เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 10



ประวัติพระมหากัจจายนเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้.
บทว่า สงฺขิตฺเตน ภาสิตสฺส ความว่า ของธรรมที่ตรัสไว้
โดยย่อ. บทว่า วิตฺถาเรน อตฺถํ วิภชนฺตานํ ความว่า จำแนกอรรถ
ออกทำเทศนานั้นให้พิสดาร. นัยว่าพวกภิกษุเหล่าอื่นไม่อาจทำ
พระดำรัสโดยย่อของพระตถาคตให้บริบูรณ์ ทั้งโดยอรรถทั้งโดย
พยัญชนะได้ แต่พระเถระนี้อาจทำให้บริบูรณ์ได้แม้โดยทั้ง 2 อย่าง
เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่าเป็นยอด. ก็แม้ความปรารถนาแต่ปาง
ก่อนของพระเถระนั้น ก็เป็นอย่างนี้. อนึ่ง ในปัญหากรรมของ
พระเถระนั้น มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้ :-

ได้ยินว่า ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
พระเถระนั้นบังเกิดในสกุลคฤหบดีผู้มหาศาล เจริญวัยแล้ว วันหนึ่ง
ไปวิหารตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท เห็น
ภิกษุรูปหนึ่งที่พระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเป็นยอด
ของเหล่าภิกษุผู้จำแนกอรรถแห่งพระดำรัสที่พระองค์ตรัสโดยย่อ
ให้พิสดาร จึงคิดว่า ภิกษุซึ่งพระศาสดาทรงชมเชยอย่างนี้เป็นใหญ่
หนอ แม้ในอนาคตกาล เราก็ควรเป็นอย่างภิกษุนี้ในศาสนาของ
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งดังนี้. จึงนิมนต์พระศาสดาถวายมหาทาน

7 วัน ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. หมอบลงแทบบาทมูลของพระ-
ศาสดา การทำความปรารถนาว่าพระเจ้าข้า ด้วยผลแห่งสักการะนี้
ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอื่น แต่ในอนาคตกาล ขอข้าพระองค์
พึงได้ตำแหน่งนั้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เหมือน
ภิกษุที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่ง ในวันสุดท้าย 7 วัน
นับแต่วันนี้ พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาล ทรงเห็นว่า ความ
ปรารถนาของกุลบุตรนี้จักสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่า กุลบุตร
ผู้เจริญ ในที่สุดแห่งแสนกัปในอนาคต พระพุทธเจ้าพระนามว่า
โคดม จักทรงอุบัติขึ้น ท่านจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จำแนก
อรรถแห่งคำที่ตรัสโดยสังเขปให้พิสดาร ในศาสนาของพระองค์
ดังนี้ทรงกระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จกลับไป.

ฝ่ายกุลบุตรนั้นบำเพ็ญกุศลตลอดชีพแล้วเวียนว่ายในเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายแสนกัป ครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าก็มาถือปฏิสนธิ
ในครอบครัวกรุงพาราณสี เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ก็ไป
ยังสถานที่สร้างเจดีย์ทอง จึงเอาอิฐทองมีค่าแสนหนึ่งบูชา ตั้งความ
ปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า สรีระของข้าพระองค์
จงมีวรรณเพียงดังทองในที่ ๆ เกิดแล้วเถิด. ต่อแต่นั้น ก็การทำ
กุศลกรรมตราบเท่าชีวิต เวียนว่ายในเทวดาและมนุษย์พุทธันดร
หนึ่ง ครั้งพระทศพลของเราอุบัติ มาบังเกิดในเรือนแห่งปุโรหิต
ในกรุงอุชเชนี ในวันขนานนามท่าน มารดาบิดาปรึกษากันว่า
บุตรของเรามีสรีระมีผิวดังทอง คงจะถือเอาชื่อของตนมาแล้ว จึง
ขนานนามท่านว่า กาญจนมาณพ ดังนี้.

