ไม่ไกลพระทศพล
คอยดูวาระที่ถึงตนในระหว่างเครื่องสักการะที่มหาชนนำมา ทราบ
โอกาสแล้วจึงไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
นี้เป็นทุคคตปัณณาการของข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดกรุณารับของ
สิ่งนี้ของข้าพระองค์เถิด พระศาสดาทรงอาศัยความเอ็นแก่บุรุษนั้น
ทรงรับปัณณาการนั้นด้วยบาตรหินที่ท้าวมหาราชทั้ง 4 ถวายแล้ว ทรง
อธิษฐานโดยอาการที่เครื่องปัณณาการนั้นถวายแก่ภิกษุถึง 68,000 องค์
ก็ไม่สิ้นเปลืองไป กุลบุตรแม้นั้น ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
ซึ่งเสวยเสร็จแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง กราบทูลว่า "ข้า-
พระองค์พบพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว วันนี้ชาวเมืองพันธุมดีนำ
สักการะมาถวายพระองค์ แม้ข้าพระองค์พึงเป็นผู้ถึงความเป็น
ยอดทางลาภและเป็นยอดทางยศในภพที่เกิดแล้วด้วยผลแห่งธรรมนี้.
พระศาสดาตรัสว่า ความปรารถนาจงสำเร็จอย่างนั้นเถิดกุลบุตร,
แล้วทรงกระทำอนุโมทนาภัตรแก่กุลบุตรนั้นและแก่ชาวเมืองแล้ว
เสด็จกลับไป.

ฝ่ายกุลบุตรนั้นกระทำกุศลจนตลอดชีพแล้ว เวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระราชธิดา
พระนามว่า สุปปวาสา ในพุทธุบาทกาลนี้ ตั้งแต่เวลาถือปฏิสนธิ
พระนางสุปปวาสารับเครื่องบรรณาการถึง 500 ทั้งเช้าทั้งเย็น
ครั้งนั้นพวกพระญาติต้องการจะทดลองบุญ จึงให้พระนางนั้นเอา
พระหัตถ์ถูกต้องกระเช้าพืช หน่อออกมาจากพืชชนิดหนึ่ง ๆ ร้อยหนึ่ง
บ้าง พันหนึ่งบ้าง ข้าวเกิดขึ้นจากนากรีสหนึ่ง 50 เกวียนบ้าง
60 เกวียนบ้าง แม้เวลาจะทำยุ้งฉางให้เต็ม ก็ทรงเอาพระหัตถ์
ถูกต้องประตูยุ้งฉาง ที่ตรงที่พระราชธิดาจับแล้วจับอีก ก็กลับ
เต็มอีกเพราะบุญ เมื่อคนทั้งหลายกล่าวว่า "บุญของพระราชธิดา"
แล้วคดจากหม้อที่มีข้าวสวยเต็มให้แก่คนใดคนหนึ่ง ยังไม่ยกพระหัตถ์
ออกเพียงใด ข้าวสวยก็ไม่สิ้นเปลืองไปเพียงนั้น.

เมื่อทารกอยู่ในครรภ์นั่นเอง เวลาล่วงไปถึง 7 ปีแต่เมื่อ
ครรภ์แก่ นางเสวยทุกข์ใหญ่อยู่ถึง 7 วัน นางปรึกษาสามีว่า
ก่อนแต่จะตาย ฉันจะถวายทานทั้งที่มีชีวิตอยู่เทียว จึงส่งสามีไปเฝ้า
พระศาสดา ด้วยกล่าวว่า ท่านจงไปกราบทูลเรื่องนี้แด่พระศาสดา
แล้วนิมนต์พระศาสดา อนึ่งพระศาสดาตรัสคำใด ท่านจงตั้งใจ
กำหนดคำนั้นให้ดี แล้วกลับมาบอกฉัน สามีไปแล้วกราบทูลข่าวแด่
พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า พระนางสุปปวาสาโกฬิยธิดาจงมี
ความสุข จงมีความสบาย ไม่มีโรค จงคลอดบุตรที่หาโรคมิได้เถิด
พระราชาทรงสดับข่าวนั้นจึงถวายบังคมพระศาสดา ทรงมุ่งหน้า
เสด็จกลับพระราชนิเวศน์ พระกุมารก็คลอดจากพระครรภ์ของ

