เมนู

อยู่ทีเดียว ทำกิจแห่งมรรค 3 เบื้องสูงให้สำเร็จถึงที่สุดแห่งสาวก-
บารมีญาณ. แม้พระสารีบุตรเถระล่วงเลยเวลาไปครึ่งเดือนตั้งแต่
วันบวช เข้าไปอาศัยกรุงราชคฤห์นั้นนั่นแหละอยู่ในถ้ำสุกรขาตา
กับพระศาสดา เมื่อพระศาสดาทรงแสดงเวทนาปริคหสูตรแก่
ทีฆนขปริพาชกผู้เป็นหลานของตน ได้ส่งญาณไปตามกระแสพระสูตร
ก็ได้บรรลุถึงที่สุดสาวกบารมีญาณ เหมือนบริโภคข้าวที่คดไว้
เพื่อคนอื่น ส่วนหลานของท่านาตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ในเวลาจบ
เทศนา. ดังนั้น เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์นั่นแล
กิจแห่งสาวกบารมีญาณของพระอัครสาวกแม้ทั้งสองได้ถึงที่สุด
แล้ว. ก็ในเวลาต่อมาอีก พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ได้
ทรงสถาปนาพระมหาสาวกแม้ทั้งสองไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า
สารีบุตรเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก มหาโมคคัล-
ลานะเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์มาก ดังนี้.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 2 - 3

อรรถกถาสูตรที่ 4



ประวัติพระมหากัสสปเถระ



ในสูตรที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ในบทว่า ธุตวาทานํ นี้ พึงทราบธุตบุคคล (บุคคลผู้กำจัดกิเลส)
ธุตวาทะ (การสอนเรื่องการกำจัดกิเลส) ธุตธรรม (ธรรมเครื่อง
กำจัดกิเลส) ธุดงค์ (องค์ของผู้กำจัดกิเลส).

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธุโต ได้แก่ บุคคลกำจัดกิเลส
หรือธรรมอันกำจัดกิเลส.

ก็ในบทว่า ธุตวาโท นี้(พึงทราบว่า) มีบุคคลผู้กำจัดกิเลส
ไม่มีการสอนเรื่องกำจัดกิเลส 1 มีบุคคลผู้ไม่กำจัดกิเลสแต่มีการ
สอนเรื่องกำจัดกิเลส 1 มีบุคคลผู้ไม่กำจัดกิเลส ทั้งไม่มีการสอน
เรื่องกำจัดกิเลส 1 มีบุคคลผู้ทั้งกำจัดกิเลสและมีการสอนเรื่อง
กำจัดกิเลส 1. ในบรรดาบุคคลเหล่านั้น บุคคลได้กำจัดกิเลสของ
ตนด้วยธุดงค์ แต่ไม่โอวาทไม่อนุศาสน์คนอื่นด้วยธุดงค์เหมือน
พระพักกุลเถระ บุคคลนี้ชื่อว่าผู้กำจัดกิเลสแต่ไม่มีการสอนเรื่อง
กำจัดกิเลส เหมือนดังท่านกล่าวว่า คือ ท่านพระพักกุละเป็นผู้กำจัด
กิเลส แต่ไม่มีการสอนเรื่องกำจัดกิเลส. แก่บุคคลใดไม่กำจัดกิเลส
ของตนด้วยธุดงค์ แต่โอวาทอนุศาสน์ คนอื่นด้วยธุดงค์อย่างเดียว
เหมือนพระอุปนันทเถระ ก็บุคคลนี้ชื่อว่าไม่เป็นผู้กำจัดกิเลส แต่มี
การสอนเรื่องกำจัดกิเลส เหมือนดังท่านกล่าวว่า คือ ท่านพระ
อุปนันทะ ศากยบุตร ไม่เป็นกำจัดกิเลส แต่มีการสอนเรื่องกำจัดกิเลส.
ก็บุคคลใดไม่กำจัดกิเลสของตนด้วยธุดงค์ ไม่โอวาท ไม่อนุศาสน์
คนอื่นด้วยธุดงค์ เหมือนพระโลลุทายีเถระ ก็บุคคลนี้ชื่อว่าไม่เป็น
ผู้กำจัดกิเลส (และ) ไม่มีการสอนเรื่องกำจัดกิเลส เหมือนดังท่าน
กล่าวว่า คือ ท่านพระมหาโลลุทายีไม่เป็นผู้กำจัดกิเลส ไม่มีการ
สอนเรื่องกำจัดกิเลส. ส่วนบุคคลใดสมบูรณ์ด้วยการกำจัดกิเลส
และมีการสอนเรื่องกำจัดกิเลส เหมือนพระมหากัสสปเถระ บุคคลนี้
ชื่อว่าเป็นผู้กำจัดกิเลสและมีการสอนเรื่องกำจัดกิเลสเหมือนดัง

ท่านกล่าวว่า คือ ท่านพระมหากัสสปะเป็นผู้กำจัดกิเลพและมีการ
สอนเรื่องกำจัดกิเลส ดังนี้.
บทว่า ธุตธมฺมา เวทิตพฺพา ความว่า ธรรม 5 ประการ
อันเป็นบริวารของธุดงคเจตนาเหล่านี้ คือ ความเป็นผู้มักน้อย 1
ความเป็นผู้สันโดษ 1 ความเป็นผู้ขัดเกลา 1 ความเป็นผู้สงัด 1
ความเป็นผู้มีสิ่งนี้ 1 ชื่อว่าธรรมเครื่องกำจัดกิเลส เพราะพระบาลี
ว่า อปฺปิจฺฉํเยว นิสฺสาย (อาศัยความมักน้อยเท่านั้น) ดังนี้
เป็นต้น. ในธรรม 5 ประการนั้น ความมักน้อยและความสันโดษ
เป็นอโลภะ. ความขัดเกลาและความวิเวกจัดเข้าในธรรม 2 ประการ
คือ อโลภะและอโมหะ. ความเป็นผู้มีสิ่งนี้คือ ญาณนั่นเอง. บรรดา
อโลภะและอโมหะเหล่านั้น กำจัดความโลภในวัตถุที่ต้องห้ามด้วย
อโลภะ กำจัดโมหะอันปกปิดโทษในวัตถุที่ต้องห้ามเหล่านั้นแหละ
ด้วยอโมหะ อนึ่งกำจัดกามสุขัลลิกานุโยคอันเป็นไปโดยมุข คือ
การส้องเสพสิ่งที่ทรงอนุญาต ด้วยอโลภะ กำจัดอัตตกิลมถานุโยค
อันเป็นไปโดยมุขคือ การขัดเกลายิ่งในธุดงค์ทั้งหลาย ด้วยอโมหะ
เพราะฉะนั้นธรรมเหล่านี้ พึงทราบว่าธรรมเครื่องกำจัดกิเลส.
บทว่า ธุตงฺคานิ เวทิตพฺพานิ ความว่า พึงทราบธุดงค์ 13
คือ ปังสุกูลิกังคะ (องค์ของภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร) ฯลฯ
เนสัชชิกังคะ (องค์ของภิกษุผู้ถือการนั่งเป็นวัตร).
บทว่า ธุตวาทานํ ยทิทํ มหากสฺสโป ความว่า ทรงสถาปนา
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในระหว่างภิกษุผู้สอนธุดงค์ว่า มหากัสสป-
เถระนี้เป็นยอด. บทว่า มหากสฺสโป ความว่า ท่านกล่าวว่า ท่าน

พระมหากัสสปะองค์นี้ เพราะเทียบกับพระเถระเล็กน้อยเหล่านี้
คือ พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ พระกุมาร-
กัสสปะ. ในปัญหากรรม แม้ของพระมหากัสสปะนี้มีเรื่องที่กล่าว
ตามลำดับดังต่อไป

ได้ยินว่า ในอดีตกาล ปลายแสนกัป พระศาสนาพระนามว่า
ปทุมุตตระ อุบัติขึ้นในโลก เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปอาศัยกรุงหงสวดี
ประทับอยู่ในเขมมฤคทายวัน กุฎุมพีนามว่า เวเทหะ มีทรัพย์สมบัติ
80 โกฎิ บริโภคอาหารดีแต่เช้าตรู่ อธิษฐานองค์อุโบสถ ถือของหอม
และดอกไม้เป็นต้นไปพระวิหารบูชาพระศาสดา ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง. ขณะนั้น พระศาสดาทรงสถาปนาสาวกองค์ที่ 3
นามว่ามหานิสภเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นิสภะเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้สอนธุดงค์. อุบาสกฟัง
พระดำรัสนั้นแล้วเลื่อมใสเวลาจบธรรมกถา มหาชนลุกไปแล้ว
จึงถวายบังคมพระศาสดากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
พระองค์ทรงรับภิกษาของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้. พระศาสดา
ตรัสว่า อุบาสก ภิกษุสงฆ์มากนะ อุบาสกทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้
มีพระภาคเจ้า ภิกษุสงฆ์มีประมาณเท่าไร ? พระศาสดาตรัสว่า
มีประมาณหกล้านแปดแสนองค์ อุบาสกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอพระองค์จงรับภิกษา แม้แต่สามเณรรูปเดียวก็อย่าเหลือ
ไว้ในวิหาร. พระศาสดาทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ. อุบาสก
รู้ว่าพระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว จึงไปเรือนตระเตรียมมหาทาน
ในวันรุ่งขึ้น ส่งให้คนไปกราบทูลเวลา (ภัตตาหาร) สู่พระศาสดา.

พระศาสดาทรงถือบาตรและจีวร มีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมไปยังเรือน
ของอุบาสก ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาแต่งไว้ถวาย. เวลาเสร็จ
หลั่งน้ำทักษิโณทก ทรงรับข้าวต้มเป็นต้น ได้ทรงสละข้าวสวย.
แม้อุบาสกก็นั่งอยู่ที่ใกล้พระศาสดา.