พอท่านโตขึ้นแล้วก็ศึกษาไตรเพท เมื่อบิดาวายชนม์แล้ว
ก็ได้ตำแหน่งปุโรหิตแทน โดยโคตรชื่อว่ากัจจายนะ พระเจ้าจัณฑ-
ปัชโชตทรงประชุมอำมาตย์แล้วมีพระราชดำรัสว่า พระพุทธเจ้า
ทรงบังเกิดขึ้นในโลกแล้ว พวกเจ้าเป็นผู้สามารถจะทูลนำพระองค์
มาได้ ก็จงนำพระองค์มานะพ่อนะ อำมาตย์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ
คนอื่นชื่อว่าเป็นผู้สามารถจะนำพระทศพลมาไม่มี อาจารย์กาญจน-
พราหมณ์เท่านั้นสามารถ ขอจงทรงส่งท่านไปเถิดพระเจ้าข้า
พระราชาตรัสเรียกให้กัจจายนะมาตรัสสั่งว่า พ่อจงไปยังสำนัก
ของพระทศพลเจ้า อ.ทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เมื่อข้าพระองค์
ไปแล้วได้บวชก็จักไป พระราชาตรัสว่า เจ้าจะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
แล้วก็น่าพระตถาคตมาซิพ่อ. กัจจายนอำมาตย์นั้นคิดว่า สำหรับ
ผู้ไปสำนักของพระพุทธเจ้าไม่จำต้องทำด้วยคนจำนวนมาก ๆ
จึงไปเพียง 8 คน. ครั้งนั้นพระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่อำมาตย์
นั้น จบเทศนาท่านได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทากับ
ชนทั้ง 7 คน พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า เอถ ภิกฺขโว
(ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุเถิด) ในขณะนั้นนั่นเทียว ทุก ๆ คนก็มี
ผมและหนวดหายไป ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ เป็น
ประดุจพระเถระ 100 พรรษาฉะนั้น. พระเถระเมื่อกิจของตน
ถึงที่สุดแล้วไม่นั่งนิ่ง กล่าวสรรเสริญการเสด็จไปกรุงอุชเชนี
ถวายพระศาสดาเหมือนพระกาฬุทายีเถระ พระศาสดาสดับคำ
ของท่านแล้วทรงทราบว่า พระกัจจายนะย่อมหวังการไปของเรา
ในชาติภูมิของตน แต่ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงอาศัยเหตุ
อันหนึ่ง จึงไม่เสด็จไปสู่ที่ที่ไม่สมควรเสด็จ. เพราะฉะนั้นจึงตรัสกะ

พระเถระว่า ภิกษุ ท่านนั่นแหละจงไป เมื่อท่านไปแล้ว พระราชา
จักทรงเลื่อมใส พระเถระคิดว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ตรัสเป็น
คำสอง ดังนี้จึงถวายบังคมพระตถาคต ไปกรุงอุชเชนีพร้อมกับ
ภิกษุทั้ง 7 รูปที่มาพร้อมกับตนนั่นแหละ ในระหว่างทางภิกษุ
เหล่านั้นได้เที่ยวบิณฑบาตในนิคมชื่อว่า นาลินิคม.
ในนิคมแม้นั้น มีธิดาเศรษฐี 2 คน คนหนึ่งเกิดในตระกูล
เก่าแก่เข็ญใจ เมื่อมารดาบิดาล่วงไปแล้ว ก็อาศัยเป็นนางนมเลี้ยง
ชีพ. แต่อัตภาพของเธอบึกบึน ผมยาวเกินคนอื่น ๆ, ในนิคมนั้น
นั่นแหละ ยังมีธิดาของตระกูลอิศรเศรษฐีอีกคนหนึ่ง เป็นคนไม่มีผม
เมื่อก่อนนั้นมาแม้นางจะกล่าวว่า ขอให้นาง (ผมดก) ส่งไปให้
ฉันจักให้ทรัพย์ 100 หนึ่ง หรือ 1,000 หนึ่งแก่เธอ ก็ให้เขานำ
ผมมาไม่ได้ ก็ในวันนั้น ธิดาเศรษฐีนั้นเห็นพระมหากัจจายนเถระ
มีภิกษุ 7 รูปเป็นบริวาร เดินมามีบาตรเปล่า คิดว่าภิกษุผู้เป็น
เผ่าพันธุ์พราหมณ์รูปหนึ่ง มีผิวดังทองรูปนี้เดินไปบาตรเปล่า
ทรัพย์อย่างอื่นของเราก็ไม่มี แต่ว่าธิดาเศรษฐีบ้านโน้น (เคย)
ส่ง (คน) มาเพื่อต้องการผมนี้ ตอนนี้เราอาจถวายไทยธรรมแก่
พระเถระได้ด้วยทรัพย์ที่เกิดจากที่ได้ค่าผมนี้ ดังนี้จึงส่งสาวใช้
ไปนิมนต์พระเถระทั้งหลายให้นั่งภายในเรือน พอพระเถระนั่งแล้ว
(นาง) ก็เข้าห้องตัดผมของตน กล่าวว่า แน่แม่ จงเอาผมเหล่านี้
ให้แก่ธิดาเศรษฐีบ้านโน้น แล้วเอาของที่นางให้มา เราจะถวาย
บิณฑบาตแก่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย. สาวใช้เอาหลังมือเช็ดน้ำตา
เอามือข้างหนึ่งกุมเนื้อตรงหัวใจปกปิดไว้ในสำนักพระเถระทั้งหลาย
ถือผมนั้นไปยังสำนักของธิดาเศรษฐี. ธรรมดาขึ้นชื่อว่าของที่จะขาย

