เมนู

[1008] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อินทรีย์ 3 ประการนี้แล
อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ภิกษุบิณโฑลภารทวาชะจึงพยากรณ์
อรหัตผลได้ว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว.. .กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
[1009] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อินทรีย์ 3 ประการนี้ มีอะไรเป็น
ที่สุด มีความสิ้นเป็นที่สุด มีความสิ้นแห่งอะไรเป็นที่สุด มีความสิ้นแห่งชาติ
ชราและมรณะเป็นที่สุด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบิณโฑลภารทวาชะเห็นว่า
ความสิ้นแห่งชาติ ชราและมรณะดังนี้แล จึงพยากรณ์อรหัตผลว่า เรารู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว . . .กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบปิณโฑลภรทวาชสูตรที่ 9

10. สัทธาสูตร



ว่าด้วยศรัทธาของพระอริยสาวก



[1010] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวอังคะชื่อ
อาปณะ ในแคว้นอังคะ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่าน
พระสารีบุตรมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร อริยสาวกผู้ใดมีศรัทธามั่น เลื่อม
ใสยิ่งในพระตถาคต อริยสาวกนั้นไม่พึงเคลือบแคลงหรือสงสัยในตถาคตหรือ
ในศาสนาของตถาคต.
[1011] พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวก
ใดมีศรัทธามั่น เลื่อมใสยิ่งในพระตถาคต อริยสาวกนั้นไม่พึงเคลือบแคลง

หรือสงสัยในพระตถาคต หรือในศาสนาของพระตถาคต ด้วยว่าอริยสาวกผู้มี
ศรัทธา พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเป็นผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม
เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม มีกำลัง มีความบากบั่น มั่นคง ไม่ทอดธุระใน
กุศลธรรมทั้งหลาย.
[1012] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ริยะของอริยสาวกนั้นเป็นวิริยิน-
ทรีย์ ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียรแล้ว พึงหวังข้อนี้ได้ว่า
จักเป็นผู้มีสติ. ประกอบด้วยสติเป็นเครื่องรักษาตนอย่างยิ่ง จักระลึกถึง ตาม
ระลึกถึงกิจที่ทำและคำที่พูดแม้นานได้.
[1013] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สติของอริยสาวกนั้น เป็นสตินทรีย์
ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา เราปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้แล้ว พึงหวัง
ข้อนี้ได้ว่า จักยึดหน่วงนิพพานให้เป็นอารมณ์ ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต.
[1014] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สมาธิของอริยสาวกนั้นเป็นสมา-
ธินทรีย์ ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้ มีจิต
ตั้งมั่นโดยชอบ พึงหวังข้อนี้ได้ว่า. จักรู้ชัดอย่างนี้ว่า สงสารมีที่สุดและเบื้องต้น
อันบุคคลรู้ไม่ได้แล้ว เบื้องต้นที่สุดไม่ปรากฏแก่เหล่าผู้มีอวิชชาเครื่องกั้น มี
ตัณหาเป็นเครื่องผูกไว้ ผู้แล่นไปแล้ว ท่องเที่ยวไปแล้ว ก็ความดับด้วยการ
สำรอกโดยไม่เหลือแห่งกองมืดคืออวิชชา นั้นเป็นบทอันสงบ นั่นเป็นบท
อันประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความ
สิ้นตัณหา ความสิ้นกำหนัด ความดับ นิพพาน.
[1015] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปัญญาของอริยสาวกนั้นเป็น
ปัญญินทรีย์ อริยสาวกนั้นแลพยายามอย่างนี้ ครั้นพยายามแล้ว ระลึกอย่างนี้
ครั้นระลึกแล้ว ตั้งมั่นอย่างนี้ ครั้นตั้งมั่นแล้ว รู้ชัดอย่างนี้ ครั้นรู้ชัดแล้ว