ระหว่างนั้น พระมหานิสภเถระกำลังเที่ยวบิณฑบาต เดิน
ไปยังถนนนั้นนั่นแหละ อุบาสกเห็นจึงลุกขึ้นไปไหว้พระเถระแล้ว
กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้บาตร พระเถระได้ให้บาตร.
อุบาสกกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอนิมนต์เข้าไปในเรือนนี้แหละ แม้
พระศาสดาก็ประทับนั่งอยู่ในเรือน. พระเถระกล่าวว่า ไม่ควรนะ
อุบาสก. อุบาสกรับบาตรของพระเถระใส่บิณฑบาตเต็มแล้ว ได้
นำออกไปถวาย. จากนั้น ได้เดินส่งพระเถระไปแล้วกลับมานั่งใน
ที่ใกล้พระศาสดา กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระ
มหานิสภเถระแม้ข้าพระองค์กล่าวว่า พระศาสดาประทับอยู่ในเรือน
ก็ไม่ปรารถนาจะเข้ามา พระมหานิสภเถระนั่น มีคุณยิ่งกว่าพระองค์
หรือหนอ อันธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ย่อมไม่มีวรรณมัจ-
ฉริยะ. (ตระหนี่คุณความดีของคนอื่น). ลำดับนั้น พระศาสดาตรัส
อย่างนี้ว่า ดูก่อนอุบาสก เรานั่งคอยภิกษาอยู่ในเรือน แต่ภิกษุนั้น
ไม่นั่งคอยภิกษาในเรือนอย่างนี้ เราอยู่ในเสนาสนะชายบ้าน ภิกษุ
นั้นอยู่ในป่าเท่านั้น เราอยู่ในที่มุงบัง ภิกษุนั้นอยู่กลางแจ้งเท่านั้น
ดังนั้น ภิกษุนั้นมีคุณนี้ ๆ ตรัสประหนึ่งทำมหาสมุทรให้เต็มฉะนั้น.
อุบาสกแม้ตามปกติเป็นผู้เลื่อมใสดียิ่งอยู่แล้ว จึงเป็นประหนึ่งประทีป
ที่ลุกโพรงอยู่ (ซ้ำ) ถูกราดด้วยน้ำมันฉะนั้น คิดว่า ต้องการอะไรด้วย

สมบัติอื่นสำหรับเรา เราจักการทำความปรารถนา เพื่อต้องการความ
เป็นยอด ของภิกษุทั้งหลายเป็นธุตวาทะในสำนักของพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่งในอนาคต.

อุบาสกแม้นั้นจึงนิมนต์พระศาสดาอีก ถวายมหาทานทำนอง
นั้นนั่นแหละถึง 7 วัน วันที่ 7 ถวายไตรจีวรแก่ภิกษุสงฆ์มีพระ-
พุทธเจ้าเป็นประมุข. แล้วหมอบกราบพระบาทของพระศาสดา กราบ
ทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยเมตตากายกรรม เมตตา
วจีกรรม เมตตามโนกรรม ของข้าพระองค์ผู้ถวายมหาทาน 7 วัน
ข้าพระองค์จะปรารถนาสมบัติของเทวดา หรือสมบัติของท้าวสุกกะ
มาร และพรหม สักอย่างหนึ่งก็หาไม่ ก็กรรมของข้าพระองค์นี้
จงเป็นปัจจัยแก่ความเป็นยอดของภิกษุผู้ทรงธุดงค์ 3 เพื่อต้องการ
ถึงตำแหน่งที่พระมหานิสภเถระถึงแล้ว ในสำนักของพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่ง ในอนาคต. พระศาสดาทรงตรวจว่า ที่อุบาสกนี้
ปรารถนาตำแหน่งใหญ่ จักสำเร็จหรือไม่หนอ ทรงเห็นว่าสำเร็จ
จึงตรัสว่า ท่านปรารถนาอัครฐานอันใหญ่โต พระพุทธเจ้าพระนาม
ว่าโคดม จักอุบัติขึ้นในที่สุดแสนกัปในอนาคต ท่านจักเป็นพระสาวก
ที่ 3 ของพระโคดมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามหากัสสปเถระ. อุบาสก
ได้ฟังพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว คิดว่า ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ย่อมไม่ตรัสเป็นคำ 2 จึงได้สำคัญสมบัตินั้นเหมือนดังจะได้ใน
วันพรุ่งนี้. อุบาสกนั้นดำรงอยู่ชั่วอายุ ถวายทานมีประการต่าง ๆ
รักษาศีลกระทำกุศลกรรมนานัปประการ ตายไปในอัตภาพนั้น
แล้วบังเกิดในสวรรค์.

จำเดิมแต่นั้น เขาเสวยสมบัติทั้งในเทวดาและมนุษย์ ในกัป
ที่ 91 แต่ภัตรกัปนี้ เมื่อพระวิงสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัย
กรุงพันธุมดี ประทับอยู่ในมฤคทายวันอันเกษม ก็จิตุจากเทวโลกไปเกิด
ในตระกูลพราหมณ์เก่าแก่ตระกูลหนึ่ง.

ก็ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามวิปัสสี ตรัสพระ-
ธรรมเทศนาทุก ๆ ปีที่ 7 ได้มีควานโกลาหลใหญ่หลวง. เทวดา
ทั้งหลายทั่วชมพูทวีป ได้บอกพราหมณ์นั้นว่า พระศาสดาจักทรง
แสดงธรรม. พราหมณ์ได้สดับข่าวนั้น. พราหมณ์นั้น มีผ้านุ่ง
อยู่ผืนเดียว นางพราหมณีก็เหมือนกัน แต่ทั้งสองคนมีผ้าห่มอยู่
ผืนเดียวเท่านั้น จึงปรากฏไปทั่วพระนครว่า เอกสาฎกพราหมณ์.
เมื่อพวกพราหมณ์ประชุมกัน ด้วยกิจบางอย่าง ต้องให้นางพราหมณี
อยู่บ้าน ตนเองไป เมื่อ(ถึงคราว ) พวกพราหมณีประชุมกัน ตนเอง
ต้องอยู่บ้าน นางพราหมณีห่มผ้านั้นไป (ประชุม) ก็ในวันนั้นพราหมณ์
พูดกะพราหมณีว่า แม่มหาจำเริญ เธอจักฟังธรรมกลางคืนหรือ
กลางวัน. พราหมณีพูดว่า พวกฉันชื่อว่าเป็นหญิงแม่บ้าน ไม่อาจ
ฟังกลางคืนได้ขอฟังกลางวันเถิด แล้วให้พราหมณ์อยู่เฝ้าบ้าน
(ตนเอง) ห่มผ้านั้นไปตอนกลางวันพร้อมกับพวกอุบาสิกา ถวาย
บังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฟังธรรมแล้ว กลับ
มาพร้อมกับพวกอุบาสิกา ทีนั้นพราหมณ์ ได้ให้พราหมณีอยู่บ้าน
(ตนเอง) ห่มผ้านั้นไปวิหาร. สมัยนั้น พระบรมศาสดาประทับนั่ง
บนธรรมาสน์ที่เขาตกแต่งไว้ท่ามกลางบริษัท ทรงจับพัดอันวิจิตร
ตรัสธรรมกถาประหนึ่งทำสัตว์ให้ข้ามอากาศคงคา และประหนึ่ง

ทรงกระทำเขาสิเนรุให้เป็นโม่กวนสาคร ฉะนั้น. เมื่อพราหมณ์
นั่งฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท ปีติ 5 ประการเกิดขึ้นเต็มทั่วสรีระ
ในปฐมยามนั่นเอง พราหมณ์นั้นดึงผ้าที่ตนห่มออกมาคิดว่า จักถวาย
พระทศพล. ครั้งนั้น ความตระหนี่ชี้โทษถึงพันประการเกิดขึ้น
แก่พราหมณ์นั้นว่า พราหมณีกับเรามีผ้าห่มผืนเดียวเท่านั้น ผ้าห่ม
ผืนอื่นไร ๆ ไม่มี ก็ธรรมดาว่าไม่ห่มผ้าก็ออกไปข้างนอกไม่ได้
จึงตกลงใจไม่ต้องการถวายโดยประการทั้งปวง ครั้นเมื่อปฐมยาม
ล่วงไป ปีติเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละเกิดขึ้นแก่พราหมณ์นั้น แม้ใน
มัชฌิมยาม พราหมณ์คิดเหมือนอย่างนั้นแล้วไม่ได้ถวายเหมือน
เช่นนั้น. ครั้นเมื่อมัชฌิมยามล่วงไป ปีติเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ
เกิดขึ้นแก่พราหมณ์นั้นแม้ในปัจฉิมยาม. พราหมณ์นั้นคิดว่า เป็นไร
เป็นกัน ค่อยรู้กันทีหลัง ดังนี้แล้วดึงผ้ามาวางแทบพระบาทพระ-
บรมศาสดา. ต่อแต่นั้นก็งอมือซ้ายเอามือขวาตบลง 3 ครั้งแล้ว
บันลือขึ้น 3 วาระว่า ชิตํ เม ชิตํ เม ชิตํ เม ( เราชนะแล้ว ๆ).
สมัยนั้น พระเจ้าพันธุมราชประทับนั่งสดับธรรมอยู่ภายใน
ม่านหลังธรรมาสน์ อันธรรมดาพระราชาไม่ทรงโปรดเสียงว่า
ชิตํ เม ชิตํ เม จึงส่งราชบุรุษไปด้วย พระดำรัสว่า เธอจงไปถาม
พราหมณ์นั้นว่า เขาพูดทำไม. พราหมณ์นั้นถูกราชบุรุษไปถาม
จึงกล่าวว่า คนอื่นนอกจากข้าพเจ้า ขึ้นยานคือช้างเป็นต้น ถือดาบ
และโล่หนังเป็นต้น จึงได้ชัยชนะกองทัพข้าศึก ชัยชนะนั้น
ไม่น่าอัศจรรย์ ส่วนเราได้ย่ำยีจิตตระหนี่แล้ว ถวายผ้าที่ห่มอยู่
แด่พระทศพล เหมือนคนเอาฆ้อนทุบตัวโคโกงที่ตามมาข้างหลัง
ทำให้มันหนีไป ชัยชนะของเรานั้นจึงน่าอัศจรรย์. ราชบุรุษจึงไป