พระนางสุปปวาสาง่ายเหมือนน้ำออกจากที่กรงน้ำฉะนั้น คนที่นั่ง
ล้อมอยู่เริ่มหัวเราะ ทั้งที่หน้านองด้วยน้ำตา มหาชนยินดีแล้ว ร่าเริง
แล้ว ได้ไปกราบทูลข่าวที่น่ายินดีแด่พระราชา พระราชาทรงเห็น
อาการของชนเหล่านั้นทรงดำริว่า พระดำรัสที่พระทศพลตรัสแล้ว
เห็นจะเป็นผลแล้ว พระองค์เสด็จมากราบทูลข่าวของพระราชธิดา
แด่พระทศพล พระราชธิดาตรัสว่า อาหารสำหรับคนเป็นที่พระองค์
นิมนต์ไว้จักเป็นอาหารที่เป็นมงคล ขอพระองค์จงไปนิมนต์พระทศพล
7 วันเถิดเพคะ. พระราชาทรงกระทำดังนั้น ถวายทานแด่พระภิกษุ
สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน 7 วัน ทารกดับจิตที่เร่าร้อน
ของพระประยูรญาติทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติจึงเฉลิม
พระนามของกุมารนั้นว่า "สีวลีทารก" สีวลีทารกนั้นเป็นผู้ทนกรรม
ทุกอย่างตั้งแต่เกิด เพราะอยู่ในพระครรภ์ถึง 7 ปี พระธรรม-
เสนาบดีสารีบุตรได้สนทนาปราศรัยกับสีวลีนั้น ในวันที่ 7 แม้พระ-
ศาสดาได้ทรงภาณิตถาคาในธรรมบทว่า

โย อิมํ ปลิปถํ ทุคฺคํ สํสารํ โมหมจฺจคา
ติณฺโณ ปารคโต ฌายี อเนญฺโช อกถํกถี
อนุปาทาย นิพฺพุตํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ

ผู้ใดข้ามทางอันตรายคือสงสารอันข้ามได้
ยากนี้ ถึงฝั่งแล้ว เป็นผู้มีอันเพ่งฌาน ก้าวล่วง
โอฆะ ไม่หวั่นไหว ไม่มีความสงสัย เราเรียก
นั้นว่า เป็นพราหมณ์ ดังนี้.

คราวนั้น พระเถระกล่าวกะสีวลีทารกนั้นอย่างนี้ว่า ก็เธอ
ได้เสวยกองทุกข์เห็นปานนี้ แล้วบวชเสียไม่สมควรหรือ สีวลี. ตอบว่า
ผมเมื่อได้ก็พึงบวช ท่านผู้เจริญ พระนางสุปปวาสาเห็นทารกนั้น
พูดอยู่กับพระเถระ คิดว่า บุตรของเราพูดอะไรหนอกับพระธรรม-
เสนาบดี จึงเข้าไปหาพระเถระถามว่า บุตรของดิฉันพูดอะไรกับ
พระคุณเจ้า เจ้าค๊ะ พระเถระกล่าวว่า บุตรของท่าน ถึงความทุกข์
ที่อยู่ในครรภ์ที่ตนเสวยแล้วกล่าวว่า ท่านอนุญาตแล้วจักบวช พระ
นางสุปปวาสาตรัสว่า ดีละเจ้าข้า โปรดให้เขาบรรพชาเถิด พระเถระ
นำทารกนั้นไปวิหาร ให้ตจปัญจกกัมมัฏฐาน เมื่อจะให้บรรพชา
กล่าวว่า สีวลี เราไม่จำต้องให้โอวาทดอก เธอจงพิจารณาทุกข์
ที่เธอเสวยมาถึง 7 ปีนั่นแหละ สีวลีกล่าวว่า การให้บวชเท่านั้น
เป็นหน้าที่ของท่าน ส่วนผมจักรู้กิจที่ผมทำได้. สีวลีนั้น ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผลในขณะที่โกนผมปอยแรกที่เขาโกนแล้วนั่นเอง ขณะ
โกนปอยที่ 2 ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ในขณะโกนผมปอยที่ 3
ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ก็การโกนผมหมด และการกระทำให้แจ้ง
พระอรหัตได้มีไม่ก่อนไม่หลังกัน ตั้งแต่วันที่ท่านบวชแล้ว ปัจจัย 4
เกิดขึ้นแก่ภิกษุสงฆ์พอแก่ความต้องการ. เรื่องตั้งขึ้นในที่นี้ด้วย
ประการนี้.

