เมนู

อรรถกถาอุณณาภพราหมสูตร



อุณณาภพราหมณสูตรที่ 2.

คำว่า โคจรวิสยํ ได้แก่อารมณ์
อันเป็นที่เที่ยวไป (ของจิต). คำว่า ของกันและกัน คือ อินทรีย์อย่างหนึ่ง
ย่อมไม่เสวยอารมณ์อีกอย่างหนึ่ง เช่นตาจะเสวยอารมณ์แทนหูไม่ได้ หรือหู
จะเสวยอารมณ์แทนตา (ก็ไม่ได้) จริงอยู่ หากจะเอาอารมณ์คือรูปที่แตกต่าง
กันด้วยสีเขียวเป็นต้น มารวมกันแล้วก็ป้อนเข้าไปให้โสตินทรีย์ว่า เอาสิ
แกลองชี้แจงมันมาให้แจ่มแจ้งทีว่า นี่มันชื่ออารมณ์อะไรกัน ? จักษุวิญญาณ
แม้จะยกเอาปากออกแล้ว ก็จะต้องพูดโดยธรรมดาของตนอย่างนี้ว่า เฮ้ย !
ไอ้บอดโง่ ต่อให้แกวิ่งวุ่นตั้งร้อยปี พันปีก็ตาม นอกจากข้าแล้ว แกจะได้
ผู้รู้อารมณ์นี้ที่ไหน แกลองนำเอามันมาป้อนเข้าไปที่จักษุประสาทสิ ข้าจะ
รู้จักอารมณ์ ไม่ว่ามันเป็นสีเขียวหรือสีแดง เพราะนี่มันมิใช่วิสัยของผู้อื่น
แต่มันเป็นวิสัยของข้าเองเท่านั้น . แม้ในทวารที่เหลือก็ทำนองนี้แหละ อินทรีย์
เหล่านี้ ชื่อว่าไม่เสวยอารมณ์ของกันและกันดังที่ว่ามานี้.
คำว่า กึ ปฏิสรณํ คือ ท่านถามว่า อะไรเป็นที่พึ่งอาศัยของ
อินทรีย์เหล่านี้ คืออินทรีย์เหล่านี้พึ่งอะไร. คำว่า มโน ปฏิสรณํ คือใจ
ที่เป็นชวนะ (แล่นไปเสพอารมณ์) เป็นที่พึ่งอาศัย. คำว่า มโน จ เนสํ
ความว่า ใจนั่นแล ที่แล่นไปตามมโนทวารนั่นแหละ ย่อมเสวยอารมณ์ของ
อินทรีย์เหล่านั้น ด้วยอำนาจความรักเป็นต้น. จริงอยู่ จักษุวิญญาณ เห็น
แต่รูปเท่านั้นเอง ความรักความโกรธหรือความหลงในความรู้แจ้งทางตานี้
หามีอยู่ไม่ แต่ชวนะในทวารหนึ่ง ย่อมรัก โกรธ หรือหลง. แม้ใน
โสตวิญญาณเป็นต้น ก็นัยนี้แหละ. ในเรื่องนั้นมีข้อเปรียบเทียบดังนี้.

