เมนู

7. พรหมสูตร



ว่าด้วยท้าวสหัมบดีพรหม



[1047] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้
อชปาลนิโครธ
แทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ ทรงเกิดความปริวิตกแห่งพระ-
หฤทัยอย่างนี้ว่า อินทรีย์ 5 ที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่
อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด อินทรีย์ 5 เป็นไฉน คือ
สัทธินทรีย์ที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็น
เบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ฯลฯ ปัญญินทรีย์ที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด อินทรีย์ 5
เหล่านี้ ที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็น
เบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด.
[1048] ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทราบความปริวิตกแห่งพระ-
หฤทัยด้วยใจแล้ว จึงหายตัวจากพรหมโลกมาปรากฏเบื้องของพระพักตร์พระผู้มี
พระภาคเจ้า เหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น.
[1089] ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมกระทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็นอย่างนั้น อินทรีย์ 5
ที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า
มีอมตะเป็นที่สุด อินทรีย์ 5 เป็นไฉน คือ สัทธินทรีย์ที่เจริญแล้ว กระทำ

ให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ฯลฯ
ปัญญินทรีย์ที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็น
เบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด อินทรีย์ 5 เหล่านี้ ที่เจริญแล้ว กระทำให้
มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด.
[1050] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์ได้
ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ แม้
ในเวลานั้น เขารู้จักข้าพระองค์อย่างนี้ว่า สหกะภิกษุ ๆ เพราะความที่อินทรีย์
5 เหล่านี้ อันข้าพระองค์เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ข้าพระองค์จึงคลาย
กามฉันท์ในกามทั้งหลายเสียได้ เมื่อตายไป ได้เข้าถึงสุคติพรหมโลก แม้ใน
พรหมโลกนั้น เขาก็รู้จักข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ท้าวสหัมบดีพรหม ๆ.
[1051] ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต
ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าพระองค์รู้ ข้าพระองค์เห็น ข้อที่อินทรีย์ 5 เหล่านี้ที่
บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า
มีอมตะเป็นที่สุด.
จบพรหมสูตรที่ 7

พรหมสูตรที่ 7 มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.

8. สูกรขาตาสูตร



ธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ



[1052] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ ถ้ำสูกรขาตา
เขาคิชฌกูฎ
ใกล้กรุงราชคฤห์ ณ ที่นั้น พระองค์ตรัสเรียกท่านพระสารีบุตร
แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุผู้ขีณาสพเห็นอำนาจประโยชน์อะไรหนอ
จึงประพฤตินอบน้อมอย่างยิ่งในตถาคตหรือในศาสนาของตถาคต.
[1053] ท่านสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้
ขีณาสพเห็นธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม จึงประพฤตินอบน้อม
อย่างยิ่งในพระตถาคต หรือในศาสนาของพระตถาคต.
[1054] พ. ถูกละ ๆ สารีบุตร ภิกษุผู้ขีณาสพเห็นธรรมเป็น
แดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม จึงประพฤตินอบน้อมในตถาคตหรือในศาสนา
ของตถาคต.
[1055] ดูก่อนสารีบุตร ก็ธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะอัน
ยอดเยี่ยม ที่ภิกษุขีณาสพเห็นอยู่ จึงประพฤตินอบน้อมอย่างยิ่งในตถาคตหรือ
ในศาสนาของตถาคตนั้น เป็นไฉน.
[1056] สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้ขีณาสพในธรรมวินัยนี้
ย่อมเจริญสัทธินทรีย์ อันให้ถึงความสงบ ให้ถึงความตรัสรู้ ย่อมเจริญ
วิริยินทรีย์.. สตินทรีย์... สมาธินทรีย์... ปัญญินทรีย์ อันให้ถึงความสงบ
ให้ถึงความตรัสรู้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะอัน
ยอดเยี่ยมนี้แล ที่ภิกษุผู้ขีณาสพเห็นอยู่ จึงประพฤตินอบน้อมอย่างยิ่งใน
พระตถาคต หรือในศาสนาของพระตถาคต.