กราบทูลเรื่องราวนั้นแด่พระราชา. พระราชารับสั่งว่า พนาย พวกเรา
ไม่รู้สิ่งที่สมควรแก่พระทศพล พราหมณ์รู้ จึงให้ส่งผ้าคู่หนึ่ง (ผ้านุ่ง
กับผ้าห่ม) ไปพระราชทาน พราหมณ์เห็นผ้าคู่นั้นแล้วคิดว่า พระ-
ราชานี้ไม่พระราชทานอะไรเป็นครั้งแรกแก่เราผู้นั่งนิ่ง ๆ เมื่อ
เรากล่าวคุณทั้งหลายของพระบรมศาสดาจึงได้พระราชทาน จะมี
ประโยชน์อะไรแก่เรากับผ้าคู่ที่อาศัยพระคุณของพระบรมศาสดา
เกิดขึ้น จึงได้ถวายผ้าคู่แม้คู่นั้นแด่พระทศพลเสียเลย. พระราชา
ตรัสถามว่า พราหมณ์ทำอย่างไร ทรงสดับว่า พราหมณ์ถวายผ้าคู่
แม้นี้แด่พระตถาคตเท่านั้น จึงรับสั่งให้ส่งผ้าคู่ 2 ชุดแม้อื่นไป
พระราชทาน. พราหมณ์นั้นได้ถวายผ้าคู่ 2 ชุดแม้นั้น. พระราชา
ทรงส่งผ้าคู่ 4 ชุดแม้อื่นไปพระราชทาน ทรงส่งไปพระราชทาน
ถึง 32 คู่ ด้วยประการอย่างนี้. ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า การทำ
ดังนี้ เป็นเหมือนให้เพิ่มขึ้นแล้วจึงจะรับเอา จึงถือเอาผ้า 2 คู่ คือ
เพื่อประโยชน์แก่ตนคู่ 1 เพื่อนางพราหมณีคู่ 1 แล้วถวายเฉพาะ
พระทศพล 30 คู่. จำเดิมแต่นั้น พราหมณ์ก็ได้เป็นผู้สนิทสนมกับ
พระบรมศาสดา. ครั้นวันหนึ่งพระราชาทรงสดับธรรมในสำนักของ
พระบรมศาสดาในฤดูหนาว ได้พระราชทานผ้ากัมพลแดงสำหรับห่ม
ส่วนพระองค์มีมูลค่าพันหนึ่งกะพราหมณ์ แล้วรับสั่งว่า จำเดิม
แต่นี้ไป ท่านจงห่มผ้ากัมพลแดงผืนนี้ฟังธรรม พราหมณ์นั้นคิดว่า
เราจะประโยชน์อะไรกับผ้ากัมพลแดงนี้ ที่จะน้อมนำเข้าไปในกาย
อันเปื่อยเน่านี้ จึงได้ทำเป็นเพดานเหนือเตียงของพระตถาคตใน
ภายในพระคันธกุฏีแล้วก็ไป. อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไป
พระวิหารแต่เช้าตรู่ ประทับนั่งในที่ใกล้พระบรมศาสดาในพระคันธกุฏี

ก็ในขณะนั้น พระพุทธรัศมีมีพรรณ 6 ประการ กระทบที่ผ้ากัมพล
ผ้ากัมพลก็บรรเจิดจ้าขึ้น พระราชาทอดพระเนตรเห็นก็จำได้จึง
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้ากัมพลผืนนี้ของข้าพระองค์ ๆ
ให้เอกสาฎกพราหมณ์. มหาบพิตร พระองค์บูชาพราหมณ์ พราหมณ์
บูชาอาตมภาพ. พระราชาทรงเลื่อมใสว่า พราหมณ์รู้สิ่งที่เหมาะที่ควร
เราไม่รู้ จึงพระราชทานสิ่งที่เป็นของเกื้อกูลแก่มนุษย์ทุกอย่าง ๆ
ละ 8 ชนิด 8 ครั้ง ให้เป็นของประทานชื่อว่า สัพพัฏฐกทานแล้ว
ทรงตั้งให้เป็นปุโรหิต. พราหมณ์นั้นคิดว่า ชื่อว่าของ 8 ชนิด 8 ครั้ง
ก็เป็น 64 ชนิด จึงสลากภัต 64 ที่ ให้ทานรักษาศีลตลอดชีวิต
จุติจากชาตินั้นไปเกิดในสวรรค์ จุติจากสวรรค์กลับมาเกิดในเรือน
ของกุฏุมพี ในกรุงพาราณสี ในระหว่างกาลของพระพุทธเจ้า 2
พระองค์ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมน์ และพระกัสสปทศพล
ในกัปนี้. เขาเจริญวัยก็แต่งงานมีเหย้าเรือน วันหนึ่ง เดินเที่ยวพักผ่อน
ไปในป่า.
ก็สมัยนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้ากระทำจีวรกรรม (คือการ
เย็บจีวร) อยู่ที่ริมแม่น้ำ ผ้าอหวาต (ผ้าแผ่นบาง ๆ ที่ทาบไป
ตามชายสบงจีวรและสังฆาฏิ) ไม่พอจึงเริ่มจะพับเก็บ เขาเห็น
เข้าจึงกล่าวถามว่า เพราะอะไรจึงจะพับเก็บเสียเล่า เจ้าข้า. พระ
ปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ผ้าอนุวาตไม่พอ. กุฏุมพีกล่าวว่า โปรด
เอาผ้าสาฎกนี้ทำเถิดเจ้าข้า. เขาถวายผ้าวาฎกแล้ว ตั้งความปรารถนา
ว่า ในที่ที่ข้าพเจ้าเกิดแล้ว ๆ ความเลื่อมไส ๆ ขอจงอย่าได้มี.
ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าไปบิณฑบาตแม้ในเรือนของเขา
ในเมื่อภรรยากับน้องสาวกำลังทะเลาะกัน. ทีนั้น น้องสาวของเขา

ถวายบิณฑบาตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว กล่าวอย่างนี้มุ่งถึงภรรยา
ของเขา ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้เราห่างไกลหญิงพาลเห็นปานนี้
ร้อยโยชน์. ภรรยาของเขายืนอยู่ที่ลานบ้านได้ยินจึงคิดว่า พระรูป
นี้จงอย่าได้ฉันอาหารที่นางคนนี้ถวาย จึงจับบาตรมาเทบิณฑบาตทิ้ง
แล้วเอาเปือกตมมาใส่จนเต็ม. นางเห็นจึงกล่าวว่า หญิงพาลเจ้าจง
ด่าจงบริภาษเราก่อนเถิด การเทภัตตาหารจากบาตรข้องท่านผู้ได้
บำเพ็ญบารมีมา 2 อสงไขยเห็นปานนี้แล้ว ใส่เปือกตมให้ไม่สมควร
เลย. ครั้งนั้น ภรรยาของเขาเกิดความสำนึกขึ้นได้จึงกล่าวว่า โปรด
หยุดก่อนเจ้าข้า แล้วเทเปือกตมออกล้างบาตรชะโลมด้วยผงเครื่อง
หอมแล้วได้ใส่ของมีรสอร่อย 4 อย่างเต็มบาตรแล้ววางถวายบาตร
อันผุดผ่องด้วยเนยใส มีสีเหมือนกลีบปทุมอันลาดรดลงข้างบน
ในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า ตั้งความปรารถนาว่า สรีระของ
เราจงผุดผ่องเหมือนบิณฑบาตอันผุดผ่องนี้เถิด. พระปัจเจกพุทธเจ้า
อนุโมทนาแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศ.

ผัวเมียแม้ทั้งสองนั้นดำรงอยู่ชั่วอายุแล้วไปเกิดบนสวรรค์
จุติจากสวรรค์นั้นอีกครั้ง อุบาสกเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีสมบัติ
80 โกฏิในกรุงพาราณสี ในครั้งพระกัสสปทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฝ่ายภรรยาเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีเหมือนกัน เมื่อเขาเจริญวัย
พวกญาติก็นำธิดาของเศรษฐีคนนั้นแหละมา. ด้วยอานุภาพของ
กรรมซึ่งมีวิบากอันไม่น่าปรารถนาในชาติก่อน พอนาง (ถูกส่งตัว)
เข้าไปยังตระกูลของสามี ทั่วทั้งสรีระเกิดกลิ่นเหม็นเหมือนส้วม
ที่เขาเปิดไว้ (ตั้งแต่ย่างเข้าไป) ภายในธรณีประตู. เศรษฐีกุมาร

