เมนู

แล้ว ก็อุเบกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่ไหน ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนโดยประการทั้งปวง
แล้ว เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ อุเบกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่
เหลือในที่นี้ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้รู้แล้วซึ่งความดับแห่งอุเบกขินทรีย์ และ
น้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น.
จบสูตรที่ 10
จบสุขินทริยวรรคที่ 4

อรรถกถาอุปปฏิกสูตร



อุปปฏิกสูตรที่ 10.

ยถาธรรมเทศนาที่ไม่จำเป็นต้องแสดงพึงทราบ
ว่า ชื่อว่าเป็นสูตรที่นอกเหนือไปจากลำดับ (ไม่เข้าลำดับ) เหมือนอย่างสูตร
ที่เหลือในอินทริยวิภังค์แม้ที่กล่าวแล้วตามลำดับนี้.
ในสูตรที่ 10 นั้น คำทั้งหมดเป็นต้น ว่า นิมิต เป็นคำใช้แทนปัจจัย
นั่นเอง. คำว่า และย่อมรู้ชัดทุกขินทรีย์ คือ ย่อมรู้ด้วยอำนาจทุกขสัจนั่น
เอง. คำว่า ทุกฺขินฺ ทริยสมุทยํ คือวิญาณที่สหรคตด้วยทุกข์ ย่อม
เกิดขึ้นแก่ผู้ที่ถูกหนามตำเอา ถูกเรือดกัด หรือถูกรอยย่นที่ปูนอนกระทบ
ย่อมรู้ชัดสิ่งนั้นว่าเป็นเหตุให้เกิดขึ้นพร้อมของทุกขินทรีย์นั้น. พึงทราบสมุทัย
ด้วยอำนาจเหตุแห่งอินทรีย์เหล่านั้นแม้ในบทเป็นต้นว่า โทมนสฺสินทริย-
สมุทยํ
ข้างหน้า. โทมนัสสินทรีย์ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจความฉิบหาย
แห่งสังขารข้างนอกมีบาตรและจีวรเป็นต้น หรือแห่งเหล่าสัตว์มีสัทธิวิหาริก
เป็นต้น ด้วยประการฉะนี้ ย่อมรู้ชัดความฉิบหายแห่งสังขารและสัตว์

เหล่านั้นว่าเป็นสมุทัยแห่งโทมนัสสินทรีย์นั้น. ผู้ที่กินอาหารอย่างดีแล้ว
นอนบนที่นอนอย่างประเสริฐ ย่อมเกิดสุขินทรีย์ขึ้นด้วยการสัมผัสมีการ
นวดมือและเท้าและลมที่เกิดจากพัดใบตาลเป็นต้น ย่อมรู้ชัดผัสสะนั้นว่าเป็น
เหตุของสุขินทรีย์นั้น. ส่วนโสมนัสสินทรีย์อันเกิดขึ้นด้วยอำนาจการได้เฉพาะ
สัตว์และสังขารที่น่าชื่นใจมีประการที่กล่าวมาแล้ว ย่อมรู้ชัดการได้เฉพาะนั้น
ว่าเป็นเหตุแห่งโสมนัสสินทรีย์นั้น. ส่วนอุเบกขินทรีย์ย่อมเกิดขึ้นด้วยอาการที่
เป็นกลาง ๆ ย่อมรู้ชัดอาการที่เป็นกลาง ๆ ในสัตว์และสังขารนั้นว่าเป็นเหตุ
แห่งอุเบกขินทรีย์นั้น. ก็แหละคำชี้ขาดไปพร้อม ๆ กันในคำว่า ทุกขินทรีย์ที่
เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับสิ้นไปโดยไม่มีเหลือในที่ใด ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ สงัดแล้วจากกามทั้งหลายเป็นต้น ดังต่อไปนี้ แท้จริง ทุกขินทรีย์
ย่อมดับสิ้นไปในขณะอุปจาระแห่งฌานที่ 1 ทีเดียว ทุกขินทรีย์ย่อมเป็นอันละ
ได้แล้ว. โทมนัสเป็นต้น ย่อมดับสิ้นไปในอุปจารขณะแห่งฌานที่ 2 เป็นต้น
แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ความดับสิ้นไปในฌานทั้งหลายนั่นเองนี้แล (ก็ย่อมมี)
เพราะความที่โทมนัสเป็นต้นเหล่านั้นดับสิ้นไปเป็นอย่างยิ่ง จริงอยู่ ความดับ
สิ้นไปเป็นอย่างยิ่งแห่งโทมนัสเป็นต้นเหล่านั้น ก็คือความดับสิ้นไปในฌานที่
1 เป็นต้นนั่นเอง ก็แหละความดับสิ้นไปนั่นเอง ก็คือความดับสิ้นไปอย่างยิ่ง
ด้วยอุปจารขณะ. จริงอย่างนั้น ความเกิดขึ้นแห่งทุกขินทรีย์แม้ที่ดับสิ้นไปแล้ว
ในอุปจาระแห่งฌานที่ 1 ซึ่งมีอาวัชชนจิตต่าง ๆ ด้วยสัมผัสแห่งเหลือบยุง
และลมเป็นต้น ด้วยความอบอ้าวที่ไม่คงที่ หรือด้วยมีดพร้า หรือว่าทุกขินทรีย์
ที่ดับสิ้นไปแล้วในอุปจาระในภายในอัปปนาก็ไม่ใช่ และทุกขินทรีย์นั้นก็ไม่
ใช่ดับหมดไปอย่างดีด้วย. แต่กายย่อมเป็นสุข น่าใคร่อย่างทั่วถึงด้วยการแผ่
ปีติไปภายในอัปปนา เพราะไม่ถูกสิ่งที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกำจัดได้ ชื่อว่าเป็น
สุขแม้เพราะความเป็นของที่น่าใคร่ ทุกขินทรีย์ จึงชื่อว่าย่อมดับลงไปอย่างดี