แม้มีสาระ (ราคา) เจ้าของนำไปให้เอง ก็ไม่ทำให้เกิดความเกรงใจ.
ฉะนั้น ธิดาเศรษฐีจึงคิดว่า เมื่อก่อนเราไม่อาจจะให้นำผมเหล่านี้
มาได้ด้วยทรัพย์เป็นอันมาก แต่บัดนี้ตั้งแต่เวลาตัดออกแล้ว ก็ไม่ได้
ตามราคาเดิม จึงกล่าวกะสาวใช้ว่า เมื่อก่อนฉันไม่อาจให้นำผมไป
แม้ด้วยทรัพย์เป็นอันมาก แต่ผมนี้นำไปที่ไหน ๆ ก็ได้ ไม่ใช่ผมของ
คนเป็น มีราคาแค่ 8 กหาปณะ จึงให้ไป 8 กหาปณะเท่านั้น สาวใช้
นำกหาปณะไปมอบให้แก่ธิดาเศรษฐี. ธิดาเศรษฐีก็จัดบิณฑบาต
แต่ละที่ ให้มีค่าที่ละกหาปณะหนึ่ง ๆ ให้ถวายแด่พระเถระทั้งหลาย
แล้ว. พระเถระรำพึงแล้ว เห็นอุปนิสัยของธิดาเศรษฐี จึงถามว่า
ธิดาเศรษฐีไปไหนะ สาวใช้ตอบว่า อยู่ในห้องเจ้าค่ะ พระเถระว่า
จงไปเรียกนางมาซิ. พระเถระพูดครั้งเดียวนางมาด้วยความเคารพ
ในพระเถระ ไหว้พระเถระแล้วเกิดศรัทธาอย่างแรง บิณฑบาต
ที่ตั้งไว้ในเขตอันบริสุทธิ์ ย่อมให้วิบากในปัจจุบันชาติทีเดียว เพราะ
ฉะนั้น พร้อมกับการไหว้พระเถระ ผมทั้งหลายจึงกลับมาตั้งอยู่เป็น
ปกติ.
ฝ่ายพระเถระทั้งหลายถือเอาบิณฑบาตนั้นเหาะขึ้นไปทั้งที่
ธิดาเศรษฐีเห็น ก็ลงพระราชอุทยานชื่ออุทธยานกัญจนะ คนเฝ้า
พระราชอุทยานเห็นพระเถระนั้นแล้วจึงไปเข้าเฝ้าพระราชา กราบ
ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระคุณเจ้าภัจจายนะปุโรหิตของเราบวช
แล้วกลับมายังอุทยานแล้วพระเจ้าข้า พระเจ้าจัณฑปัชโชตจึงเสด็จ
ไปยังอุทยาน ไหว้พระเถระผู้กระทำภัตกิจแล้วด้วยเบญจางคประดิษฐ์
แล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง ตรัสถามว่า ท่านเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนล่ะ พระเถระทูลว่า พระองค์