ถามว่า นี้กลิ่นของใคร ได้ฟังว่า ของลูกสาวเศรษฐี จึงกล่าวว่า
นำออกไป ๆ แล้วส่งกลับไปเรือนตระกูล โดยทำนองที่มา นางถูก
ส่งกลับมาถึง 7 แห่งโดยทำนองนี้นั่นแล.
ก็สมัยนั้น พระกัสสปทศพลเสด็จปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนิก-
ชนเริ่มก่อพระเจดีย์สูงโยชน์หนึ่งด้วยอิฐทองสีแดง ทั้งหนาทั้งแน่น
มีราคาก้อนละหนึ่งแสน. เมื่อเขากำลังสร้างพระเจดีย์กันอยู่ เศรษฐี
ธิดาคนนั้นคิดว่า เราต้องถูกส่งกลับถึง 7 แห่งแล้ว จะประโยชน์
อะไรกับชีวิตของเรา จึงให้ยุบสิ่งของเครื่องประดับตัว ทำอิฐทอง
ยาวดอก กว้างคืบ สูง 4 นิ้ว ต่อแต่นั้นถือก้อนหรดาลและมโนสิลา
เก็บเอาดอกบัว 8 กำ ไปยังสถานที่ที่สร้างพระเจดีย์. ขณะนั้น1เเถว
ก้อนอิฐแถวหนึ่งก่อมาต่อกันขาดอิฐแผ่นต่อเชื่อม นางจึงพูดกับช่างว่า
ท่านจงวางอิฐก้อนนี้ตรงนี้. นายช่างกล่าวว่า นางผู้เจริญ ท่านมาได้
เวลา จงวางเองเถิด. นางจึงขึ้นไปเอาน้ำมันผสมกับหรดาลและ
มโนสิลาวางอิฐติดอยู่ได้ด้วยเครื่องยึดนั้น แล้วบูชาด้วยดอกอุบล
8 กำมือ ข้างบน (อิฐ) ไหว้แล้วตั้งความปรารถนาว่า ในที่ที่เราเกิด
กลิ่นจันทน์จงฟุ้งออกจากตัว กลิ่นอุบลจงฟุ้งออกจากปาก แล้วไหว้
พระเจดีย์ ทำประทักษิณแล้วกลับไป. ครั้นแล้วในขณะนั้นเอง
เศรษฐีบุตรก็เกิดสติปรารภถึงเศรษฐีธิดาที่เขานำมาเรือนครั้งแรก.
แม้ในพระนครก็มีนักขัตฤกษ์เสียงกึกก้อง เขาจึงพูดกับคนรับใช้ว่า
คราวนั้น เขานำเศรษฐีธิดามาในที่นี้ นางอยู่ที่ไหน. คนรับใช้กล่าวว่า
อยู่ที่เรือนตระกูลขอรับ นายท่านเศรษฐีบุตรกล่าวว่า พวกท่านจง

1. ปาฐะว่า อิฏฺฐกา สนฺธึ ปริกฺขิปิตฺวา พม่าเป็น อิฏฺฐกาปนฺติ ปริกฺขิปิตฺวา แปลตามพม่า

พามา เราจักเล่นนักขัตฤกษ์กับนาง. พวกคนรับใช้ไปไหว้นางแล้ว
ยืนอยู่ถูกนางถามว่า พ่อทั้งหลายมาทำไมกัน จึงบอกเรื่องราวที่มา
นั้น นางกล่าวว่า พ่อทั้งหลาย เราเอาเครื่องอาภรณ์บูชาพระเจดีย์
เสียแล้ว เราไม่มีเครื่องอาภรณ์ คนรับใช้เหล่านั้นจึงไปบอกแก่บุตร
เศรษฐี ๆ กล่าวว่า จงนำมาเถอะ นางจักได้เครื่องประดับนั้น พวกเขา
จึงไปนำนางมา กลิ่นจันทน์และกลิ่นอุบลขาบฟุ้งไปทั่วเรือน พร้อม
กับที่นางเข้าไปในเรือน. บุตรเศรษฐีจึงถามนางว่า ครั้งแรก กลิ่น
เหม็นฟุ้งออกจากตัวก่อน แต่บัดนี้ กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากตัว กลิ่น
อุบลฟุ้งออกจากปากของเธอ นี่อะไรกัน. ธิดาเศรษฐีจึงบอกกรรม
ที่ตนกระทำตั้งแต่ต้น. บุตรเศรษฐีเลื่อมใสว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายเป็นนิยยานิกธรรมหนอ จึงเอาเครื่องปกคลุมที่ทำด้วยผ้ากัมพล
หุ้มพระเจดีย์ทองมีประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วเอาดอกประทุมทองขนาด
เท่าล้อรถประดับที่พระเจดีย์ทองนั้น. ดอกประทุมทองที่แขวนห้อยไว้
มีขนาด 12 ศอก. บุตรเศรษฐีนั้นดำรงอยู่ชั่วอายุในมนุษยโลก
นั้นแล้วเกิดในสวรรค์ จุติจากสวรรค์นั้น บังเกิดในตระกูลอำมาตย์
ตระกูลหนึ่ง (ซึ่งพำนักอยู่) ในที่ประมาณโยชน์หนึ่งจากกรุงพราณสี
ฝ่ายลูกสาวเศรษฐีจุติจากเทวโลกเกิดเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่
ในราชตระกูล.
เมื่อคนทั้งสองนั้นเจริญวัย เขาป่าวร้องงานนักขัตฤกษ์ใน
หมู่บ้านที่กุมารอยู่. กุมารนั้นกล่าวกะมารดาว่า แม่จ๋า แม่จงให้ผ้า
สาฎกฉัน ฉันจะเล่นนักขัตฤกษ์ มารดาได้นำผ้าที่ใช้แล้วมาให้.
เขาปฏิเสธว่า ผ้านี้หยาบจ้ะแม่. นางก็นำผืนอื่นมาให้ แม้ผ้าผืนนั้น
เขาก็ปฏิเสธ. ทีนั้น มารดาจึงกล่าวกะเขาว่า พ่อ เราเกิดในเรือน

เช่นนี้ พวกเราไม่มีบุญที่จะได้ผ้าเนื้อละเอียดกว่านี้. เขากล่าวว่า
แม่จ๋า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปยังที่ที่จะได้. มารดากล่าวว่า ลูกเอ๋ย
แม่ปรารถนาให้เจ้าได้ราชสมบัติในกรุงพาราณสีวันนี้ทีเดียวน่ะ.
เขาไหว้มารดาแล้วกล่าวว่า ฉันไปละแม่. มารดาว่า ไปเถอะพ่อ
นัยว่ามารดาของเขามีความคิดอย่างนี้ว่า มันจะไปไหน คงจักนั่งที่นี่
ที่นั่นอยู่ในเรือนหลังนี้แหละ. ก็กุมารนั้นออกไปตามกำหนดของบุญ
ไปถึงกรุงพาราณสี นอนคลุมศีรษะอยู่บนแผ่นมงคลสิลาอาสน์
ในพระราชอุทยาน. ก็พระเจ้าพาราณสีนั้น สวรรคตแล้วเป็นวันที่
7. อำมาตย์ทั้งหลายทำการถวายพระเพลิงแล้วนั่งปรึกษาอยู่ที่
พระลานหลวงว่า พระราชามีแต่พระธิดา ไม่มีพระราชโอรส
ราชสมบัติไม่มีพระราชา ไม่สมควร ใครจะเป็นพระราชา ต่าง
พูดกันว่า ท่านเป็น ท่านเป็น. ปุโรหิตกล่าวว่า ไม่ควรเลือกมาก
เอาเถอะ พวกเราจักเชิญเทวดาแล้วเสี่ยงบุษยรถ (รถเสี่ยงปล่อยไป
เพื่อหาผู้ที่สมควรจะครองราชย์ เมื่อพระราชาองค์ก่อนสวรรคตแล้ว
ไม่มีรัชทายาท) ไป. อำมาตย์เหล่านั้นเทียมม้าสินธพ 4 ตัว มีสีดังดอกโกมุท
แล้วตั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ 5 อย่าง กับเศวตรฉัตรไว้บนรถนั่นแหละ
ปล่อยบุษยรถนั้นไปให้ประโคมดนตรีไปข้างหลัง. รถออกทางประตูด้าน
ทิศปราจีน บ่ายหน้าไปทางพระราชอุทยาน. อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า
รถบ่ายหน้าไปทางพระราชอุทยาน เพราะความคุ้นเคย พวกท่านจงให้
กลับมา ปุโรหิตกล่าวว่า อย่าให้กลับ. รถทำประทักษิณกุมาร
แล้ว ได้หยุดเตรียมพร้อมที่จะให้ขึ้น ปุโรหิตเลิกชายผ้าห่มตรวจ
พื้นเท้ากล่าวว่า ทวีปนี้จงยกไว้ ผู้นี้สมควรครองราชย์ในทวีปทั้ง 4
มีทวีปสองพันเป็นบริวาร แล้วสั่งให้ประโคมดนตรีขึ้น 3 ครั้ง ว่า

พวกท่านจงประโคมดนตรีขึ้นอีก.
ครั้งนั้น กุมารเปิดหน้ามองดูแล้วพูดว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่าน
มาด้วยกิจกรรมอะไรกัน. พวกอำมาตย์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ
ราชสมบัติถึงแก่พระองค์. กุมาร พระราชาไปไหน. อำมาตย์-
ทิวงคตแล้ว นาย. กุมาร ล่วงไปกี่วันแล้ว. อำมาตย์ วันนี้เป็นวันที่ 7.
กุมาร พระราชโอรสหรือพระราชธิดาไม่มีหรือ ? อำมาตย์ ข้าแต่
สมมติเทพ พระราชธิดามี พระราชโอรสไม่มี. กุมาร เราจัก
ครองราชย์. อำมาตย์เหล่านั้นสร้างมณฑปสำหรับอภิเษกในขณะนั้น
ทันที ประดับพระราชธิดาด้วยเครื่องอลังการทุกอย่างนำมายัง
พระราชอุทยานทำการอภิเษกกับกุมาร.
ครั้งนั้นเมื่อพระกุมารทำการอภิเษกแล้ว ประชาชนนำผ้ามี
ราคาแสนหนึ่งมาถวาย. พระกุมารกล่าวว่า นี้อะไรพ่อ. พวกอำมาตย์
ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ผ้านุ่งพระเจ้าข้า, พระกุมาร เนื้อหยาบมิใช่
หรือ พ่อ. ผ้าอื่นที่เนื้อละเอียดกว่านี้ไม่มีหรือ ? อำมาตย์ ข้าแต่
สมมติเทพ ในบรรดาผ้าที่มนุษย์ทั้งหลายใช้สอย ผ้าที่เนื้อละเอียด
กว่านี้ไม่มี พระเจ้าข้า. พระกุมาร พระราชาของพวกท่านทรง
นุ่งผ้าเห็นปานนี้หรือ ? อำมาตย์ พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ.
พระกุมาร พระราชาของพวกท่านคงจะไม่มีบุญ พวกท่านจงนำ
พระเต้าทองมา เราจักได้ผ้า. อำมาตย์เหล่านั้นนำพระเต้าทองมาถวาย.
พระกุมารนั้นลุกขึ้นล้างพระหัตถ์บ้วนพระโอฐ. เอาพระหัตถ์วักนำ
สาดไปทางทิศตะวันออก. ในขณะนั้นเอง ต้นกัลปพฤกษ์ก็ชำแรก
แผ่นดินทึบผุดขึ้นมา 8 ต้น ทรงวักน้ำสาดไปอีกทั่วทิศ 3 ทิศอย่างนี้

คือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ. ต้นกัลปพฤกษ์ผุดขึ้นในทิศทั้ง 4
ทิศละ 8 ต้น รวมเป็น 32 ต้น. พระกุมารนั้นทรงนุ่งผ้าทิพผืนหนึ่ง
ทรงห่มผืนหนึ่ง แล้วรับสั่งว่า พวกท่านจงเที่ยวตีกลองป่าวร้อง
อย่างนี้ว่า ในแว่นแคว้นของพระเจ้านันทราช พวกสตรีที่ทำหน้าที่
กรอด้าย อย่ากรอด้าย ดังนี้แล้วให้ยกฉัตรขึ้นทรงประดับตกแต่ง
พระองค์ ทรงขึ้นช้างตัวประเสริฐเสด็จเข้าพระนคร ขึ้นสู่ปราสาท
เสวยมหาสมบัติ.

ครั้นกาลเวลาล่วงไปด้วยอาการอย่างนี้ วันหนึ่งพระเทวีเห็น
มหาสมบัติของพระราชาแล้ว ทรงแสดงอาการของความกรุณา
ว่าโอ ท่านผู้มีตปะ ถูกพระราชาตรัสถามว่า นี่อะไรกันนะ เทวี
จึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ สมบัติของพระองค์ยิ่งใหญ่ ในอดีตกาล
พระองค์ได้ทรงเชื่อต่อพระพุทธะทั้งหลายได้ทำกรรมดีไว้ เดี๋ยวนี้
ยังไม่ทรงกระทำกุศลอันจะเป็นปัจจัยแก่อนาคต พระราชาตรัสว่า
เราจักให้แก่ใคร ผู้มีศีลไม่มี. พระเทวีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ชมพู-
ทวีปไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายดอก พระองค์โปรดทรงตระ
เตรียมทานไว้เท่านั้น หม่อมฉันจะขอพระอรหันต์ในวันรุ่งขึ้น พระ-
ราชารับสั่งให้ตระเตรียมทานไว้ที่ประตูด้านทิศปราจีน. พระเทวี
ทรงอธิษฐานองค์อุโบสถแต่เช้าตรู่บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก
หมอบลงบนปราสาทชั้นบนแล้วกล่าวว่า ถ้าพระอรหันต์มิอยู่ในทิศนี้
พรุ่งนี้ขอนิมนต์มารับภิกษาหารของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด. ในทิศ
นั้นไม่มีพระอรหันต์ก็ได้ให้สักการะที่เตรียมไว้นั้น แก่คนกำพร้า
และยากาจน ในวันรุ่งขึ้นตระเตรียมทานไว้ทางประตูทิศใต้แล้วได้

กระทำเหมือนอย่างนั้น ในวันรุ่งขึ้นทางประตูทิศตะวันตกก็ได้
กระทำเหมือนอย่างนั้น. ก็ในวันที่ทรงตระเตรียมไว้ทางประตู
ทิศเหนือ พระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นพี่ชายของพระปัจเจก-
พุทธเจ้า 500 องค์ ผู้เป็นโอรสของพระนางปทุมวดี อยู่ในป่าหิมวันต์
เรียกพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นน้องชายซึ่งถูกพระเทวีนิมนต์อย่างนั้น
มาว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พระเจ้านันทราชนิมนต์ท่านทั้งหลาย
จงรับนิมนต์ของท้าวเธอเถิด. พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นรับนิมนต์
แล้ว ในวันรุ่งขึ้นล้างหน้าที่สระอโนดาดแล้วเหาะไปลงที่ประตู
ทิศเหนือ.

พวกมนุษย์มากราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ
พระปัจเจกพุทธเจ้า 500 องค์ มาแล้วพระเจ้าข้า. พระราชาเสด็จ
ไปพร้อมกับพระเทวี ไหว้แล้วรับบาตรนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า
ทั้งหลายขึ้นสู่ปราสาท ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น
บนปราสาทนั้น ในเวลาเสร็จภัตตกิจ พระราชาหมอบที่ใกล้เท้า
พระสังฆเถระ พระเทวีหมอบที่ใกล้เท้าพระสังฆนวกะ แล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจักไม่ลำบากด้วยเรื่อง
ปัจจัย และข้าพเจ้าทั้งหลายก็จักไม่ทำบุญให้เสื่อม ขอท่านทั้งหลาย
จงให้ปฏิญญาเพื่ออยู่ในที่นี้ ตลอดอายุของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด
ครั้นให้ท่านรับปฏิญญาแล้วจึงให้ตกแต่งสถานที่สำหรับ. อยู่อาศัย
แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นในพระอุทยาน โดยอาการทั้งปวง
คือ บรรณศาลา 500 พลัง ที่จงกรม 500 ที่ แล้วให้ท่านอยู่ใน
ที่นั้นนั่นแล. ครั้นกาลเวลาล่วงไปด้วยประการอย่างนั้น เมืองชายแดน

ของพระราชาก่อการกำเริบขึ้น. พระองค์ทรงโอวาทพระเทวีว่า
พี่จะไประงับเมืองชายแดน เธออย่าละเลยพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
แล้วเสด็จออกไปจากพระนคร เมื่อพระองค์ยังไม่เสด็จกลับ พระ
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็สิ้นอายุสังขาร.

พระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้า เล่นฌานตลอดราตรีทั้ง 3 ย่าม
ในเวลาอรุณขึ้น ยืนเหนี่ยวแผ่นกระดานสำหรับยืดปรินิพพานด้วย
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหลือทั้งหมด
ทีเดียว ก็ปรินิพพานแล้วโดยวิธีนั้น. ในวันรุ่งขึ้น พระเทวีให้กระทำ
ที่นั่งของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ให้ชะอุ่มด้วยของสดเขียว
โปรยดอกไม้ จุดเครื่องหอม นั่งคอยพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมา
เมื่อไม่เห็นมาจึงส่งราชบุรุษไปว่า พ่อจงไป จงรู้ว่า พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งหลายไม่มีความผาสุกอย่างไร ? ราชบุรุษนั้นไปแล้วเปิดประตู
บรรณศาลาของพระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อไม่พบในบรรณศาลา
นั้น จึงไปยังที่จงกรม เห็นท่านยืนพิงแผ่นกระดานสำหรับยึดจึงไหว้
แล้วกล่าวว่า ได้เวลาแล้วเจ้าข้า. สรีระของท่านผู้ปรินิพานแล้ว
จักพูดได้อย่างไร. ราชบุรุษนั้นคิดว่าเห็นจะหลับ จึงเดินไปเอามือ
ลูบที่หลังเท้า รู้ว่าปรินิพพานแล้ว เพราะเท้าทั้งสองเย็นและแข็ง
จึงไปยังสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ที่ 2 เมื่อรู้ว่าองค์ที่ 2
ปรินิพพานแล้วอย่างนั้น ก็ไปยังสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า
องค์ที่ 3 รู้ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์ปรินิพพานแล้วด้วยประการ
ดังนี้ จึงไปยังราชสกุล พระเทวีตรัสถามว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า
ทั้งหลายไปไหนพ่อ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี พระปัจเจกพุทธเจ้า

ทั้งหลาย ปรินิพพานแล้ว. พระเทวีทรงกรรแสงคร่ำครวญเสด็จ
ออกไปที่บรรณศาลานั้นพร้อมกับชาวเมือง รับสั่งให้เล่นสาธุกีฬา
(การเล่นที่เกี่ยวกับเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) กระทำฌาปนกิจ
สรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วเก็บธาตุสร้างพระเจดีย์
ไว้. พระราชาทรงปราบเมืองชายแดนให้สงบแล้วเสด็จกลับมา
รับสั่งถามพระเทวีผู้เสด็จมาต้อนรับว่า แม่มหาจำเริญ เธอไม่
ประมาท (คือไม่ละเลย) ในพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายหรือ ?
พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายสบายดีหรือ ? พระเทวีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ
พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายปรินิพพานเสียแล้ว. พระราชาทรงพระดำริ
ว่า มรณะยังเกิดแก่บัณฑิตทั้งหลายเห็นปานนี้ พวกเราจะพ้นไป
แต่ไหน พระองค์ไม่เสด็จไปพระนคร เสด็จเข้าไปยังพระราชอุทยาน
เลยทีเดียว รับสั่งให้เรียกพระโอรสองค์ใหญ่มาแล้วมอบราชสมบัติ
แก่พระโอรสนั้นแล้วโอวาท. ส่วนพระองค์ทรงผนวชเป็นสมณะ
ประเภทหนึ่ง. ฝ่ายพระเทวีเมื่อพระราชาทรงผนวชแล้วทรงดำริว่า
เราจะทำอะไร จึงทรงผนวชอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเอง พระราชา
และพระเทวีแม้ทั้งสองนั้น บำเพ็ญฌานได้จุติจากอัตตภาพนั้นไป
บังเกิดในพรหมโลก.