ย่อมเชื่อมั่นอย่างนี้ว่า ธรรมเหล่านี้ ก็คือธรรมที่เราเคยได้ฟังมาแล้วนั่นเอง
เหตุนั้น บัดนี้ เราถูกต้องด้วยนามกายอยู่ และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา.
[1016] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ศรัทธาของสาวกเป็นสัทธินทรีย์ดัง
นี้แล.
[1017] พ. ดีละ ๆ สารีบุตร อริยสาวกใดมีศรัทธามั่น เลื่อมใส
ในตถาคต อริยสาวกนั้นไม่พึงเคลือบแคลงหรือสงสัยในพระตถาคตหรือใน
ศาสนาของพระตถาคต ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จัก
เป็นผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม มี
กำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย.
[1018] ดูก่อนสารีบุตร ก็วิริยะของอริยสาวกนั้น เป็นวิริยินทรีย์
ด้วยว่าอริยสาวก ผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียรแล้ว พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จัก
เป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสติเป็นเครื่องรักษาตนอย่างยิ่ง จักระลึกถึงตามระลึก
ถึงกิจที่ทำและคำที่พูดแม้นานได้.
[1019] ดูก่อนสารีบุตร ก็สติของอริยสาวกนั้น เป็นสตินทรีย์ ด้วย
ว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้แล้ว พึงหวังข้อนี้
ได้ว่า ซึ่งทำความสละอารมณ์แล้ว ก็ได้สมาธิ จักได้เอกัคคตาจิต.
[1020] ดูก่อนสารีบุตร ก็สมาธิของอริยสาวกนั้น เป็นสมาธินทรีย์
ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้ ที่จิตตั้งมั่นโดย
ชอบ พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้ชัดอย่างนี้ว่า สงสารมีที่สุดและเบื้องต้นอันบุคคล
รู้ไม่ได้แล้ว เบื้องต้น ที่สุดไม่ปรากฏแก่เหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มี
ตัณหาเป็นเครื่องผูกไว้ ผู้แล่นไปแล้ว ท่องเที่ยวไปแล้ว ก็ความดับด้วยการ

สำรอกโดยไม่เหลือแห่งกองมืดคืออวิชชา นั่นเป็นบทอันสงบ นั่นเป็นบทอัน
ประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้น
ตัณหา ความสิ้นกำหนัด ความดับ นิพพาน.
[1021] ดูก่อนสารีบุตร ก็ปัญญาของอริยสาวกนั้น เป็นปัญญินทรีย์
อริยสาวกนั้นแลพยายามอย่างนี้ ครั้นพยายามแล้ว ระลึกอย่างนี้ ครั้นระลึกแล้ว
ตั้งมั่นอย่างนี้ ครั้นตั้งมั่นแล้ว รู้ชัดอย่างนี้ ครั้นรู้ชัดแล้ว ย่อมเชื่อมั่นอย่างนี้
ว่าธรรมเหล่านี้ ก็คือธรรมที่เราเคยได้ฟังมาแล้วนั่นเอง เหตุนั้น บัดนี้ เรา
ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา.
[1022] ดูก่อนสารีบุตร สิ่งใดเป็นศรัทธาของอริยสาวกนั้น สิ่งนั้น
เป็นสัทธินทรีย์ของอริยสาวกนั้น ดังนี้แล.
จบสัทธาสูตรที่ 10
จบชราวรรคที่ 5

อรรถกถาสัทธาสูตร



สัทธาสูตรที่ 10.

คำว่า อิเม โข เต ธมฺมา ได้แก่มรรค 3
เบื้องบนที่พร้อมกับวิปัสสนา. คำว่า ธรรมเหล่าใดที่ข้าพเจ้าฟังมาก่อน
แล้วเที่ยว
ได้แก่ ธรรมเหล่าใด ของพวกท่านที่กำลังกล่าวอยู่ว่า อินทรีย์
แห่งอรหัตผล มีอยู่ทีเดียว เป็นธรรมที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาก่อนแล้ว. คำว่า
และถูกต้องด้วยกาย คือ และถูกต้อง คือได้เฉพาะด้วยนามกาย. คำว่า
และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา คือ และเห็นแจ้งแทงตลอดอย่างยิ่ง
ด้วยปัญญาเครื่องพิจารณา. คำว่า พระเจ้าข้า ก็ศรัทธาอันใดของเขา คือ
ศรัทธาอันไหนนี้ คือ ศรัทธาที่ประกอบด้วยอินทรีย์ทั้ง 4 อย่างที่ตรัสไว้ใน
หนหลังแล้ว. ก็แหละ ศรัทธา เป็นศรัทธาสำหรับพิจารณา จริงอยู่ สัมปยุตต-
ศรัทธา เป็นศรัทธาที่เจือกัน. ปัจจเวกขณศรัทธาเป็นโลกิยะอย่างเดียว. คำ
ที่เหลือทุกบท ตื้นทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาสัทธาสูตรที่ 10
จบชราวรรควรรณนาที่ 5

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. ชราสูตร 2. อุณณาภพราหมณสูตร 3. สาเกตสูตร 4. ปุพพ-
โกฏฐกสูตร 5. ปฐมปุพพารามสูตร 6. ทุติยปุพพารามสูตร 7. ตติยปุพพา
รามสูตร 8. จตุตถปุพพารามสูตร 9. ปิณโฑลภารทวาชสูตร 10. สัทธา
สูตร