ต่อมา พระศาสดาได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี พระเถระถวาย
บังคมพระศาสดาแล้วทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักทดลองบุญ
ของข้าพระองค์ โปรดประทานภิกษุ 500 รูปแก่ข้าพระองค์.
ตรัสว่า รับไปเถอะสีวลี. เทวดาที่สิงอยู่ ณ ต้นนิโครธได้เห็นทีแรก

ได้ถวายทานแด่พระเถระนั้นถึง 7 วัน
ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
นิโคฺรชฺปฐมํ ปสฺสิ ทุตฺยํ ปณฺฑวปพฺพตํ
ตติยํ อจิรวติยํ จตุตฺถํ วรสาครํ
ปญฺจมํ หิมวนฺตํ โส อฏฐํ ฉทฺทนฺตุปาคมิ
สตฺตมํ คนฺธมาทนํ อฏฺฐมํ อถ เรวตํ
เห็นครั้งแรก ที่ต้นนิโครธ เห็นครั้งที่สอง ภูเขาปัณฑวะ
ครั้งที่สาม แม่น้ำอจิรวดี ครั้งที่สี่ ทะเล
ครั้งที่ 5 ป่าหิมพานต์ ครั้งที่ 6 สระฉันทันต์
ครั้งที่ 7 ภูเขาคันธมาทน์ ครั้งที่ 8 ไปอยู่ที่พระเรวตะ

ในที่ทุกแห่ง เทวดาได้ถวายทานแห่งละ 7 วัน ๆ ก็ที่ภูเขาคันธมาทน์
ท้าวเทวราชชื่อนาคทัต ใน 7 วัน ได้ถวายบิณฑบาตเจือด้วยน้ำนม
วันหนึ่ง, ได้ถวายบิณฑบาตเจือด้วยเนยใส วันหนึ่ง, ภิกษุสงฆ์กล่าวว่า
ผู้มีอายุ แม้โคนมของเทวราชนี้ไม่ปรากฏที่เขารีดน้ำนม การคั้นเนยใส
ก็ไม่มี. ข้าแต่เทวราช ผดอันนี้เกิดขึ้นแก่พระองค์มาได้อย่างไร.
ท้าวเทวราชกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า นี้เป็นผลแห่งการถวายสลากภัตร
เจือน้ำนมแด่พระทศพล ครั้งพระทศพลกัสสปพุทธเจ้า ภายหลังพระ
ศาสดาทรงกระทำการที่เทวดากระทำการต้อนรับพระเถระนั้น
ผู้อยู่ในป่าไม้ตะเคียน ให้เป็นอัตถุบัติเหตุเกิดเรื่อง จึงทรงสถาปนา
พระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ถึงความมีลาภ
อย่างเลิศในศาสนาของพระองค์.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 9

อรรถกถาสูตรที่ 10



ประวัติพระวักกลิเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า สทฺธาธิมุตฺตานํ ทรงแสดงว่า พระวักกลิเถระ
เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้น้อมใจไปด้วยศรัทธา มีศรัทธาแรง จริงอยู่
ศรัทธาของคนอื่น ๆ มีแต่ทำให้เจริญ ส่วนของพระเถระต้องลดลง
เพราะฉะนั้นพระเถระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นยอด
ของเหล่าภิกษุผู้น้อมใจไปด้วยศรัทธา. คำว่า วักกลิ เป็นชื่อของ
พระเถระนั้น. ในปัญหากรรมของพระเถระนั้น มีเรื่องที่จะกล่าว
ตามลำดับต่อไปนี้ :-
ดังจะกล่าวโดยย่อ ในอดีตกาล ครั้งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า
พระเถระนี้ไปวิหารยืนฟังธรรมท้ายบริษัทโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นยอด
ของเหล่าภิกษุผู้น้อมใจไปด้วยศรัทธา จึงคิดว่า แม้เราก็ควรเป็น
เช่นนี้ในอนาคตกาล จึงนิมนต์พระศาสดาโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล
ถวายมหาทาน 7 วัน ถวายบังคมพระทศพลแล้วกระทำความ
ปรารถนาว่า พระเจ้าข้า ด้วยกุศลกรรมอันนี้ ขอข้าพระองค์พึง
เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้น้อมใจไปด้วยศรัทธา ในศาสนาของพระ-
พุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตเหมือนภิกษุที่พระองค์ทรงสถาปนา
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะของเหล่าภิกษุผู้น้อมใจไปด้วยศรัทธา.