เมื่อคนทั้งสองนั้นอยู่ในพรหมโลกนั้นนั่นแหละ พระศาสดา
ของเราทั้งหลายอุบัติขึ้นในโลกประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ
เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์โดยลำดับ. เมื่อพระศาสดาประทับ
อยู่ในกรุงราชคฤห์นั้น ปิบผลิมาณพนี้ บังเกิดในท้องภรรยาหลวง
ของกบิลพราหมณ์ในพราหมณคามชื่อมหาติตถะ ในมคธรัฐ นาง

ภัททา กาปิลานี นี้บังเกิดในท้องของภรรยาหลวงของพราหมณ์
โกลิยโคตรในสาคลนครในมคธรัฐ. เมื่อชนทั้งสองนั้นเติบโตขึ้น
โดยลำดับ เมื่อนางภัตทามีอายุถึงปีที่ 16 ในปีที่ 20 ของปิบผลิ-
มาณพ บิดามารดามองดูบุตรแล้วแค่นได้อย่างหนักว่า พ่อ เจ้า
ก็เติบโตแล้วธรรมดาว่าตระกูลวงศ์ จำต้องให้ดำรงอยู่. มาณพ
กล่าวว่า ท่านทั้งสองอย่าได้กล่าวถ้อยคำเห็นปานนี้เข้าหูลูกเลย
ลูกจะปฏิบัติตราบเท่าที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ต่อเมื่อท่านทั้งสอง
ล่วงลับไปแล้ว ลูกจักบวช. บิดามารดาให้เวลาล่วงเลยไป 2 - 3 วัน
ก็กล่าวอีก แม้มาณพนั้นก็ปฏิเสธเหมือนเดิมนั้นแหละ ตั้งแต่นั้น
มารดาได้กล่าว (ถึงการแต่งงาน) อยู่เรื่อย ๆ ทีเดียว.

มาณพคิดว่า เราจะยังมารดาให้ยินยอม จึงเอาทองคำสี
สุกปลั่งพันลิ่ม ให้ช่างทองทำรูปหญิงคนหนึ่ง ในเวลาเสร็จงานมี
การขัดและบุบเป็นต้นซึ่งรูปหญิงนั้น จึงให้รูปหญิงนั้นนุ่งผ้าแดง
ประดับด้วยดอกไม้อันสมบูรณ์ด้วยสี และเครื่องประดับต่าง ๆ
แล้วให้เรียกมารดามาพูดว่า คุณแม่ เมื่อลูกได้อารมณ์เห็นปานนี้
จึงจะแต่งงาน ถ้าไม่ได้จักไม่แต่ง. นางพราหมณีเป็นคนมีปัญญา
จึงคิดว่า บุตรของเราเป็นผู้มีบุญ ให้ทานไว้แล้ว สร้างอภินิหาร
ไว้แล้ว เมื่อจะกระทำบุญคงจะไม่ทำคนเดียว หญิงผู้ทำบุญร่วมกับ
บุตรของเรานี้ จักมีส่วนเปรียบด้วยทองคำแน่แท้ จึงให้เรียกพราหมณ์
8 คนมา เลี้ยงดูให้อิ่มหนำด้วยสิ่งที่ต้องการทุกอย่าง ให้ยกรูปทองคำ
ขึ้นตั้งบนรถแล้วส่งไปว่า พ่อทั้งหลายจงพากันไป พบเห็นทาริกา
เห็นปาน (ดังรูปทอง) นี้ ในตระกูลที่เสมอกันกับเราโดยชาติ โคตร

และโภคทรัพย์ ในที่ใด จงให้รูปทองนี้แหละให้เป็นบรรณการ ใน
ที่นั้น.

พราหมณ์เหล่านั้นพากันออกไปด้วยตระหนักว่า นี้เป็น
กิจกรรมชื่อว่าของพวกเรา จึงคิดว่าจะไปที่ไหน ตกลงกันว่า ธรรมดา
มัททรัฐเป็นบ่อเกิดแห่งสตรี พวกเราจักไปมัททรัฐ ดังนี้แล้ว จึงได้
ไปยังสาคลนครในมัททรัฐ. ครั้งนั้น แม่นมของนางภัตทา ให้นาง-
ภัททาอาบน้ำแล้วแต่งตัวให้นั่งในห้องอันโอ่อ่าแล้ว (ตนเอง) จะไป
อาบน้ำ เห็นรูปนั้นจึงขู่ด้วยเข้าใจว่า ธิดาแห่งแม่เจ้าของเรามาที่นี้
กล่าวว่า แน่ะแม่หัวดื้อ มาที่นี่ทำไม แล้วเงื้อฝ่ามือ ที่ข้างแก้ม (พร้อม
กับ) พูดว่า จงรีบไป. มือสะท้อนเหมือนติหิน. แม่นมนั้นรู้ว่าเป็น
ของแข็งด้วยอาการอย่างนี้จึงเลี่ยงไปพูดว่า เราเห็นรูปทองเข้าก็
เกิดความเข้าใจว่าธิดาแห่งแม่เจ้าของเรา ก็นางนี้ แม้จะเป็นผู้รับ
ผ้านุ่งของธิดาแห่งแม่เจ้าของเรา ก็ยังไม่เหมาะสม. ทีนั้น พวกมนุษย์
เหล่านั้นพากันห้อมล้อมนางแล้วถามว่า ธิดาแห่งเจ้านายของท่าน
เห็นปานนี้ไหม ? หญิงแม่นมพูดว่า นางนี่น่ะหรือ ธิดาแห่งแม่เจ้า
ของเรางามยิ่งกว่านางนี้ร้อยเท่า พันเท่า เมื่อเธอนั่งอยู่ในห้อง
ประมาณ 12 ศอก กิจด้วยดวงประทีปไม่มี เธอขจัดความมืดด้วย
แสงสว่างจากสรีระนั่นแหละ. พวกมนุษย์เหล่านั้นกล่าวว่า ถ้า
อย่างนั้น จงมากันเถอะ แล้วถือเครื่องบูชา ยกรูปทองคำขึ้นบนรถ
แล้วหยุดอยู่ที่ประตูบ้านของพราหมณ์โกสิยโคตร แจ้งให้ทราบ
ถึงการมา.

พราหมณ์ทำปฏิสันถารแล้วถามว่า พวกท่านมาจากไหน ?
ชนเหล่านั้นตอบว่า มาจากเรือนของกบิลพราหมณ์ ในมหาติดถคาม
ในมคธรัฐ. พราหมณ์ถาม มาเพราะเหตุไร ? ชนเหล่านั้นตอบ
เพราะเหตุชื่อนี้ พราหมณ์กล่าวว่า งามละพ่อทั้งหลาย พราหมณ์
ของพวกเรามีชาติ โคตร และทรัพย์สมบัติเสมอกัน เราจักให้ทาริกา
(ลูกสาว) ดังนี้แล้วก็รับเครื่องบรรณาการ. ชนเหล่านั้นส่งข่าวแก่
กบิลพราหมณ์ว่า ได้ทาริกาแล้ว ท่านจงทำสิ่งที่จะต้องทำ. กบิล-
พราหมณ์ได้สดับข่าวนั้นแล้วจึงบอกแก่ปิบผลิมาณพว่า เขาว่าได้
ทาริกาแล้ว. มาณพคิดว่า เราคิดว่าจักไม่ได้ คนเหล่านี้พูดว่า ได้แล้ว
เราไม่มีความต้องการ จักส่งหนังสือไป (ให้รู้) แล้วไฟในที่ลับ
เขียนหนังสือว่า แม่ภัททาจงได้คู่ครองเรือนอันสมควรแก่ชาติ โคตร
และทรัพย์สมบัติของตน เราจักออกบวช จะได้ไม่เดือดร้อนใน
ภายหลัง. แม้นางภัททาได้ฟังว่า เขาใคร่จะให้เราแก่คนโน้น จึงไป
ในที่ลับเขียนหนังสือว่า ลูกเจ้าจงได้คู่ครองเรือนอันสมควรแก่ชาติ
โคตร และทรัพย์สมบัติของตน เราจักออกบวช จะได้ไม่เดือดร้อน
ในภายหลัง. หนังสือทั้งสองฉบับมาประจวบกันในระหว่างทาง.
ชนเหล่านั้น เมื่อถูกฝ่ายนางภัททาถามว่า นี้หนังสือของใคร. ก็
กล่าวว่าปิบผลิมาณพส่งให้นางภัตทา และเมื่อถูกฝ่ายปิบผลิมาณพ
ถามว่า นี้ของใคร ก็กล่าวว่า นางภัททาส่งให้ปิบผลิมาณพ จึงพากัน
อ่านหนังสือ แม้ทั้งสองฉบับแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงดูการ
กระทำของเด็ก ๆ แล้วฉีกทิ้งไปในป่า เขียนหนังสืออันมีข้อความ
เสมอกันส่งไปให้คนทั้งสองนั้น ทั้งฝ่ายนี้และฝ่ายโน้น ดังนั้น คน
ทั้งสองนั้นไม่ปรารถนาเลย ก็ได้มา (อยู่) รวมกัน

ในวันนี้แล แม้มาณพก็เอาพวงดอกไม้พวงหนึ่งวางไว้ แม้
นางภัททากาลาปิลานี้ก็เอาพวงดอกไม้พวงหนึ่งวางไว้. คนแม้ทั้งสอง
บริโภคอาหารเย็นแล้ว วางพวงดอกไม้เหล่านั้นไว้กลางที่นอน
มาพร้อมกันด้วยหวังใจว่าจักขึ้นที่นอน มาณพขึ้นที่นอนทางด้านขวา
นางภัททาขึ้นที่นอนทางด้านซ้ายแล้วกล่าวว่า ดอกไม้ในด้านของ
คนใดเหี่ยว พวกเราจักรู้ได้ว่า ราคจิตเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้นั้น เพราะ
เหตุนั้น พวงดอกไม้นี้เราจึงไม่แตะต้อง. ก็คนทั้งสองนั้นนอนไม่หลับ
ตลอดราตรีทั้ง 3 ยาม เพราะกลัวจะถูกตัวของกันและกัน จนราตรี
ล่วงไป อนึ่ง ในเวลากลางวันก็ไม่มีแม้สักว่าการยิ้มหวัว. คนทั้งสอง
นั้นไม่เกี่ยวข้องด้วยเรื่องโลกามิส ไม่จัดการทรัพย์สมบัติตราบเท่า
ที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ เมื่อบิดามารดากระทำกาลกิริยาไปแล้ว
จึงจัดการ. ปิบผลิมาณพมีสมบัติ (คิดเป็นเงิน) 87 โกฏิ เฉพาะผง
ทองคำที่ใช้ขัดสรีระแล้วทิ้งไปวันหนึ่ง ๆ ควรได้ประมาณ 12
ทะนาน โดยทะนานมคธ มีเหมืองน้ำประมาณ 60 แห่ง ติดเครื่อง
ยนต์ มีการงานที่ทำ (กินเนื้อที่) ประมาณ 12 โยชน์ มีหมู่บ้านทาส
(14 บ้าน) ขนาดเท่าเมืองอนุราธบุรี มีหัตถานึกถือกองช้าง 14 กอง
มีอัสสานึกคือกองม้า 14 กอง มีรถานึกดือกองรถ 14 กอง.

วันหนึ่ง ปิบผลิมาณพนั้นขึ้นม้าที่ประดับตกแต่งแล้ว แวดล้อม
ด้วยมหาชนไปยังที่ทำงาน ยืนอยู่ปลายนา เห็นพวกนกมีกาเป็นต้น
คุ้ยเขี่ยสัตว์มีไส้เดือนเป็นต้น จากรอยไถเอามากิน จึงถามว่า พ่อ
ทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้กินอะไร ? มหาชนตอบว่า นายท่าน มันกิน
ไส้เดือน. มาณพถามว่า บาปที่สัตว์เหล่านี้ทำเป็นของใคร ? มหาชน

ตอบว่า นายท่าน บาปเป็นของท่าน. มาณพคิดว่า ถ้าบาปที่สัตว์เหล่านี้
กระทำตกเป็นของเราไซร้ ทรัพย์ 87 โกฏิ จักทำอะไรแก่เรา
การงาน 12 โยชน์ เหมืองน้ำติดเครื่องยนต์ 60 แห่ง หมู่บ้านทาส
(14 แห่ง) จักทำอะไรแก่เรา เราจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้
แก่ภัตทากาปิลานี แล้วออกบวช.
ขณะนั้น นางภัตทากาปิลานี ให้หว่านเมล็ดงา 3 หม้อ ลง
ในระหว่างไร่ พวกแม่นมห้อมล้อมนั่งอยู่เห็นพวกกากินสัตว์ใน
เมล็ดงาจึงถามว่า แม่ทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้กินอะไร ? พวกแม่นม
ตอบว่า แม่เจ้า พวกมันกินสัตว์. นางถามว่า อกุศลจะเป็นของใคร ?
พวกแม่นมตอบว่า เป็นของแม่เจ้า จ๊ะ. นางคิดว่า เราได้ผ้า 4 ศอก
และข้าวสุกประมาณหนึ่งทะนานก็ควร ก็ถ้าอกุศลนี้อันชนมีประมาณ
เท่านี้กระทำจะเป็นของเราไซร้ เราไม่อาจยกหัวขึ้นจากวัฏฏะ
ตั้ง 1,000 ภพ เมื่อลูกเจ้าพอมาถึง เราจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมด
แก่ลูกเจ้านั้นแล้วออกบวช.
มาณพมาแล้วอาบน้ำขึ้นปราสาทนั่งบนแท่นอันควรค่ามาก.
ครั้งนั้น พวกพ่อครัวจัดแจงโภชนะอันสมควรแก่พระเจ้าจักรพรรดิ.
ชนแม้ทั้งสองบริโภคแล้ว เมื่อปริวารชนออกไปแล้ว ก็ไปในที่รโหฐาน
นั่งในที่ที่มีความผาสุก. ลำดับนั้น มาณพกล่าวกะนางภัททาว่า
แม่ภัททา เธอเมื่อจะมาเรือนนี้ นำเอาทรัพย์มาเท่าไร. นางภัททา
กล่าวว่า พ่อเจ้า นำมาห้าหมื่นห้าพันเล่มเกวียน. มาณพกล่าวว่า
ทรัพย์ทั้งหมดนั่น กับทรัพย์ 87 โกฏิ ในเรือนนี้ และสมบัติอันต่าง
ด้วยเหมือง 60 เหมืองเป็นต้นที่ติดเครื่องยนต์. ทั้งหมด เราขอมอบ

แก่เธอเท่านั้น. นางภัททากล่าวว่า พ่อเจ้า ก็ท่านเล่า จะไปไหน
มาณพ เราจักบวช นางภัททา แม้เราก็นั่งคอยการมาของท่านอยู่
แม้เราก็จักบวช. ภพทั้งสามปรากฏแก่คนทั้งสองนั้นเหมือนกุฎี
ใบไม้ถูกไฟไหม้ฉะนั้น. คนทั้งสองนั้นให้นำผ้ากาสายะ และบาตรดิน
มาจากตลาด ต่างปลงผมให้กันและกัน กล่าวว่า การบวชของเรา
ทั้งสองอุทิศพระอรหันต์ในโลก แล้วสอดบาตรลงในถุงคล้องที่ไหล่
ลงจากปราสาท. บรรดาทาสหรือกรรมกรทั้งหลายในเรือน ใคร ๆ
จำไม่ได้.

ครั้งนั้น ชนหมู่บ้านทาส จำคนทั้งสองนั้นซึ่งออกจากบ้าน
พราหมณ์กำลังเดินไปทางประตูบ้านทาสได้ ด้วยอากัปกิริยา
ท่าทาง ชนเหล่านั้นร้องไห้หมอบลงที่เท้ากล่าวว่า นายท่าน ท่าน
จะทำให้พวกข้าพเจ้าไร้ที่พึ่งหรือ. คนทั้งสองกล่าวว่า แน่ะพนาย
เราทั้งหลายเห็นว่า ภพทั้งสามเหมือนบรรณศาลาถูกไฟไหม้จึง
ได้บวช ถ้าเราจะการทำบรรดาพวกท่านคนหนึ่ง ๆ ให้เป็นไท
แม้ 100 ปี ก็ไม่พอ พวกท่านเท่านั้น จงล้างศีรษะของท่านเป็นไท
เลี้ยงชีวิตอยู่เถิด เมื่อชาวบ้านทาสเหล่านั้นคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ
ก็หลีกไปแล้ว. พระเถระเดินไปข้างหน้าหันกลับมาแลดูพลางคิดว่า
ภัททากาปิลานี นี้ เป็นหญิงมีค่าควรแก่ชมพูทวีปทั้งสิ้น เดินมาข้าง
หลังเรา มีฐานะอยู่ที่ใคร ๆ จะพึงคิดว่า ชนเหล่านี้ แม้บวชแล้ว
ก็ไม่อาจแยกกัน กระทำไม่สมควรดังนี้ เกิดความคิดว่า ใคร ๆ
ทำใจให้ประทุษร้ายในเราทั้งหลาย จะพึงเต็มในอบาย ควรที่เรา
จะละนางไปเสีย.

พระเถระเดินไปข้างหน้าเห็นทาง 2 แพร่ง ได้หยุดอยู่
ที่หัวทางนั้น. ฝ่ายนางภัททามาแล้วไหว้ยืนอยู่. ครั้งนั้น พระเถระ
กล่าวกะนางภัททาว่า แม่นางเอย มหาชนเห็นสตรีเช่นเจ้าเดินมา
ข้างหลังเราจะคิดว่า ชนเหล่านี้แม้บวชแล้วก็ไม่อาจแยกกัน แล้วมี
จิตประทุษร้ายในพวกเรา จะพึงเป็นผู้เต็มอยู่ในอบาย พวกเรา
ยืนอยู่แล้วในทาง 2 แพร่งนี้ ท่านจงถือเอาทางสายหนึ่ง ฉันจะไป
ทางอีกสายหนึ่ง. นางภัททากล่าวว่า จริงสิ พ่อเจ้า ธรรมดามาตุคาม
เป็นมลทินของบรรพชิตทั้งหลาย ชนทั้งหลายจักแสดงโทษของ
พวกเราว่า คนเหล่านี้แม้บวชแล้วก็ยังไม่แยกกัน ท่านจงถือเอาทาง
สายหนึ่ง ฉันจะถือเอาสายหนึ่ง พวกเราจักแยกกัน ดังนี้แล้วทำ
ประทักษิณ 3 ครั้ง ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ในที่ทั้ง 4 แห่ง
(คือ ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา) ประคองอัญชลีอันงดงาม
ด้วยรวมนิ้วทั้งสิบ แล้วกล่าวว่า ความสนิทสนมฐานมิตร ซึ่งได้
ทำไว้ตลอดกาลนานประมาณแสนกัป จำแตกในวันนี้ แล้วกล่าวว่า
ท่านมีชาติเบื้องขวา ทางขวาสมควรแก่ท่าน ฉันชื่อว่าเป็นมาตุคาม
มีชาติเบื้องซ้าย ทางซ้ายสมควรแก่ฉัน ดังนี้ ไหว้แล้วเดินทางไป.
ในเวลาที่ท่านทั้งสองนั้นแยกทางกัน มหาปฐพีนี้ได้สะเทือนเลื่อนลั่น
เหมือนจะพูดว่า เราสามารถรองรับเขาจักรวาล และเขาสิเนรุได้
แต่ไม่อาจรองรับคุณทั้งสองของพวกท่านได้. ในอากาศมีเสียงเหมือน
ฟ้าผ่า ภูเขาจักรวาลก็โอนโน้มลง
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับนั่งในพระคันธกุฎี ณ
พระเวฬุวันมหาวิหาร ได้สดับเสียงแผ่นดินไหวจึงทรงพระรำพึงว่า
แผ่นดินไหวเพื่อใครหนอ ทรงทราบว่า ปิบผลิมาณพ และนางภัททา