เล่ากันว่า มีกำนันทุรพล 5 คน ด้วยความยากลำบาก คบพระราชา
ได้ส่วยเล็กน้อยในหมู่บ้าน 5 ตระกูลแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านนั้น พวกเขาได้
รับของเพียงเท่านี้เองคือ ส่วนปลา ส่วนเนื้อ กหาปณะพอซื้อเชือกได้
กหาปณะกึ่งเดียว กหาปณะมีค่าหนึ่งมาสก กหาปณะแปดเหรียญ กหาปณะ
16 เหรียญ กหาปณะ 68 เหรียญ และการปรับ (หรือลงโทษสถานเบา ๆ).
พระราชาเท่านั้น ทรงรับเอาส่วยใหญ่โต มีวัตถุตั้งร้อยอย่าง ห้าร้อยอย่าง พัน
อย่าง. ในเรื่องเปรียบเทียบนั้น พึงเห็นประสาททั้ง 5 เหมือนหมู่บ้านของ 5
ตระกูล วิญญาณทั้ง 5 เหมือนกำนันทุรพล 5 คน ชวนะเหมือนพระราชา
หน้าที่สักว่า เห็นรูปเป็นต้นของจักขุวิญญาณเป็นต้น เหมือนการรับส่วย
เล็กน้อยของพวกกำนันทุรพล แต่ความกำหนัดเป็นต้นไม่มีในจักษุวิญญาณ
เป็นต้น นี้ พึงทราบว่าความกำหนัดเป็นต้นเป็นเรื่องของชวนะในทวารเหล่านั้น
เหมือนการทรงรับเอาส่วยใหญ่โตของพระราชา. ชวนะทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล
ท่านเรียกว่าใจ ในที่นี้ ดังที่ว่ามานี้. คำว่า สติ ปฏิสรณํ ได้แก่ ความ
ระลึกในมรรค เป็นที่พึ่งอาศัย. จริงอยู่ ใจที่เป็นชวนะ ย่อมพึ่งอาศัยความ
ระลึกในมรรค. คำว่า วิมุตฺติ คือ ความหลุดพ้นด้วยอำนาจผล. คำว่า
นิพพาน คือนิพพานเป็นที่พึ่งอาศัยของความหลุดพ้นด้วยอำนาจผล เพราะ
ความหลุดพ้นนั้นย่อมอาศัยนิพพานนั้น. คำว่า ไม่อาจถือเอาที่สุดของ
ปัญหาได้ คือ ไม่สามารถถือเอาประมาณอันเป็นขั้นตอนของปัญหาได้
ท่านถามสิ่งซึ่งหาที่พึ่งพาอาศัยมิได้ว่า มีที่พึ่งพาอาศัย ธรรมดาว่านิพพานนี้
ไม่เป็นที่พึ่งพาอาศัย คือ ไม่พึ่งพาอาศัยอะไร ๆ ด้วยประการฉะนี้. คำว่า
นิพฺพาโนคธํ คือ หยั่งลงไปภายในนิพพาน เข้าไปตามนิพพาน. คำว่า
พรหมจรรย์ หมายถึงมรรคพรหมจรรย์. คำว่า มีนิพพานเป็นเบื้องหน้า
คือนิพพานเป็นที่ไปข้างหน้า คือเป็นคติเบื้องหน้าของพรหมจรรย์นั้น

หมายความว่า นอกจากนิพพานนั้น พรหมจรรย์นั้นไม่ไปที่อื่น (อีกแล้ว).
ที่ชื่อว่า มีนิพพานเป็นที่สุด ก็เพราะนิพพานเป็นที่ลงท้ายคือเป็นที่สุดของ
พรหมจรรย์นั้น.
ท่านเรียกความเชื่อที่มาด้วยกันกับมรรคว่า รากตั้งมั่นแล้ว พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาอะไร จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย หากในสมัยนี้
ทรงหมายเอาความเป็นอนาคามีที่ประกอบด้วยฌาน. จริงอย่างนั้น ในสมัยนั้น
จิตที่เป็นอกุศลทั้ง 5 ดวงเป็นสภาพที่พราหมณ์ละได้แล้ว ด้วยมรรคแรก
นิวรณ์ทั้ง 5 ก็ละได้แล้วด้วยฌานที่ 1 เพราะฉะนั้น พราหมณ์นั้นตั้งอยู่ใน
ตำแหน่งอนาคามีที่ประกอบด้วยฌาน ไม่เสื่อมจากฌาน ตายไปก็ต้อง
ปรินิพพานในที่นั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเมื่อพราหมณ์ปกครองลูกเมีย จัดการจัด
งานอยู่ ฌานหายไป เมื่อฌานหายไปแล้ว คติก็ไม่เกี่ยวเนื่องกัน แต่เมื่อฌาน
ไม่หาย คติจึงจะเกี่ยวเนื่องกัน เพราะฉะนั้น จึงตรัสหมายเอาความเป็น
อนาคามีที่ประกอบด้วยฌานนี้ อย่างนี้.
จบอรรถกถาอุณณาภพราหมณสูตรที่ 2

3. สาเกตสูตร



ว่าด้วยอินทรีย์ 5 พละ 5



[975] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอัญชนมิคทายวัน
ใกล้เมืองสาเกต ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริยายที่อินทรีย์ 5 อาศัยแล้ว ย่อมเป็น
พละ 5 ที่พละ 5 อาศัยแล้ว ย่อมเป็นอินทรีย์ 5 มีอยู่หรือหนอ ภิกษุทั้งหลาย