เพราะถูกฝ่ายตรงกันข้ามกำจัดไป. และเพราะเมื่อโทมนัสสินทรีย์ถูกละในอุป-
จาระแห่งฌานที่ 2 ซึ่งมีอาวัชชนจิตแตกต่างกันนั่นแหละ ฉะนั้น โทมนัส
สินทรีย์นั้น เมื่อมีความลำบากกาย และใจถูกเบียดเบียนเพราะความตรึกตรอง
เป็นปัจจัย ก็เกิดขึ้น เพราะไม่มีความตรึกตรองนั่นแหละสุขินทรีย์จึงเกิดขึ้น
ก็และเกิดขึ้นในที่ใด ในที่นั้น ก็เป็นอัปปนาเพราะไม่มีความตรึกตรอง. ก็
ความตรึกตรองย่อมเกิดขึ้นในอุปจาระแห่งฌานที่ 2 อย่างนี้. หากจะพึง
มีการเกิดขึ้นแห่งสุขินทรีย์นั้นในอุปจาระแห่งฌานที่ 2 ก็ไม่ใช่เกิดในฌานที่สอง
เลยเพราะละปัจจัยได้แล้ว แม้เมื่อสุขินทรีย์ถูกละในอุปจาระแห่งฌานที่ 3 ก็
อย่างนั้น พึงมีการเกิดขึ้นแห่งกายที่รูปอันประณีตซึ่งมีปีติเป็นสมุฎฐานถูกต้อง
แล้ว แต่หาใช่เกิดขึ้นในฌานที่ 3 ไม่. เพราะปีติอันเป็นปัจจัยแห่งสุขดับไป
หมดแล้วด้วยฌานที่สาม ในอุปจาระแห่งฌานที่ 4 ก็เหมือนกัน เพราะยังไม่มี
อุเบกขาที่ถึงอัปปนา เหตุว่าอยู่ใกล้โสมนัสสินทรีย์ที่แม้จะละได้แล้ว ก็อาจจะมี
การเกิดขึ้นได้ เพราะยังก้าวล่วงไม่ได้อย่างถูกต้อง แต่ก็ไม่ใช่เกิดขึ้นในฌาน
ที่ 4 เลย เพราะฉะนั้น ในฌานที่ 4 นี้ ทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้วจึงดับไปโดย
ไม่เหลือ การถือเอาโดยไม่เหลือในฌานนั้น ๆ ท่านได้ทำแล้ว ดังที่ว่ามานี้. ก็คำ
ใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในที่นี้ว่า ย่อมน้อมจิตไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น
ในคำนั้นพึงทราบใจความอย่างนี้ว่า บุคคลเป็นผู้ที่ยังไม่ได้ ย่อมน้อมจิตไป
เพื่อประโยชน์การเกิดขึ้น ฉะนั้น บุคคลเป็นผู้ได้ ก็ย่อมน้อมจิตไปเพื่อ
ประโยชน์การเข้าถึง. ก็แลวาระการพิจารณาในสองสูตรนี้ พระองค์ได้ตรัสไว้
ดังที่กล่าวมานี้.
จบอรรถกถาอุปปฏิกสูตรที่ 10
จบสุขินทริยวรรควรรณนาที่ 4

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. สุทธกสูตร 2. โสตาปันนสูตร 3. อรหันตสูตร 4. ปฐมสมณ-
พราหมณสูตร 5. ทุติยสมณพราหมณสูตร 6. ปฐมวิภังคสูตร 7. ทุติย
วิภังคสูตร 8. ตติยวิภังคสูตร 9. อรหันตสูตร 10. อุปปฏิกสูตร และอรรถกถา.