กาปิลานี ละสมบัติอันนับไม่ได้แล้วบวชอุทิศเรา แผ่นดินไหวนี้
เกิดด้วยกำลังแห่งคุณของตนแม้ทั้งสอง ในตอนที่คนทั้งสองนั้นแยก
ทางกัน แม้เราก็ควรทำการสงเคราะห์คนทั้งสองนี้ จึงเสด็จออกจาก
พระคันธกุฎี ลำพังพระองค์เอง ทรงถือบาตรและจีวร ไม่ตรัส
เรียกใคร ๆ ในบรรดาพระมหาสาวก 80 องค์ เสด็จไปต้อนรับ
สิ้นทาง 3 คาวุต ประทับนั่งขัดสมาธิที่โคนต้นพหุปุตตกนิโครธ
ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา. ก็เมื่อประทับนั่ง มิได้ประทับ
นั่งเหมือนพระผู้ถือบังสุกุลเป็นวัตรรูปหนึ่ง ทรงถือเพศเป็นพระ-
พุทธเจ้า ประทับนั่งเปล่งพระรัศมีทึบประมาณ 80 ศอก. ดังนั้น.
ในขณะนั้น พระพุทธรัศมีมีประมาณเท่าร่มใบไม้ ล้อรถ แลเรือนยอด
เป็นต้น วิ่งฉวัดเฉวียนไปรอบด้าน ทำให้เหมือนเวลาพระจันทร์
และพระอาทิตย์ขึ้นเป็นพัน ๆ ดวง ได้ทำชายป่านั้นให้มีแสงสว่าง
เป็นอันเดียวกัน. พื้นท้องฟ้าประหนึ่งระยิบระยับด้วยหมู่ดาว เรือง-
รองด้วยพระสิริแห่งพระมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ชายป่า
รุ่งโรจน์ดุจน้ำที่มีดอกบัวบานสะพรั่ง. ธรรมดาต้นนิโครธมีมีลำต้น
ขาว มีใบเขียว ผลสุกแดง. แต่วันนั้น ต้นนิโครธกลับมีกิ่งขาว มี
สีเหมือนทอง.

พระมหากัสสปเถระคิดว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระศาสดาของเรา
เราบวชอุทิศพระศาสดาพระองค์นี้ ดังนี้ จำเดิมแต่ที่ที่มองเห็น
ได้น้อมกายเดินไป ไหว้ในที่ 3 แห่ง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์
เป็นสาวก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดา

ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสกะพระมหากัสสปเถระว่า ดูก่อนกัสสป ถ้าเธอจะพึงทำการ
นบนอบนี้ไว้ในมหาปฐพีไซร้ แม้มหาปฐพีนั้นก็ไม่อาจรองรับเอาไว้ได้
การนบนอบที่เธอกระทำ ย่อมไม่อาจทำแม้ขนของเราให้สั่น เพราะ
ตถาคตมีคุณใหญ่หลวงอย่างนี้ นั่งลงเถอะกัสสป เราจะให้ทรัพย์
อันเป็นมรดกแก่เธอ. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ประทาน
อุปสมบทแก่พระมหากัสสปเถระด้วยโอวาท 3 ประการ ครั้น
ประทานแล้วก็เสด็จออกจากโคนต้นพหุปุตตกนิโครธเสด็จเดินทาง
มีพระเถระเป็นปัจฉาสมณะ. พระสรีระของพระศาสดาตระการ
ตาด้วยพระมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ สรีระของพระมหา-
กัสสปประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ 7 ประการ. พระมหากัสสป
นั้นเดินตามเสด็จพระศาสดา เหมือนเรือพ่วงไปตามเรือใหญ่สีทอง
ฉะนั้น พระศาสดาเสด็จเดินทางไปหน่อยหนึ่งแล้วแวะลง (ข้างทาง)
แสดงอาการจะประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง พระเถระระว่า พระ-
ศาสดามีพระประสงค์จะประทับนั่ง จึงกระทำสังฆาฏิอันเป็นผ้า
เก่าที่ตนห่มให้เป็น 4 ชั้น ปูลาดถวาย.

พระศาสดาประทับนั่งบนผ้าสังฆาฏินั้นแล้ว เอาพระหัตถ์
ลูบคลำเนื้อผ้าตรัสว่า กัสสป สังฆาฏิอันทำด้วยผ้าเก่าผืนนี้ของเธอ
นุ่มดี. พระเถระระว่า พระศาสดาตรัสถึงสังฆาฏิของเรานุ่ม คงจัก
ประสงค์จะห่ม จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงห่มสังฆาฏิเถิด. พระศาสดาตรัสว่า กัสสป เธอจะ
ห่มอะไร ? พระเถระกราบทูลว่า ข้าพระองค์ได้ผ้านุ่งของพระองค์

จึงจักห่ม. พระศาสดาตรัสว่า กัสสป ก็เธอจักอาจทรงผ้าบังสุกุล
ที่ใช้จนเก่าผืนนี้อย่างนี้ได้หรือ ด้วยว่ามหาปฐพีได้ไหวจนถึงน้ำรอง
แผ่นดิน ในวันที่เราซักผ้าบังสุกุลผืนนี้. ธรรมดาว่าจีวรที่เก่าเพราะ
ใช้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ ถึงเก่าแล้วคนที่มีคุณนิดหน่อยไม่
อาจครองได้ จีวรเก่าดังกล่าวนี้ อันบุคคลผู้อาจสามารถในการ
บำเพ็ญข้อปฏิบัติ ผู้ถือผ้าบังสุกุลมาแต่เดิมจึงจะควรรับเอา แล้ว
ทรงเปลี่ยนจีวรกับพระเถระ.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนจีวรอย่างนี้แล้ว ทรงห่ม
จีวรที่พระเถระห่มแล้ว พระเถระห่มจีวรของพระศาสดา. ในสมัยนั้น
มหาปฐพีนี้แม้ไม่มีจิตใจก็ไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดินเหมือนจะกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทำสิ่งที่ทำได้ยาก จีวรที่พระองค์
ห่มแล้ว ชื่อว่าเคยได้ประทานแก่พระสาวกไม่มี (คือไม่เคยมีการ
ประทานจีวรที่ทรงห่มแล้วแก่สาวก) ข้าพระองค์ไม่อาจรองรับคุณ
ของพระองค์ได้. แม้พระเถระก็มิได้กระทำเหย่อหยิ่งว่า เดี๋ยวนี้
เราได้จีวรสำหรับใช้สอยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สิ่งที่เราจะพึง
ทำให้ยิ่งขึ้นไปในบัดนี้ยังจะมีอยู่หรือ จึงได้สมาทานธุดงค์คุณ 13
ข้อในสำนักของพระพุทธเจ้านั่นแหละ เป็นปุถุชนเพียง 7 วัน
ในอรุณที่ 8 ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยสูตรทั้งหลายมีอาทิ
อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัสสปเปรียบเหมือนพระจันทร์
เข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลาย หลีกกาย หลีกใจจากอกุศลธรรมทั้งหลาย
เป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ไม่คนองในตระกูลทั้งหลาย. ครั้นมาภายหลัง
ทรงกระทำกัสสปสังยุตนี้แหละให้เป็นเหตุเกิดเรื่อง จึงทรงสถาปนา
พระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้วยพระดำรัสว่า มหากัสสปเป็น

ยอดของภิกษุทั้งหลายผู้ถือธุดงค์และสอนเรื่องธุดงค์ ในศาสนาของเรา
ดังนี้แล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 4

อรรถกถาสูตรที่ 5



ประวัติพระอนุรุทธเถระ



ในสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ทิพฺพจกฺขุกานํ ยทิทํ อนุรุทฺโธ ความว่า ตรัสว่าพระ-
อนุรุทธเถระเป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ พึงทราบว่า
พระอนุรุทธเถระนั้นเป็นผู้เลิศ เพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสั่งสม
ไว้แล้ว. ได้ยินว่าพระเถระเว้นแต่ชั่วเวลาฉันเท่านั้น ตลอดเวลา
ที่เหลือ เจริญอาโลกกสิณตรวจดูเหล่าสัตว์ด้วยทิพยจักษุอย่าง
เดียวอยู่ ดังนั้น พระเถระนี้จึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุทั้งหลาย
ผู้มีทิพยจักษุ เพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสะสมไว้ตลอดวัน
และคืน. อีกอย่างหนึ่งเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุที่เหลือ เพราะ
ปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ก็ในเรื่องบุรพกรรมของท่านในข้อนั้น
มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไป
ความพิสดารว่า ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุ-
มุตตรนั่นแล กุลบุตรแม้นี้ได้ไปกับมหาชนผู้ไปยังวิหารเพื่อฟังธรรม
ภายหลังภัตตาหาร. ก็ครั้งนั้น กุลบุตรผู้นี้ได้เป็นกุฎุมพีผู้ยิ่งใหญ่