มิได้เสด็จมาเอง ทรงส่งอาตมะมา มหาบพิตร พระราชาตรัสถามว่า
ท่านผู้เจริญ วันนี้พระคุณเจ้าได้ภิกษา ณ ที่ไหน พระเถระทูล
บอกเรื่องที่กระทำได้โดยยากที่ธิดาเศรษฐีกระทำทุกอย่างให้
พระราชาทรงทราบ ตามถ้อยคำควรแก่ที่ตรัสถาม พระราชา
ตรัสให้จัดแจงที่อยู่แก่พระเถระแล้วนิมนต์พระเถระไปยังนิเวศน์
แล้วรับสั่งให้ไปนำธิดาเศรษฐีมาตั้งไว้ในตำแหน่งอัครมเหษีแล้ว
ก็การได้ยศในปัจจุบันชาติได้มีแล้วแก่หญิงนี้ จำเดิมแต่นั้นพระราชา
ทรงกระทำสักการะใหญ่แก่พระเถระ มหาชนเลื่อมใสในธรรมกถา
ของพระเถระ บวชในสำนักของพระเถระ จำเดิมแต่กาลนั้น ทั่ว
พระนครก็รุ่งเรื่องด้วยผ้ากาสาวพัตรเป็นอันเดียวกัน คลาคล่ำ
ไปด้วยหมู่ฤาษี ฝ่ายพระเทวีนั้นทรงครรภ์ พอล่วงทศมาสก็ประสูติ
พระโอรส ในวันถวายพระนามโอรสนั้น พระญาติทั้งหลายถวาย
พระนามของเศรษฐีผู้เป็นตาว่า โคปาลกุมาร. พระมารดาก็มี
พระนามว่า โคปาลมารดาเทวี ตามชื่อของพระโอรส พระนาง
ทรงเลื่อมใสในพระเถระอย่างยิ่ง ขอพระราชานุญาตสร้างวิหาร
ถวายพระเถระในกัญจนราชอุทยาน. พระเถระยังชาวอุชเชนี
ให้เลื่อมใสแล้ว ไปเฝ้าพระศาสดาอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาภายหลัง
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงการทำพระสูตร
3 สูตร เหล่านี้คือ มธุบิณฑิกสูตร, กัจจายนเปยยาลสูตร, ปรายน-
สูตร ให้เป็นอรรถุปบัติเหตุ แล้วทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่ง
เป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้จำแนกอรรถแห่งพระดำรัสที่ทรงตรัส
โดยย่อให้พิสดารแล้ว.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 10
จบวรรคที่ 10

วรรคที่ 2



อรรถกถาสูตรที่ 1-2



ประวัติพระจุลลปัณฐกเถระ และพระมหาปัณฐกเถระ



วรรคที่ 2 สูตรที่ 1

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มโนมยํ ความว่า กายที่บังเกิดขึ้นด้วยใจ ในอาคตสถาน
ที่ตรัสไว้ว่า "เข้าไปหาแล้วด้วยมโนมยิทธิทางกาย" ชื่อว่ากาย-
มโนมัย. กายที่บังเกิดขึ้นด้วยใจในอาคตสถานที่กล่าวไว้ว่า ย่อม
เข้าถึงกาย้อนสำเร็จด้วยใจอย่างใดอย่างหนึ่ง" ก็ชื่อว่ากายมโนมัย.
ในที่นี้ ประสงค์เอากายมโนมัยนี้.
ในกายทั้ง 2 อย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายเหล่าอื่น เมื่อทำมโนมัย-
กายให้เกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดขึ้น 3 บ้าง 4 บ้าง แต่ทำคนมากให้
บังเกิดเป็นเหมือนคนเดียวกันไม่ได้, ชื่อว่ากระทำกรรมได้อย่าง
เดียวเท่านั้น. ส่วนพระเถระชื่อว่าจุลลปัณฐก นิรมิตพระ 1,000 รูป
ได้ด้วยอาวัชชนะเดียว แต่กระทำแก่ 2 คนให้เสมือนเป็นคน ๆ เดียว
กันไม่ได้ ชื่อว่ากระทำกรรมอย่างเดียวไม่ได้. เพราะฉะนั้น ท่าน
ชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้นิรมิตมโนมัยกาย. พระจุลลปัณฐก
นับว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุ คือภิกษุผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ. ส่วน
พระมหาปัณฐกเถระท่านกล่าวว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ฉลาด
ในปัญญาวิวัฏฏะ. บรรดาทั้งสองรูปนั้น พระจุลลปัณฐกเถระท่าน
กล่าวว่าเป็นผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ เพราะได้รูปาวจรฌาน 4.
พระมหาปัณฐกเถระท่านกล่าวว่า เป็นผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฏะ